โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
เด็กซ่าบ้านแสบ
#201
เด็กซ่าบ้านแสบ
14-03-2012 - 00:16:11

#201 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 14-03-2012 - 00:16:11 ]







ชื่อในเว็บ : เด็กซ่าบ้านแสบ

ชื่อของสัตว์ประหลาดในจินตนาการ : ต้องๆหัวยาว

ข้อมูลของสัตว์ประหลาดในจินตนาการ : ต้องหัวยาวมารถยืดหัวได้ แค่นี้ล่ะ

รูป
 1379071


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-14 00:19:12

Nebula Eva
#202
14-03-2012 - 17:58:57

#202 Nebula Eva  [ 14-03-2012 - 17:58:57 ]





มาสมัครกันหน่อยเร็ว



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#203
เด็กซ่าบ้านแสบ
14-03-2012 - 18:02:06

#203 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 14-03-2012 - 18:02:06 ]








puod_pond
#204
16-03-2012 - 16:06:36

#204 puod_pond  [ 16-03-2012 - 16:06:36 ]






สัตว์ประหลาดนี่ วาดมาจินตนาการเราเองได้ไหมคะ
ไม่มีอยู่จริงไม่มีอยู่ในนิยาย ในหัวเราล้วนๆ เลย (อาจมีแบบว่า ผ่านตาเรามาบ้าง)

สัตว์ประหลาด กับ ปิศาจ เหมือนกันไหมอะ (คงไม่เหมือนเนอะ)

ถ้าเหมือนกัน เอารูปเก่าส่งได้ไหมคะ แบบว่ารูปเก่าเรา ออกปิศาจ


Nebula Eva
#205
16-03-2012 - 16:17:11

#205 Nebula Eva  [ 16-03-2012 - 16:17:11 ]





quote : puod_pond

สัตว์ประหลาดนี่ วาดมาจินตนาการเราเองได้ไหมคะ
ไม่มีอยู่จริงไม่มีอยู่ในนิยาย ในหัวเราล้วนๆ เลย (อาจมีแบบว่า ผ่านตาเรามาบ้าง)

สัตว์ประหลาด กับ ปิศาจ เหมือนกันไหมอะ (คงไม่เหมือนเนอะ)

ถ้าเหมือนกัน เอารูปเก่าส่งได้ไหมคะ แบบว่ารูปเก่าเรา ออกปิศาจ



สัตว์ประหลาดนี่สามารถจินตนาการเองได้เลยค่ะ แต่ห้ามลอกมาจากที่มีอยู่ในนิทานหรือนิยายแล้วนะคะ

ส่วนที่ถามว่าสัตว์ประหลาด กับปีศาจเหมือนกันไหม ขอตอบว่าไม่เหมือนกันค่ะ

เพราะสัตว์ประหลาดหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่ผิดแปลกจากสภาพแวดล้อม แต่ปีศาจหมายถึงความชั่วร้ายต่างๆทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

      โดยคำว่า Monster ที่หมายถึง สัตว์ประหลาด หรือ อสูรกาย ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากภาษาละตินคำว่า Monstrum ซึ่งหมายถึง การเกิดสิ่งผิดปกติทางชีววิทยามักจะที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ว่าสิ่งที่ถูกต้องภายในเพื่อธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้ว สัตว์ประหลาดมักมีลักษณะน่ากลัวและดุร้าย แต่ในสื่อยุคใหม่ก็มีสัตว์ประหลาดที่มีบทบาทในลักษณะของอสูรกายที่เป็นมิตรหรือถูกเข้าใจผิด เช่นคิงคองหรืออสูรกายของแฟรงเกนสไตน์ เป็นต้น



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
puod_pond
#206
16-03-2012 - 16:24:05

#206 puod_pond  [ 16-03-2012 - 16:24:05 ]






^
^^
^^^

ขอบคุณค่ะ
คิดละว่าต้องไม่เหมือน
อยากสมัครแค่ขี้เกียจวาดจังเลย ฮ่าๆๆๆๆ
วาดสัตว์ประหลาดไม่เป็น เป็นแต่ปิศาจ


Nebula Eva
#207
26-03-2012 - 23:56:40

#207 Nebula Eva  [ 26-03-2012 - 23:56:40 ]





15 เครื่องทรมานโหด(ยุโรป)

      ยุโรปยุคมืดในช่วงศตวรรษที่ 14 นี้น่ากลัวแท้ๆ ไม่ว่าจะสงคราม โรคระบาด ล่าแม่มด และการสอบสวนที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ นาๆ และสิ่งที่เราได้รู้ก็คือเครื่องทรมานชนิดต่างๆ ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อทรมานเหยื่อผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะที่ดูแล้วมันช่างน่ากลัวและสยอดสยองจริงๆ

1. ม้าไม้ (Wooden Horse)

      เป็นอุปกรณ์ทรมานของยุโรป(นอกจากนี้ยังใช้ในอาณานิคมของอเมริกา)เหมือนกัน มีรูปร่างลักษณะเหมือนม้านั่งมีสี่ขาทำด้วยเหล็ก เพียงแต่ที่ต่างตรงที่ด้านบนนั้นรูปร่างจะเหมือนปรึซึมยาวสามเหลี่ยมนอนด้านข้าง(ดูรูปเอาเถอะบรรยายไม่ออก)มองจากด้านข้างจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแต่ถ้ามองอีกด้านมันจะดูน่ากลัวมากเพราะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แหลม เวลาทรมานก็ดูภาพแล้วกัน โอ้เห็นแล้วเสียว(ในหลายๆ ความหมาย) แต่ก่อนจะให้ขาเหยื่อจะต้องโดนถ่วงน้ำหนักเพื่อไม่ให้หนีออกจากเครื่องทรมานนี้ได้และเมื่อนั่งตอนแรกๆ จะไม่เท่าไหร่แต่นานๆ ไป ด้วยน้ำหนักของร่ายกายและที่ถ่วงขาเหยื่อทั้งหลาย(ส่วนมากจะใช้กับผู้ชาย) จะโอดอวยเพราะความเจ็บปวดเพราะเจ็บอวัยวะเพศ และปัจจุบันนี้เครื่องทรมานไม้ม้าถูกนำไปใช้ในสถานบังเทิงสำหรับชาวซาดิสต์โดยเฉพาะ


2. การหมุน(ทรมาน) (Whirligig (torture))

       การหมุนไปหมุนมาก็เป็นการลงโทษและทรมานอีกแบบเหมือนกันส่วนมากอุปกรณ์ชนิดนี้ถูกนำมาใช้กับทหารในประเทศอังกฤษ โดยเขาจะมีอุปกรณ์หนึ่งที่รูปร่างเหมือนกรงขังแต่เป็นทรงกลมและสามารถหมุนไปหมุนมาได้คล้ายๆ กับม้าหมุน โดยเวลาใช้ก็จับเหยื่อมาขังจากนั้นก็ทำการหมุนๆ จนเหยื่อคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง


3. เล็บแมวเท้าสัตว์ (A Cat’s Paw)หรือ Spanish Tickler

      เป็นเครื่องทรมานแถบสเปน รูปร่างก็เหมือนตามชื่อแหละ “เล็บแมว” มีสี่เล็บ อุปกรณ์นี้เวลาใช้ก็เหมือนอาวุธบัลล็อกในสตรีทไฟเตอร์ 2 ที่ใช้ฉีกเนื้อของเหยื่ออย่างช้าๆ ลอกหนังแล้วปิดกระดูก หรือจะข่วนหน้า ช่องท้อง, หลัง, แขน, หน้าอก ก็ได้ ตามใจผู้คุมฮ่าๆ


4. เลื่อย (The Saw)

      ดูกี่ทีก็ไม่น่าจะใช่เครื่องทรมาน ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล( II Samuel 12:31 **)ได้กล่าวถึงเครื่องทรมานชนิดนี้ว่าใช้สำหรับทรมานทั้งผู้ชาย,ผู้หญิง และเด็ก นอกจากนั้นก็มีการใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ในสเปน,อังกฤษ, ฝรั่งเศสใช้ผู้หญิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด และที่เยอรมันใช้สำหรับปราบพวกชาวนาชาวไร่ที่กล่าวหาว่าเป็นกบฏ ซึ่งดูจากภาพก็ไม่ต้องอธิบายมากก็ได้มั้งว่ารูปร่างมันเหมือนเลื่อยสำหรับใช้สองคนเหมือนบ้านเราเพียงแต่เขาจะเปลี่ยนจากเลื่อยไม้มาเลื่อยคนเท่านั้น โดยวิธีใช้ก็จับเหยื่อห้อยหัวและอ้าหว่างขาออกเหมือนภาพ จากนั้นก็ใช้เลื่อยผ่าหว่างขาให้แยกจากนั้นก็เลื่อยไปเลื่อยเหมือนทำกับท่อนไม้(เหยื่อจะทรมานมากเพราะเลือดไหลย้อยจนแทบหมดสติ) มาจนกระทั้งหยุดที่ส่วนของหน้าอก(หรือจะทำให้เหยื่อตายก็ได้ตามใจ) เพราะจุดประสงค์คือไม่ให้เหยื่อตายแต่ต้องการให้เหยื่อทรมานตายอย่างช้าๆ มากกว่า


5. สต็อกหรือที่ขื่อคอ (The Stocks or Pillory)

      รูปร่างแบบนี้คงเห็นในการ์ตูนจนไม่ต้องบรรยายแล้วมั้ง (เรื่องของเรื่องข้อมูลหายขอเกรียมจากการ์ตูนละกัน) ที่จริงอุปกรณ์นี้ไม่ใช้ทรมานนะ แต่ออกแนวคุมขังมากกว่า ซึ่งอุปกรณ์ใช้มากในอังกฤษ โดยอดีตที่ผ่านมามีผู้ที่ใช้บริการเครื่องนี้มากมาย วิธีใช้ก็ลากเหยื่อมาและเอามือและขาสอดที่รูที่เครื่องนี้กำหนดและล็อกเพื่อไม่ให้เคลื่อนไหวได้ จากนั้นก็เอาไปเดินขบวนให้ประชาชนปาผักเล่นๆ ก็ได้ หรือเอาไปตากแดดให้เสียเหงื่อเมื่อยมือและเท้าเล่นๆ หรือจะให้ประชาชนคนดูมาแหย่ ตบ หรือปาของ หรือจะปัสสาวะก็ได้นะก็ตามใจ แต่ที่ร้ายสุดคือผู้คุมนี้สิมักเอาหม้อน้ำเดือดมาใส่เข้าไปในปากของเขา, หู, จมูก และผม หรือเลวกว่านั้นอาจจะโดนทุบ, ตี, เผา, ตัดแขนตัดขา!!


6. เครื่องชำแหละหน้าอก(A Breast Ripper)

เป็นเครื่องทรมานที่ใช้ในเยอรมันและฝรั่งเศส โดยใช้ลงโทษกับผุ้หญิงที่นับถือศาสนานอกรีต, พูดสบประมาท, เป็นชู้} ชักจูงการทำแท้ง, ใช้เวทมนต์เกี่ยวกับกาม และอาชญากรรมอื่นๆ โดยอุปกรณ์ชนิดนี้ก็ใช้ตามชื่อของมันนั้นแหละคือใช้เล็กบนเครื่องมือนั้นฉีกหน้าอกที่เปลือยเปล่าของผู้หญิงอย่างช้าๆ โอ้ว้าว จากนั้นก็สาดน้ำเกลือหรือน้ำเดือดก็ได้ โอ้.....แสบจ็บเป๋ง


7.โซ่หรือไม้นวดข้าว (Chain Sourges or Chain Flails)

      คอ M หรือคอการ์ตูนทั้งหลายดูก็ไม่ต้องเล่าอะไรมากก็ได้มั้ง(การ์ตูนเรื่องรุคิรุคิจอมมารแบบนี้ก็มีด้วยก็เห็นเครื่องมือชนิดนี้ด้วยนะ เหอๆ) ซึ่งมีหลายแบบหลายออฟชั่น เช่นหัวไม้เป็นแซ่, โซ่, โซ่หนาม หรือลูกตุ้ม ซึ่งนิยมใช้ในยุโรปในศตวรรรษที่ 14 เวลาใช้ก็โครตง่าย ก็แค่ใช้เครื่องมือนี้ฟาดแรงๆ บนตัว, หลังอันเปลือยเปล่าของเหยื่อให้เจ็บหนักๆ ซึ่งปัจจุบันคอซาดิสต์จะชอบเครื่องนี้มากๆ จนมาใช้บริการบ่อยๆ


8. เข็มขัดของนักบุญ Elmo (Saint Elmo’s Belt)

      แหล่งกำเนิดของอุปกรณ์ชนิดนี้ไม่แน่นอน แต่มีการสันนิษฐานว่ามาจากการความตายที่ทุกข์ทรมานของ St Erasmus ( หรือ Elmo ) ในa.D 303 เวลาใช้ก็เหมือนเข็มขัดใส่ที่เอวเหยื่อล็อก และเข็มที่อยู่บนเข็มขัดนี้ก็จะทิ่มแทงเอวเหยื่อจนเจ็บปวดทรมาน


9. การแขวงกรง(Cages)

      โอ้........ถือได้ว่าเป็นแฟชั่นฮิตในยุโรปในศตวรรรษที่ 14 ก็ว่าได้ โดยเครื่องทรมานชนิดนี้จะเหมือนเครื่องประดับสถานส่วนมากใช้ในเยอรมันและเกือบทุกประเทศในยุโรป โดยเวลาใช้ก็จับเหยื่อมาขังตะแลงแกงเหล็ก(หรืออาจจะเป็นเสื้อคลุม)ซึ่งมีหลายแบบ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือมันแคบมากๆ หรือไม่ก็พอดีตัวก็ว่าได้ จากนั้นก็เอาไปมาตั้งที่สูงๆ ให้คนอื่นได้เห็น โดยตั้งตามสถานที่ต่างๆ เช่น ในเมือง, ชานเมืองมากมายเหล็ก , นอกศาลากลางจังหวัด, ราชวังโบสถ์ใหญ่ และกำแพงเมือง การแกว่งไปแกว่งมาก็ช่วยล่อให้นกกามาจิกเหยื่อให้เจ็บเล่นๆ แต่ที่ร้ายกว่านั้นการทรมานชนิดนี้จะตายทรมานช้าๆ เพราะขาดน้ำขาดอาหารและการดาดแดดตามลมนานๆ


10. วัวกระทิงทองเหลือง(Brazen_bull)

      มีหลายชื่อเรียกเช่น วัวกระทองทองสัมฤทธิ์(The Bronze Bull)หรือ วัวกระทะเกาะซิซิลี(Sicilian Bull)เป็นอุปกรณ์ทรมานที่เก่าแก่ในประเทศกรีกแห่งกรุงเอเธนส์ โดยกษัตริย์ได้คิดค้นประดิษฐ์ชนิดนี้ขึ้นเพื่อลงโทษคนที่ผิดมีความทางอาญา ซึ่งอุปกรณ์นี้มีรูปร่างเหมือนวัวตัวผู้แต่ข้างในกลวงสามารถใส่คนหนึ่งได้และทำโดยทองเหลืองซึ่งสามารถอมความร้อนได้ดี เวลาจะใช้ก็เอาคนมาใส่ในตัววัวและปิดขังล็อกไม่ให้เหยื่อเปิดออกมาได้ จากนั้นก็เอาไปลนกับไฟ ด้วยการที่มันทำทองเหลืองทำให้มันร้อนเร็วมาก เหยื่อจะร้องอย่างโหยหวนและขาดใจตายเพราะความร้อนนี้เอง และเชื่อหรือไม่บุคคลที่ถูกเครื่องนี้ทรมานส่วนใหญ่จะเป็นพวกคริสเตียนและศาสนาคริสต์ทุกนิกาย โดย นักบุญ Eustace ก็ถูกเครื่องทรมานนี้ย่างพร้อมกับ กับภรรยา และลูกมาแล้ว


11. ตัดด้วยล้อ(Breaking with the Wheel)

      ใครอ่านการ์ตูนเรื่อง BERSERK ก็คงเดาภาพได้ เป็นการลงโทษที่ทรมานโหดร้ายชนิดหนึ่งในยุโรป ส่วนมากมักทำในเยอรมัน ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งบางครั้งจะใช้ดอกจันทน์เทศแทนล้อ แต่ก็ลงโทษก็คล้ายๆ กันแหละคือลากเหยื่อมามัดกับล้อและผูกให้แน่นจากนั้นเพชฌฆาตจะตัดหรือทุบอวัยวะต่างๆ คือข้อมือ, ศอก,ไหล่, ข้อเท้า, เข่า,แขน,ขา และตะโพก เหยื่อจะส่งเสียงร้องกรี๊ดก็อย่าให้สนใจ ทำต่อไปแต่หลีกเลี่ยงไม่ให้เหยื่อตาย จากนั้นก็นำมาแขวงสูงๆ โดยให้เหยื่อนอนอยู่บนล้อแนวนอน เหมือนกับรูปเป็นอันเสร็จพิธี แต่เหยื่อก็ยังพบเหตุการณ์ต่างๆ อีกไม่ว่าจะแสดงแดดที่ส่องมาอย่างแรงกล้า แต่ที่ร้ายที่สุดคืออีกาที่ลงมาเพื่อฉีกทึ้งเศษเนื้อของเหยื่อ การจิกลูกตา และความเจ็บปวดที่ยาวนานก่อนที่จะตาย


12. เข็มขัดบริสุทธิ์ (The Chastity Belt)

       ดูๆ ไปก็เหมือนกางเกงในแบบใหม่ในปัจจุบันนะเนี้ย กับเครื่องมือทรมาน(หรือเปล่า) พูดไม่ออก คงประมาณว่ากางเกงในป้องกันการข่มขืนนะ แบบว่าสมัยก่อนผู้หญิงมักหลายใจเยอะ และโดนข่มขืนเยอะเช่นกัน ทำให้ชายที่ห่วงเมีย, ห่วงลูกสาวบังคับให้ผู้หญิงสวมใส่อุปกรณ์นี้กันไม่ให้มีชู้หรือโดนข่มขื่น โดยให้ผู้หญิงใส่เหมือนสวมกางเกงในและด้วยโครงสร้างของอุปกรณ์เครื่องนี้จะทำให้อวัยวะเพศและช่องคลอด รูก้น ปิดหมด จากนั้นก็ล็อก เออ....เวลาปวดฉี่ ปวดอึนี้คงทรมานน่าดู อีกทั้งเกิดกุญแจหายนี้คงซวยน่าดู


13. Branks or Scold’s Bridles

      อุปกรณ์ทรมานเหล่านี้ มีหลายแบบอย่างน่ามหัศจรรย์ เช่นแบบปิดปาก แบบมีเหล็กมีเข็มอยู่ภายใน แบบปิดหน้า แบบปิดตา มีกระดิ่งติด ซึ่งรูปร่างเหมือนหมวกเหล็ก จนเหมือนกับว่าเป็นศิลปะมากกว่าเครื่องมือทรมานเสียอีก และเชื่อหรือไม่ว่านี้ไม่ใช้เครื่องทรมานที่ใช้ทรมานกับพวกนักโทษ แต่ใช้สำหรับสามีลงโทษเมียมากกว่า แบบว่าในยุโรปสมัยก่อนนั้นผู้หญิงค่อนข้างต่ำต้อยเมื่อเทียบกับผู้ชายมีกฎหมายและประเพณีหลายๆ อย่างที่ไม่เป็นธรรมกับผู้หญิง สำหรับเครื่องมือนี้ใช้ลงโทษผู้หญิงในหลายๆ แบบ เช่นแบบสำหรับไม่ให้ผู้หญิงพูด หุบปาก ใช้สำหรับโบสถ์ที่ต้องการความสงบ“ให้เงียบในโบสถ์”หรือผู้หญิงที่มีอารมณ์ดุร้ายก็ใช้ได้เหมือนกัน ก่อนที่จะมีการพัฒนาเพิ่มความรุนแรงขึ้นเช่นมีการติดเดือยแหลมให้ทิ่มแทงลิ้น, หรือติดเพื่อให้ขายหน้าเวลานำไปเดินผ่านถนน


14. Schandmantel

       มีหลายชื่อเรียกเช่น เสื้อคลุมของความอับอาย(coat of shame )" หรือ"ถังรูปทรงกระบอกของความอับอาย(barrel of shame)" เป็นอุปกรณ์ทรมานที่นำมาใช้นำศตวรรษที่ 13(หยวนๆ หน่อยนะดู 14 เยอะแล้ว) รูปร่างเหมือนโอ่งมังกรทำจากไม้สลักลวดลายสวยงามแต่มีน้ำหนักมาก เวลาใช้ก็เหมือนสวมตุ๊กตาสัตว์แหละ นำเหยื่อมาสวมอุปกรณ์นี้แล้วล็อก เพื่อไม่ให้เหยื่อถอดออกจากนั้นก็ไปเดินต่อหน้าฝูงชนเพื่อให้อับอาย ดูหมิ่น ทำให้ขายหน้า และให้ขว้างผักเน่า ซึ่งถูดถูกลงโทษส่วนมากจะเป็นโสเภณี


15. ลูกสาวของคนเก็บขยะ (Scavenger's daughter)

      เป็นเครื่องมือของทรมานในสมัยกษัตริย์เฮนรี VIII มีลักษณะเป็นชั้นโลหะที่รูปร่างโครงค้ำตรงรูปตัว ? หรือ V เวลาใช้ก็จับเหยื่อมาล็อกแบบภาพ ซึ่งจะบังคับให้เหยื่อนั่งคุกเข่าในตำแหน่งที่บังคับ และมันจะบีบย่อร่างของเหยื่ออย่างทรมาน

เครดิต : http://board.art2bempire.com/index.php?topic=99701.0


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 00:19:26


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#208
26-03-2012 - 23:56:50

#208 Nebula Eva  [ 26-03-2012 - 23:56:50 ]





การประหารชีวิต 10 อันดับที่สยองและโหดที่สุดในโลก
ปล.เรปนี้ไม่สามารถนำรูปมาลงได้เนื่องจาก รูปประกอบมันโหดเกินบรรยาย น่ากลัวเกินกว่าที่ใครอาจจะรับได้


อันดับที่ 10 Bestiarii
      หมายถึงการส่งนักโทษไปอยู่ในสังเวียนของสิงโตครับ โดยที่นักโทษจะไม่มีอาวุธป้องกันตัวใดๆทั้งสิ้น มีแต่ตัวเปลือยเปล่าอย่างนั้นเลย แล้วก็ผู้ชมก็จะดูการละเล่นไป นักโทษก็จะพยายามกระเสื อกกระสน สู้รัดฟัดเหวี่ยงกับสิงโตหรือสัตว์อื่นๆตามแต่ที่ผู้ คุมหามาให้ แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้หนึ่งตัวอย่างลากเลือด ก็จะมีตัวที่สองและสามโผล่ออกมาไม่หมดไม่สิ้น นอกจากนั้น อาจมีการแสดงโชว์โดยแทนที่จะใช้นักโทษคนเดียว คราวนี้เทกระจาดเอานักโทษมาหมดแล้วก็ปล่อยฝูงสิงโต ออกมางาบอาหารบุฟเฟ่ต์ยาม เย็นจนอิ่มแปล้ไป

อันดับ 9 Colombian Necktie
      เป็นการลงโทษซึ่งนักโทษไม่ทรมานเลย เพราะมันก็คือการเชือดคอหอยดีๆนี่เอง ส่วนวิธีการก็คือ เขาจะจับนักโทษแหงนคอขึ้นแล้วเชือดคอหอยซะ จากนั้นก็จะใช้มือล้วงเข้าไปแล้วดึงลิ้นออกมาให้แลบออกมาที่รอยแผลนั้น ลิ้นก็จะห้อยออกมาสีแดงสดเพราะเลือดย้อย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเรียกว่า เนคไท ยังไงล่ะ

อันดับ 8 Brazen Bull
      เป็นการลงโทษสมัยก่อนซึ่งเจ้าคนคิดนี่คงจะแอบจิตอยู่บ้าง เพราะจุดประสงค์การออกแบบนั้นเหมือนเป็นการสนองความต้องการของผู้ประดิษฐ์ เสียเองมากกว่า วิธีการคือ จับเอานักโทษมาใส่ในวัวเทียมที่ทำมาจากเหล็กจากนั้นก็จุดไฟข้างใต้ ความร้อนจะทำให้ข้างในวัวเทียมยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่(นึกถึงไก่อบหม้อดินประมาณ นั้น) เสียงของนักโทษก็จะร้องโหยหวนซึ่งทางออกเดียวของเสียงนั้นคือ ปากของวัวเทียมซึ่งทำเป็นทรงกระบอก เมื่อนักโทษร้องออกมาก็จะได้เสียง ที่มีเอกลักษณ์และคล้ายกับวัวร้อง นั่นคือสาเหตุว่าทำไมถึงประดิษฐ์เป็นรูปวัวครับ ในประวัติศาสตร์มีคนเคยกล่าวถึงความโหดร้ายของเครื่องนี้ถึงขนาดที่ตนต้อง ปิดหูเพื่อจะได้ไม่ยินเสียงความทรมานของนักโทษซึ่งเสียงนั้นเล็ดลอดเพียงปาก ของวัวเทียมเท่านั้น

อันดับ 7 Flaying
      ถ้าแปลตามตัวเลยก็คือการถลกหนังทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ โดยผู้ประหารนั้นจะใช้มีดที่คมกริบค่อยๆเลาะหนังออกมาอย่างบรรจงโดยที่หนัง นั้นจะติดเป็นผืนเดียวกัน นักโทษนั้นก็จะค่อยๆตายอย่างช้าจากภาวะน้ำในร่างกายไม่เพียงพอ หรืออาจจะติดเชื้อ(ถ้านักโทษอยู่นานพอน่ะนะ) แล้วหนังนั้นก็จะถูกนำไปแขวน ไว้กับผนังประจานไว้เพื่อแสดงถึงใครที่คิดแข็ง ข้อต่ออำนาจทางการเมือง

อันดับ 6 Scaphism
      เป็นการลงโทษของชาวเปอร์เชียนสมัยโบราณ และมันก็ค่อนข้างจะซับซ้อนหน่อย โดยนักโทษจะถูกจับอดอาหารจนผอมและ ยัดเข้าไปในโพรงของต้นไม้ใหญ่ในสภาพเปลือยเปล่า และถูกมัดให้แขนขายื่นออกมา ข้างนอกโพรงต้นไม้ แล้วจากนั้นผู้คุมก็จะให้อาหารเพียงนมและน้ำผึ้ง ซึ่งจะทำให้นักโทษท้องเสีย และทาน้ำผึ้งไว้ตามมือและเท้าที่ยื่นออกมา เหตุครั้งนี้มีไว้เพื่อล่อแมลงเข้ามาตอมและกัดกินหรือวางไข่สร้างรังโดยที่ นักโทษ ไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการที่ท้องเสียก็คืออุจจาระจะส่งกลิ่นและกระตุ้น ให้แมลงยิ่งเข้ามาอีก บางทีแมลงพวกนี้ก็จะมากินอุจจาระและวางไข่หรือชอนไชเข้าไปในก้นด้วย สุดท้ายนักโทษจะเกิดแผลเน่าเฟะและตายอย่างช้าๆจากการ ติดเชื้อ

อันดับ 5 กรอกปาก
      อันนี้เป็นการลงโทษแบบหนึ่งเกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเหตุเกิดที่เมืองไทยนั้นแหละ สมัยนั้นทหารญี่ปุ่นเข้ามาในไทยและค่อนข้างกดขี่ข่มเหงมาก ซึ่งก็มีบทลงโทษสำหรับหัวขโมยเหมือนกัน เช่น ถ้าคนไหนขโมยของกิน ก็จะโดนจับเอาของอันนั้นยัดเข้าปาก หรือบางทีก็จะกรอกน้ำหรือน้ำมันเข้าไปในปาก จนเต็มกระเพาะหรือท้องป่องและ หายใจไม่ออก บางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะน้ำมาก เกินในร่างกาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ตายก็มี ซึ่งทหารก็จะใช้วิธีเอาออกมา หรือก็คือจะใช้เท้าเหยียบเข้าที่ท้องของหัวขโมยคนนั้นและก็อ้วกออกมา ซึ่งยังไงก็ตาย

อันดับ 4 Breaking wheel
      อันนี้มีวิธีการลงโทษอยู่สองแบบ แบบ Indoor กับ Outdoor(หมายถึงทำในที่บ้านกับที่โล่งแจ้ง) โดยแบบแรกคือการตรึงนักโทษไว้บนล้อเกวียนจากนั้นก็ทำ การหมุน เพียงแต่ว่าตรงพื้นข้างล่างนั้นจะเป็นซี่เหล็กแหลมนั บไม่ถ้วนขูดกรีดผิวหนัง และใบหน้าของนักโทษเมื่อผู้คุมหมุนซี่เกวียน และผู้คุมก็จะปรับระดับลดความสูงลงมาอีก ทำให้ขูดลึกกว่าเดิม และทำเช่นนี้จนกระทั่งนักโทษตาย อีกแบบนึงคือตรึงไว้กับซี่ล้อเกวียนครับ แล้วก็จับผึ่งตากแดดอดอาหารจนตาย หรือบางครั้งก็มีอีแร้งมาทึ้งกินเหมือนกัน

อันดับ 3 Ling Chi Ling chi
      คือการลงโทษของคนจีน โดยการจับนักโทษมาแล้วก็เริ่มสับอวัยวะออกทีละชิ้นทีละชิ้น เริ่มจากปลายสุดก่อน แล้วไปส่วนอื่นๆซึ่งทำให้นักโทษตายช้าที่สุดแล้วจากนั้น จึงเริ่มสับที่คอของนักโทษและควักหัวใจออกมา

อันดับ 2 Sawing
      แปลตรงตัว คือการเลื่อยอย่างช้าๆจนกว่าตัวจะขาดเป็นสองท่อน โดยจับนักโทษแขวนห้อยหัวไว้ แหกขาออกแล้วเอาเลื่อยมาวางพาดไว้ที่หว่างขา แล้วก็ทำการเลื่อย คิดดูว่ากว่าจะตายนี่ ทรมานขนาดไหน

อันดับ 1 Hanging Drawing and Quartering
      มันคือการประหารสามครั้งโดย ที่นักโทษยังมีชีวิตอยู่(ยกเว้นอันที่สามที่เขาคงตายแล้วล่ะ)นั่นประกอบไป ด้วยการแขวนคอ โดยที่ผู้คุมจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อนักโทษถูกจับแขวนคอนั้นไม่ใช่การกระตุกจนต้นคอหักตายนะ แต่เป็นการรัดคอจนกระทั่งใกล้จะหมดลมหายใจตาย ผู้คุมก็จะปล่อยตัว จากนั้นก็ลากนักโทษไปวางบนเขียงต่อหน้าประชาชี แล้วผู้คุมเบอร์ 2 ก็ทำหน้าที่ชำแหละควักเอาตับไตไส้พุงออกมาให้นักโทษคนนั้นดูต่อหน้าแม้ว่า สติจะเลอะเลือนบ้างก็ตาม ถ้าเป็นผู้ชายก็จะโดนตอนแล้วเอามาให้ดูด้วยซึ่งผู้คุมก็จะเริ่มการจุดไฟเผา เครื่องในเหล่านั้น ทั้งหมดนี้ทำในเวลาอันรวดเร็วและทำต่อหน้านักโทษคนนั้นซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และหายใจอย่างรวยริน เมื่อนักโทษตาย หรือ อาจจะยังไม่ตาย ก็จะตัดหัวและตัวแยกเป็น4ส่วนครับ นั่นคือการลงโทษแบบ 3 in 1

เครดิต : http://www.fwtoday.com/detail.php?id=20


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 00:31:54


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#209
26-03-2012 - 23:56:57

#209 Nebula Eva  [ 26-03-2012 - 23:56:57 ]





10 เด็กนรกร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์


       เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่สิ่งพวกเขาก่อนั้นเป็นเรื่องที่ “เกินเด็ก” พวกเขาได้ฆ่าคนด้วยความสนุกสนาน ไม่มีมูลเหตุผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังทารุณต่อศพผิดมนษย์มนา ปรารถนาในการฆ่า ผิดจากภาพลักษณ์ของพวกเขาที่ดูไร้เดียงสาแต่จิตใจนั้นยิ่งกว่าปีศาจ เป็นเพราะนิสัย...ของพวกเขาหรือ?? หรือว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อม?? หรือเป็นเพราะครอบครัว คุณเท่านั้นที่จะตัดสิน........

อันดับ 10 ไบรอัน และเดวิด ฟรีแมน( Brian and David Freeman)
       ไบรอันอายุ 17 ปี และเดวิด อายุ 16 ปีสองพี่น้องยักษ์ปักหลักสูงกว่า 6 ฟุต หนักกว่า 200 ปอนด์เขามีรอยสักเป็นรอยสักแก๊งนีโอนาซี สองพี่น้องถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันทีหลังมีการพบศพแม่ของสองพี่น้องและน้อง ชายคนรอง ถูกไม้กระบองทุบจนตายในเขตเมืองซอลส์บรี มลรัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1995 ซึ่งคืนก่อนหน้าที่เกิดเหตุมีเพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างผู้ ปกครองและสองพี่น้องดังกล่าว สุดท้ายสองพี่น้องก็ถูกจับคุกตลอดชีวิต

อันดับ 9 เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ ( Edmund Kemper) 1948-??
       27 สิงหาคม ปี 1964 ที่เบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ ในขณะนั้นอายุแค่ 15 ปี ได้ยิงตากับยายด้วยปืนล่าสัตว์(ยิงยายแล้วก็เอามีดหั่นเนื้อแทงยายซ้ำๆ จนปลายบิดงอ) หลังถูกตำรวจจับกุมเขาอ้างเหตุผลในเวลาต่อมาว่า “แค่อยากรู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับการฆ่ายาย” เด็กชายเคมเปอร์ถูกวินัจฉัยว่าเป็นโรคจิต(แต่ไอคิวถึง 140 )เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล และถูกปล่อยตัวเมื่อปี 1969 เคมเปอร์อายุ 21 ปี แสร้งแกล้งทำเป็นว่าหายขาด และถูกปล่อยสู่สังคม เมื่อออกสู่ภายนอกเคมเปอร์ก็ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ซื้อรถคันหนึ่งรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงนักโบกรถและใช้ปืนยิงแล้วแทงให้ตาย ตัดศีรษะ หั่นศพ ใช้กล้องบันทึกภาพ บางรายนำเนื้อไปกินที่บ้าน มีเหยื่อที่โดนวิธีนี้กว่า 6 ราย และเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1973 เคมเปอร์ก็ฆ่าแม่ของตัวเองโดยการทุบหัวเธอด้วยค้อนขณะที่เธอหลับอยู่ ตัดหัวเธอออกแล้วข่มขืนศพที่ไร้หัวนั้น จากนั้นเขาก็เอาหัวแม่มาใช้เป็นเป้าปาลูกดอกและเอากล่องเสียงไปทิ้งขยะ เท่านี้ยังไม่พอเขายังฆ่าเพื่อนแม่อีกคน ก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจมาจับตนเอง(ตอนแรกตำรวจนึกว่าเรื่องตลก เคมเปอร์ต้องชี้แจ้งหลายนาทีกว่าตำรวจจะเชื่อ) เคมเปอร์สารภาพต่อตำรวจว่า “แม่เป็นหญิงสารเลว สมควรตาย” สุดท้ายเคมเปอร์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรม 8 คดี และถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขายังสุขสบายดีในคุก

อันดับ 8 วิลลี่ บอสเก็ต(Willie Bosket) 1962- ??
       วิลลี่ บอสเก็ต เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1962 เขาถูกตัดสินในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่นิวยอร์ค เขาฆ่าเหยื่อเพียงเพราะชิงทรัพย์เท่านั้น แต่การตัดสินของเขาใช้กฎหมายผู้เยาว์ มันไม่สาสมต่อการกระทำอันอุกอาจของเขาได้ ทำให้สภาได้ร่างกฎหมายเพื่อให้เยาวชนต้องรับโทษแบบผู้ใหญ่ในคดีอุกฉกรรจ์ ขึ้นมา โดยก่อนหน้านั้น ในวันที่ 19 มีนาคม 1978 วิลลี่ บอสเก็ต ใช้ปืนยิงนายโนเอล เปเรส(Noel Perez) บนรถไฟใต้ดินนิวยอร์คเพียงเพื่อขโมยเงินจำนวนหนึ่งและนาฬิกาข้อมือ แปดวันต่อมาวันเขายิงนายโมเลส เปเลส(Moises Perez) นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับเหยื่อรายแรก)และขโมยเงินของเหยื่อ ไป เขาถูกตัดสินโดยกฎหมายเยาวชนก่อนที่ร่างกฎหมายใหม่นี้จะเสร็จ เขาถูกจำคุกแต่ออกมาอีก 4 ปีให้หลัง(ปล่อยในปี 1983) แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ถูกจับในคดีลอบวางเพลิงและคดีร้ายแรงอีกมากมาย และถูกตัดสินโดยกฎหมายใหม่ในที่สุด เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกขังเดี่ยวในเรือนจำนิวยอร์คตราบจนทุก วันนี้

อันดับ 7 โจชัวร์ ฟิลิปส์(Joshua Phillips) 1984-??
       คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1998 ในฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กน้อยเพื่อนบ้านของโจชัวร์ ฟิลิปส์ชื่อเด็กหญิง Maddie Clifton อายุ 8 ขวบ หายตัวไปจากบ้านของเขาเอง ตำรวจและอาสาสมัครกว่า 400 คนทำการค้นหาและเสนอรางวัลเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเดิมแต่สุดท้ายก็ไร้ผล(คดีนี้ ถึงมือ FBI) หารู้ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่ที่บ้านเพื่อนบ้านนี้แหละหากแต่เป็นศพแล้ว

       7 วันต่อมาหลังการหายตัวไปของเด็ก แม่ของโจชัวร์ ฟิลิปส์ทำความสะอาดห้องของเจา เขาพบว่ามีกลิ่นประหลาดและเธอตามหาที่มาของกลิ่นนั้นจนกระทั้งพบร่างของ Maddie ซ่อนอยู่ เธอตกใจและหนีออกนอกบ้านแจ้งตำรวจ โจชัวร์ ฟิลิปส์ซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ปี สารภาพว่าเขาทุบตีเพื่อนบ้าน 8 ขวบด้วยไม้เบสบอลจนเสียชีวิตและเขาหอบศพเธอซ่อนในห้องเขาและใช้มีดแทงเธออีก 11 ครั้ง คณะลูกขุนได้ตัดสินให้เขาจำคุกโดยปราศจากทัณฑ์บน และตอนนี้เขายังอยู่ในคุกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

อันดับ 6 ลอรี่ แทคเก็ต(Laurie Tackett) 1974-??
       เช้าวันเสาร์ของวันที่ 11 มกราคม ปี 1992 พี่น้องคู่หนึ่งได้ออกไปล่านกกระทาในเขตป่า Jefferson และแล้วเขาก็พบร่างหนึ่งที่ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นตุ๊กตาแต่ปรากฏว่ามันเป็น ศพของซานต้า ซาลีเออร์ (Shanda Sharerwho) สภาพศพของเธอบ่บอกถึงการกระทำอันโหดร้าย มีรอยไหม้อย่างรุนแรงและรอยแผลที่ถูกฟันและแทงด้วยอาวุธมีคม จากการสอบสวนพบว่าฆาตกรคือนางสาวลอรี่ แทคเกอร์ อายุ 18 ปี ซึ่งเธอฆ่าซานต้าเพราะเป็นรักสามเศร้า(แบบเลสเบียน)

       นางสาวลอรี่ แทคเกอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1974 ในMadison อินเดียน่า แม่ของเธอเคร่งศาสนาเป็นชาวคริสเตียน ส่วนพ่อเป็นคนงานโรงงานต้องโทษคดีอาญาร้ายแรงและเธออ้างเคยทำร้ายเมื่อตอน อายุ 5 และ 12 (ฟังดูอาจธรรมดากว่าอันดับอื่นๆ ใช่เปล่าครับ ความจริงแล้วคดีนี้ดังมาก ในวีพีมีเดียก็มี โดยคดีนี้มีชื่อ The murder of Shanda Renee Sharer เนื้อหายาวๆ มากเพราะว่าเล่าตั้งแต่ความขัดแย้งของรักสามเศร้า...ทำไมฮิตเลอร์ไม่อยู่ เนอ)

อันดับ 5 เบรนด้า แอน สเปนเซอร์ ( Brenda Anne Spencer) 1962-??
       วันจันทร์ 26 มกราคม ปี 1979 เบรด้าอายุ 16 ปี ใช้อาวุธปืนไรเฟิล automatic.22 ที่ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อในวันคริสต์มาส เธอกราดยิงเด็ก 8 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงเรียนคลีฟแลนด์ อีลิเมนท์ทาลี่ สคูล ในซานดิเอโก้ และพยายามฆ่าครูใหญ่เบอตัน แวคก์ และผู้ปกครอง เธอถูกตำรวจจับกุมหลังจากนั้น 5 ชั่วโมงและถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลต่อการกระทำการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนครั้ง นี้ เธอยักไหล่และตอบกลับว่า “ฉันเกลียดวันจันทร์ มันไม่มีเหตุผล และฉันก็ทำไปเพราะมันสนุกมากๆ เหมือนกับได้ยิงเป็ดในบ่อน้ำ อีกอย่างเด็กๆ พวกนั้นเหมือนฝูงวัวเมียยืนอยู่รอบๆ ซะด้วยสิ”("I don't like Mondays. This livens up the day." She also said, "I had no reason for it, and it was just a lot of fun"; "It was just like shooting ducks in a pond"' and " looked like a herd of cows standing around; it was really easy pickings." ) ผลสุดท้ายเบรนด้าถูกตั้งข้อหาฆ่าคน และบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนประโยค “ฉันไม่ชอบวันจันทร์นั้น” ได้ถูกนำไปใส่ในหนังเรื่อง The Breakfast Club(1985) และยังเป็นแรงดลใจในเพลง “ฉันไม่ชอบวันจันทร์(I don't like Mondays) โดยศิลปิน Boomtown Rats

อันดับ 4 จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน( Jon Venables and Robert Thompson)
       ปี 1993 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน 2 เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(ทั้งคู่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ) วันนั้นเป็นวันเปิดเรียน แต่เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปเรียนสักนิด เขาไปห้างสรรพสินค้า ขโมยลูกกวาด, ตุ๊กตาคอหมุนๆ, แบตเตอรี่จำนวนหนึ่ง, กระป๋องสเปย์สีน้ำเงิน 1 กระป๋อง และบังเอิญพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่งน่าขโมยเป็นบ้าเลย(ไอเดียนรก) มันคือเด็กน้อยนามเจมส์ บัลเกอร์(James Bulger)อายุเพียง 2 ปีกับ 11 เดือนเท่านั้น เด็กสองคนเลยลักพาตัวเด็กออกจากห้างเสียเลย(จากภาพข้างล่าง เป็นภาพกล้องรักษาความปลอดภัยในห้าง คุณจะเห็นเด็กเล็ก(เจมส์)ถูกจูงมือโดยเด็กชายจอนและมีโรเบิร์ตเดินนำหน้า ทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกัน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านี้เป็นภาพสุดท้ายที่บันทึกเจมส์ในขณะมีชีวิตอยู่)

       ไม่รู้ว่าเมื่อออกจากห้างทั้งสองทำอะไรกับเด็กบ้าง รู้แน่ๆ พวกเขาพาเด็กเดินจนขาลากไปกว่าหลายไมล์เรื่อยเปื่อยเป็นเวลานานจนกระทั้ง มาถึงรางรถไฟจากนั้นก็ไม่รู้เพราะอะไรอีกทั้งสองตัดสินใจฆ่าเด็ก โดยฉีดสีสเปย์ใส่ตาเจมส์ จากนั้นก็รุมทุบตีด้วยมือและเท้า ท่อนเหล็กและก้อนหินกระหน่ำไปใส่ที่หัวของเด็กน้อยกว่า 42 แผลด้วยความเมามัน จนกะโหลกแตกจากนั้นก็เปลือยท่องร่างเอาแบตเตอรี่ยัดที่รูทวาร จากนั้นก็ลากศพเด็กไปวางบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี

       และเมื่อมีการพบศพเจมส์ในเวลาต่อมาเด็กทั้งสองก็ถูกจับเกือบทันที เพราะหลักฐานจากกล้องวีดีโอวงจรปิด หลังจากถูกจับกุมทั้งสองเอาแต่ร้องโวยวาย ใช้ความเป็นเด็กไร้เดียงสา บอกว่าไม่รู้เรื่อง โยนความผิดไปอีกฝ่ายไปๆ มา จนคดีนี้ไม่แน่ชัดว่าใครต้นคิดใครฆ่าเจมส์กันแน่ ท้ายสุดศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเด็กสองคนแบบกฎหมายผู้ใหญ่ และทั้งสองถูกปล่อยตัวออกไปในปี 2001

อันดับ 3 เจสซี่ โพเมอร์รอย(Jesse Pomeroy) 1859-1932
       เจสซี่ โพเมอร์รอยถูกตำรวจจำกุมได้ในขณะที่เขาอายุ 14 ในปี 1874 ในข้อหาสังหารเด็ก 2 คนอย่างน่ากลัว เขาถูกตั้งฉายาว่า “เด็กมารร้ายแห่งเมืองบอสตัน(อเมริกา)” ก่อนหน้านั้น 3 ปีก่อน(1871-1872) เขาออกอาละวาดทำร้ายและทรมานเด็กชาย 7 คน และถูกจับส่งตัวไปโรงเรียนดัด...ที่บอสตัน(มีรายงานว่าเขามีอาการทางจิต) และถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 1875 โดยมีทัณฑ์บนไว้ เขาเฉลิมฉลองการออกจากที่คุมขังด้วยการฆ่าเด็กสาววัย 10 ขวบชื่อ Katie Curran ด้วยการตัดแขนขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไม่มีผิด แต่เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้เขาลักพาตัวเด็กชาย Horace Mullen วัย 10 ขวบ ไปที่บึงและสังหารเขาด้วยการใช้มีดแทงอย่างโหดร้ายและเกือบตัดหัวของเด็กชาย จนหลุดจากบ่า เจสซี่ให้เหตุผลว่าเขาฆ่าเด็กชายคนนั้นเพราะมีดวงตาที่แปลก(เด็กชายมีตาสี ขาว) เขายอมรับผิดในเวลาต่อมา และถูกจับคุก 40 ปีอย่างโดดเดี่ยว(เจสซี่รับได้บันทึกสถิตว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอายุน้อยที่ สุดที่ตัดสินในอเมริกา) สุดท้ายเจสซี่ตายเพราะสิ้นอายุไขเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1932 ขณะอายุ 72 ปี

อันดับ 2 แมรี่ เบล( Mary Bell) 1957-??
       วันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1968 ที่ย่านนิวคาสเซิล ทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 11 ปี ของแมรี่ เบล เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(อีกแหละ) เธอเลยฉลองวันเกิดนี้โดยการบีบคอเด็ก มาร์ติน บราวน์ เด็กชายอายุ 3-4 ขวบ จนถึงแก่ความตายแล้วยังไปยั่วแม่ของเด็กทำนองว่า”ลูกคุณตายแล้วเหงาหรือ เปล่า ลูกคุณตายแล้วร้องไห้หรือเปล่า” แต่นี้ยังไม่พอสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมเธอกับเพื่อนของเธอชื่อนอม่า เบล(นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่ใช่ญาติ) ได้ฆ่าเด็กชายไบรอัน โฮล วัย 4 ขวบ และสลักที่ท้องของเด็กชายด้วยอักษรย่อ M และ N ด้วยใบมีดโกน พวกเธอทั้งสองถูกศาลพิจารณาคดีในข้อหาสังหารโหดมนุษย์ 2 ศพ ผลคือคือแมรี่ เบลถูกจำคุกและไปบำบัดจิต ส่วนเพื่อนอีกคนพ้นข้อกล่าวหา(ได้ไง??) ปี 1980 เธอถูกปล่อยตัวจากคุกเมื่ออายุได้ 22 ปีทั้งๆ ที่รักษาโรคจิตไม่หาย เธอมีลูกและหายสาปสูญไปจากสังคม และวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2003 ทางการก็ประกาศว่าเธอเป็นบุคคลนิรนาม

อันดับ 1 สังหารหมู่ในโรงเรียน(School Shootings)
       การกระทำการสังหารหมู่ในโรงเรียนขึ้นต่อเนื่องใน 15 ปีต่อมา ที่น่าสังเกตคือส่วนมากเหตุการณ์สังหารหมู่นี้ผู้ก่อการส่วนมากจะเป็นเด็ก อายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ พวกเขากลับมีอาวุธที่ไม่รู้เอามาจากไหน เช่น ไรเฟิล ปืนกล มีดทหาร ปืนพก ฯลฯ แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้หยิบอาวุธสังหารเพื่อนนักเรียนด้วยกันอย่างเลือดเย็น เป็นเพราะปัญหาทางในโรงเรียนเหรอ(เพื่อนแกล้ง, ครูให้การบ้านเยอะ) หรือจะเป็นปัญหาทางบ้าน หรือเพราะเกมส์(GTA) เรามาดูตัวอย่างที่ผ่านๆ มาดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

       15พฤศจิกายน 1995 เจมี่ เราซ์(Jamie Rouse) วัย17ปีแต่งชุดดำไปโรงเรียริชแลนด์ ที่ไจลส์ เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี่ พร้อมปืนเรมิงตันขนาด.22เขายิงครูไป2คนและหันปืนเล็งยิงโค้ชทีมฟุตบอลพร้อม ยิ้มระบายบนใบหน้าแต่พอดีเด็กคนหนึ่งเดินสวนพอดี จึงโดนแทน

      20 เมษายน 1998 ที่โรงเรียนคอลัมบายน์ไฮสคูล(โคลัมไบน์) อเมริกา อีริค แฮริส อายุ 18 ปี และ ไดเลน เคล็บโบลด์ อายุ 17 ปี (Eric Harris & Dylan Klebold)ได้เดินทางเข้าไปโรงเรียนด้วยท๊อปบู๊ตแบบทหาร เสื้อคลุมสีดำแบบในหนังแอ็คขั่น สะพายเป๋กระเป๋า ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนลูกซอง เบอร์ 12 แบบบรรจุ 8นัด ลูกซองสั้นลำกล้องคู่ ปืนกลมือขนาดเบาTEC-DC9 ระเบิดที่ทำขึ้นเอง เมื่อมาถึงห้องเรียน นักเรียนทั่วไปไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติที่จะเกิดขึ้น อาจจะเพราะทั้งสองดูเพี้ยนๆอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง พวกเขาสาดกระสุนใส่เพื่อนนักเรียนอย่างเมามันและไม่เลือกหน้า ก่อนที่เรื่องนี้จบลงด้วยการฆ่าตัวตายทั้งคู่

       วันที่ 21 พฤษภาคม 1998 คิปแลนด์ คิงเคล(Kipland Kinkel) อายุ 15 ปี ที่เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนสปริงฟิลด์ รัฐโอเรกอน ข้อหาพกอาวุธปืนเข้าห้องเรียน เขาเข้ามาโรงเรียนนี้อีกครั้งพร้อมปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ตรงเข้าห้องอาหารและกราดยิงฝูงชนอย่างไม่รีรอ เป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีก 8 คน

       24 มีนาคม ปี 1999 แอนดรูว์ โกลเด้น(Andrew Golden) อายุ 11 ปีพร้อมสหายมิทเชล จอห์นสัน(Mitchell Johnson) อายุ 13 ปี ในชุดพราง พร้อมปืน โกลเด้นเดินเข้าไปโรงเรียนเวสต์ไซด์ มิดเดิ้ล เมืองโจนส์ เบอโร่ รัฐอาร์คันซอ แล้วแอบกดสัญญาเตือนภัยเพื่อให้ผู้คนแตกตื่น จากนั้นเขาก็วิ่งกลับหาจอห์นสันที่ทำท่านอนเตรียมยิง และขณะที่ผู้คนกำลังชุลมุน ทั้งสองก็กราดยิงกลุ่มนักเรียน 15 คน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไป 13 คน

       1 ตุลาคม ปี 2007 ลุค วู้ดแฮม (Luke Woodham)วัย 16 ปี ถูกแฟนสาวมาบอกเลิก เขาโกรธมาก จนใช้มีดแทงแม่ตัวเองดับเช้าวันนั้น แล้วคว้าปืนเดินเข้าโรงเรียนเพิร์ล รัฐมิสซิปปี้ เขาตรงลิ่วไปคน ฆ่าผู้หญิงคนนั้น กับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จากนั้นก็ยิงเด็กนักเรียนอีก 7 คน คนสุดท้ายถูกยิงแต่รอดเพราะกระสุนหมดก่อน และในขณะที่ลุคเดินกับไปเอาปืนอีกกระบอกหนึ่งผู้ช่วยครูใหญ่ก็จับตัวเขาได้ ทัน ภายหลังลุคตัดพ้อว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เขาทนไม่ไหวแล้ว “คนอย่างผมมักถูกเหยียบย่ำบาทาทุกวันราวขยะ ผมอยากให้สังคมได้รู้ว่า ถ้าเขาทำกับเราอย่างนี้ ก็จะโดนอย่างนี้กลับไป”

เครดิต : http://www.ichat.in.th/pdsewa/topic-readid23652-page1


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 00:42:31


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#210
26-03-2012 - 23:57:02

#210 Nebula Eva  [ 26-03-2012 - 23:57:02 ]





10+1สุดยอดการดัดแปลงพันธุกรรม


10. GloFish

      ปลาม้าลายเรืองแสงเป็น ปลาที่ไม่ได้พบเห็นในธรรมชาติ(แน่นอน) เพราะมันเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม โดยนำยีนจากแมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลชนิดพิเศษ ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนที่เรืองแสงได้เองตามธรรมชาติใน ไปใส่ไว้ในสายของดีเอ็นเอที่ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของปลาม้าลาย จึงทำให้ปลาม้าลายซึ่งปกติมีลักษณะใสและไม่เรืองแสง เปลี่ยนแปลงลักษณะกลายไปเป็นปลาม้าลายที่เรืองแสงได้ เช่นเดียวกับ แมงกะพรุนหรือดอกไม้ทะเลที่เป็นเจ้าของดีเอ็นเอนั้นๆ โดยการทดลองนี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย แห่งชาติสิงคโปร์นำโดย ดร. ซีหยวน กง (Dr. Zhiyuan Gong) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ปลาม้าลายเรืองแสงเหล่านี้เป็นตัวสภาพ ความเป็นพิษของแหล่งน้ำ

      ปัจจุบันมีการซื้อขายปลาม้าลาย เรืองแสงสีแดงในชื่อ โกลฟิช (GloFish) เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2004โดยก่อนหน้านั้น มีการทดลองเพื่อตรวจสอบประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดเป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนในที่สุด องค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration, FDA) ของประเทศสหรัฐฯ ก็อนุญาตให้จำหน่ายได้ โดยระบุชัดเจนว่า “ไม่มีหลัก ฐานว่าปลาม้าลายดังกล่าวมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าปลาม้าลายทั่วไปแต่ อย่างใด”

9. Grapple

      ผลไม้นี้ก็ไม่ได้ พบเห็นในธรรมชาติ(อีกล่ะ) มาจากการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยดัดแปลงพันธ์กรรมระหว่างแอปเปิ้ลและองุ่น ทำให้เกิดผลไม้ชนิดใหม่ที่ผลเหมือนแอปเปิ้ลแต่พื้นผิวเหมือนองุ่นและรสชาติ องุ่น เป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงมาก และว่ากันว่าเป็นของกินที่ถูกส่งไปช่วยโลกที่สอง ด้วยนะ ภายใต้ชื่อสินค้าว่า Grapple ซึ่ง เป็นแบรนด์ที่จดทะเบียนเชิงพาณิชย์ของฟูจิ(คงไม่ต้องถามว่าประเทศใดคิดค้น) มีอีกชื่อว่าแอปเปิ้ลกาล่า ซึ่งสาเหตุที่นำองุ่นมาใส่ตัวแอปเปิ้ลเพื่อทำให้แอปเปิ้ลมีน้ำที่มากช่วย เก็บรักษาราชาติและเนื้อได้เป้นอย่างดี

8. Graisin

      ลูกเกดยักษ์ที่ได้ จากการดัดแปลงพันธ์กรรมเพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ถูกผลิตโดยสถาบันพันธุศาสตร์ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ชอบผลไม้ใหญ่ๆ ล่าสุดนิยมผลไม้และอาหารจากตะวันตกอย่างลูกเกด เนื้อและรสชาติเหมือนกับของพ่อแม่และสามารถกินดิบๆ หรือหั่นบางๆ กินหลายมื้อได้

7.Rubber Cork Tree
ปล.ไม่มีรูปนะ จินตนาการเอาเอง
      เป็นการดัดแปลงพันธุกรรมโดนผสม ระหว่างไม้ก๊อกและยางพารา เพื่อให้เกิดไม้ที่ใช้ทำก๊อกไวน์ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม นั้นคือมีความพรุน, คงทน เปลือกไม้มีสีสันสวยงาม นอกจากนั้นพืชตัดแต่งพันธุกรรมถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในหลายๆ วัตถุประสงค์ ได้แก่ความต้านทานต่อแมลง, ยากำจัดวัชพืชและสภาพสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย ซึ่งผู้ก่อตั้งแชมเปญ Bollinger บอกว่าก็อกแบบใหม่นี้จะ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ผลิตไวน์มาเลย”

6.Umbuku Lizard

      เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่มี เหตุผลหรือวัตถุประสงค์ ในการดัดแปลงพันธ์กรรม แต่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถทำได้ โดยพันธุกรรมในซิมบับเว ได้จัดการดัดแปลงให้ตุ๊กแกสัตว์พื้นเมืองที่มีขนาดเล็กและหายากในแอฟริกา โดยทำให้มันบินได้ แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า Umbuku Lizard

5.Paper Tree

      ต้นไม้กระดาษเป็นต้นไม้ที่ดัดแปลง พันธุกรรมเพื่อมีวัตถุ ประสงค์การลดต้นทุนการผลิตและการสูญเสียทรัพย์กรต้นไม้ในอุตสาหกรรม ผลิตกระดาษ เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทสวิสได้แลเห็นความสำคัญ จึงได้ดัดแปลงโดยต้นไม้นี้จะออกเป็นใบที่มีขนาดใหญ่ และเมื่อนำไปตากแห้ง คุณสมบัติของมันจะเหมือนกระดาษที่ใช้เขียนมาก ในภาพข้างบนเราจะเห็นพนักงานบริษัทถือใบไม้แห้งของต้นกระดาษทาบต้นไม้กระดาษ อยู่

4.Dolion

      มันน่าจะเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ที่ สุดของวิทยาศาสตร์ที่ สามารถนำ DNA มาใช้ได้อย่างเหลือเชื่อ Dolion เป็นการ ดัดแปลงพันธุกรรมระหว่างสิงโตและสุนัข จนได้ผลิตผลสัตว์เหลือเชื่อนี้(บนโลกมีสัตว์ชนิดนี้แค่สามตัวและมันอยู่ใน ห้องปฏิบัติการ ภาพข้างบนมีชื่อว่า Rex ซึ่งเป็นตัว แรก) และข้อมูลของมันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่(มันจะดุเหมือนสิงโตไหมนี้)

3.Tiny Piney

      เป็นสน ขนาดเล็ก โตเต็มที่สูงเพียง 2 เซนติเมตร ถูกดัดแปลงพันธ์กรรมเพื่อให้มันเติบโตอย่างรวดเร็วและใช้กลิ่นต้นสนมาใช้ อุตสาหกรรมน้ำหอม โดยต้นแบบสนเล็กๆ นี้มีอยู่มากมายอย่างมหาศาลที่นิยมบริโภคในประเทศปาปัวนิวกีนีโดยจุ่มลงไป ทอดกินกับกะทิและหอย ส่วน Tiny Piney เป็นชื่อเครื่องหมายการค้า

2. Fern Spider

      แมงมุม เฟิร์นไม่ซ้ำกันในรายการที่เอาสัตว์และพืชมารวมกัน เป็นการดัดแปลงพันธ์กรรมโดยใช้ แมงมุมพันธุ์ในอิตาลีชื่อ Wolf spider (Lycosa tarantula) และ ponga fern (Cyathea dealbata) วัตถุประสงค์ในการผสมพันธุ์มหัศจรรย์นี้คือการศึกษาอัตราการรอดของแมงมุมใน ธรรมชาติ การทดลองนี้เป็นของ ในนิวซีแลนด์ แต่ผลการศึกษายังไม่เผยแพร่

1.Lemurat

      ความ มั่งคั่งของคนรวยชาวจีนกำลังเพิ่มขึ้น พวกเขากำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แปลกใหม่เอาไว้โอ้อวดเงินทองของพวกเขา และนั้นเองจึงเป้นที่มาของบรัษัทวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์จีนในการ แข่งขันผลิตสัตว์ข้ามสายพันธุ์ให้ประสบผลสำเร็ขมากที่สุด(เพื่อการเงิน) จนที่ที่สุดพวกเขาก็ได้แมวพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมระหว่างพวกลิงและแมว ทำให้ได้สัตว์ที่มีขนนุ่มหลายสีของแมว และหางลายและตาเหลืองทึ่มักพบในสัตว์จำพวกลิง โดยทั่วไปมันไม่อันตราย และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Prolos Fira

0.Cats glow

      แมวเรืองแสงเกิดจาก ดัดแปลงพันธุกรรมโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเกาหลีใต้ ทำให้แมวมีสามารถเรืองแสงได้ในความมืดเมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต โดย กง อิลคุน ผู้เชี่ยวชาญด้านโคลนนิ่ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติยองซัง ได้สร้างแมวขึ้นมา 3 ตัว แมวเหล่านี้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมในส่วนของยีนที่ผลิตโปรตีนฟลูออเรสเซนต์ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการโคลนแมวที่ถูกดัดแปลงยีนดังกล่าวตอนแรกพวกเขา ได้แมว 3 ตัว แต่ตอนนี้เหลือรอดชีวิตเพียง 2 ตัว และเติบโตจนมีน้ำหนัก 3 กก. และ 3.5 กก. โดยวัตถุประสงค์ใน การทดลองนี้ก็เพื่อนำ เทคโนโลยีไปใช้ในการโคลน แมวที่มียีนผิดปกติ รวมทั้งมี ประโยชน์ในการพัฒนาการรักษาโรคโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ หรือจะนำมาใช้ในการโคลน สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น เสือ เสือดาว และแมวป่าก็ยังได้

เครดิต : http://listverse.com/2008/04/01/top-10-bizarre-genetically-modified-organisms/


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 01:06:04


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#211
26-03-2012 - 23:57:19

#211 Nebula Eva  [ 26-03-2012 - 23:57:19 ]





Giuseppe Tartini คนที่หลายคนเชื่อว่าทำสัญญากับปีศาจ




      Tartini เป็นนักประพันธ์เพลงและนักดนตรีร่วมสมัยกับบาคและแฮนเดลแต่อายุอ่อนกว่า 7 ปี เขาเป็นครูสอนไวโอลินที่มีชื่อเสียงของเมือง Padua ในอิตาลี ในด้านผลงานนั้น เขาได้ประพันธ์บทเพลงโซนาต้าไว้เป็นจำนวนมากด้วยกัน ส่วนที่มาของเพลง Devil’s Trill sonata นั้น แต่งขึ้นในช่วงที่เขาหนีไปเป็นนักบวชหลังจากที่ลักลอบแต่งงานกับลูกศิษย์ หญิงคนหนึ่ง

      ในคืนหนึ่งเขาฝันว่าได้ทำสัญญากับซาตาน ซึ่งบรรเลงไวโอลินโซนาต้าที่มีความไพเราะมากบทหนึ่งให้แก่เขา แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขากลับไม่สามารถจดจำบทเพลงนั้นได้เลย ตาร์ตินี่จึงลองแต่งโซนาต้าบทนี้ขึ้นเพื่อเลียนแบบบทเพลงในฝันของซาตาน ความพิเศษของ Devil’s Trill sonata อยู่ในท่อนสุดท้าย นักไวโอลินต้องเล่นรัวสาย (Trill) บนสายใดสายหนึ่ง ในขณะนิ้วอื่นๆ ต้องเล่นบนสายที่เหลืออย่างรวดเร็ว

หนังสือ "Trattato di Armonia" งานเขียนของ Tartini ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก


      Tartini ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักไวโอลินที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์การ ดนตรี เขาศึกษาการไวโอลินที่เมือง Assisi และได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนไวโอลินขึ้นที่เมือง Padua เมื่อปี 1728

      เขา เป็นผู้ค้นพบปรากฎการณ์เรื่องเสียงที่เรียกว่า Resulting Sounds โดยสังเกตว่าทุก ๆ ครั้งเมื่อเล่นโน้ต 2 ตัวในอัตราที่เท่ากัน จะได้ยินเสียงของโน้ตตัวที่ 3 (Terzo Suono หรือ Third Sound) นอกจากนั้นเขายังพัฒนาคันชักไวโอลินให้ดีขึ้นด้วยการเพิ่มความยาวของคันชัก เพื่อให้เล่นในเทคนิคที่ยากๆ ได้ดียิ่งขึ้น

      Tartini ได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับไวโอลินไว้เป็นจำนวนมาก เป็นคอนแชร์โตสำหรับไวโอลินประมาณ 150 บท โซนาต้าอีกประมาณ 100 บท นอกจากนั้นยังได้เขียนตำราและแบบฝึกหัดทางดนตรีไว้เป็นจำนวนมาก

      ผลงานประพันธ์ไวโอลินของเขาคือบทเพลงที่นักไวโอลินชั้นยอดยุคปัจจุบันใช้ บรรเลงกัน หนึ่งในบทประพันธ์โซนาต้าของ Tartini ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือ Il trillo del diavolo (Devil's Trill หรือ Devil's Sonata) นำออกตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้วเพียงไม่นานนัก บทประพันธ์ชิ้นนี้เริ่มต้นจากความฝันของ Tartini ในปี 1765 ที่เขาได้ทำสัญญากับซาตาน

      ในความฝันนั้น Tartini นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคได้ส่งไวโอลินของเขาให้กับซาตาน ซึ่ง Tartini ได้เขียนบรรยายไว้ว่า "ผมได้ยินโซนาต้าบทหนึ่งที่แปลกประหลาดแต่ไพเราะมาก บรรเลงด้วยฝีมือชั้นยอดและเปี่ยมด้วยจินตนาการในแบบที่ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะ มีใครทำได้ ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเพราะแทบจะลืมหายใจ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบอย่างหมดแรง ทันใดนั้นเอง ผมเริ่มจับไวโอลิน โดยหวังว่าจะจดจำบางเสี้ยวของสิ่งที่พึ่งได้ยินมาได้ แต่เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพลงที่ผมประพันธ์ขึ้นหลังจากนั้นคือสิ่งที่ผมทำดีที่สุด แล้ว นั่นคือบทเพลง Devil's Sonata แต่มันยังห่างไกลนักจากสิ่งที่ทำให้ผมตะลึงงัน ซึ่งผมยอมพังไวโอลินของผมและเลิกเล่นโดยตรีอย่างเด็ดขาดถ้าผมได้เป็นเจ้าของ เพลงๆ นั้น"

      ผลลัพธ์ที่ได้คือความอึกทึกเล็กน้อยของบทเพลงโซนาต้า ทั้ง 3 กระบวน หนึ่งปีก่อนที่ Tartini จะฝันถึงปีศาจนั้น มีเรื่องเล่ากันว่ามือของเขาถูกบาดจากการดวลดาบ และต้องเลิกเล่นไวโอลินไป ทำให้เขารู้สึกหมดหวังในทางไวโอลิน เขาเริ่มหันไปประพันธ์เพลงและเริ่มรับอุปถัมภ์นักดนตรีเด็กรุ่นใหม่จากทั่ว ยุโรป ทำให้เกิดคำพูดติดปากว่า "สิ่งที่สอนได้แต่ทำไม่ได้" บทเพลง Devil's Sonata กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าใว้วางใจและดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับคนที่ พยายามจะเล่นเพลงนี้

      Andrew Manze นักไวโอลินร่วมสมัยที่เล่นดนตรีแนวบาโร้ค เขาได้รับสมยาว่าเป็น "The Grappelli of the Baroque" การตีความของเขาในบทเพลงนี้คือการเอาชนะอุปสรรคเรื่องการรัว (Trill) และการเหยียดนิ้วด้วยความเร็วถี่ยิบ เทคนิคการเล่นของ Manze ดูช่างมีชีวิตชีวา และในบางครั้งเสียงไวโอลินของเขาฟังดูเหมือนเสียงซอบลูแกรส (Bluegrass fiddle) ที่กำลังรัวอย่างรวดเร็วหรือเป็นเสียงกีตาร์ริฟท์ (Riff) ท่อนสั้นๆ ที่เล่นซ้ำไปซ้ำมาของ Jimi Hendrix มากกว่าจะเป็นเพลงโซนาต้ายุคบาโร้ค และกลับไปสู่ท่วงทำนอนที่สงบอีกครั้งหนึ่ง อารมณ์เพลงและความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ซึ่ง Manze ดึงออกมาจากงานของ Tartini คือปรากฏการณ์ของบทเพลงที่ค่อนข้างสั้นมากๆ มีความยาวเพียง 18 นาทีเท่านั้น มันเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกเขย่าขวัญและขนลุกชัน ซึ่งไม่ได้เกิดจากเนื้หอหาของเพลงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการผู้เล่นที่บรรเลงได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย



ไวโอลิน Guarneri del Gesu ปี 1708 ของ Tartini


และแน่นอนว่ามีการนำไปประกอบเพลงในอนิเมะ ซึ่งอนิเมะเรื่องนี้ จขกท.ชอบมาก 555+


เครดิต : www.weekendhobby.com/art/webboard/Question.asp?ID=52
www.pantown.com/board.php?id=13220&area=4&name=board3&topic=20&action=view


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 01:19:30


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#212
เด็กซ่าบ้านแสบ
26-03-2012 - 23:57:40

#212 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 26-03-2012 - 23:57:40 ]






จองหรืเด้งไม่ทราบ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#213
เด็กซ่าบ้านแสบ
26-03-2012 - 23:57:40

#213 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 26-03-2012 - 23:57:40 ]






เด้ง


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-26 23:57:49

Nebula Eva
#214
27-03-2012 - 01:20:54

#214 Nebula Eva  [ 27-03-2012 - 01:20:54 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

จองหรืเด้งไม่ทราบ


นายน่ะสิเด้ง



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
142954455
#215
27-03-2012 - 01:55:33

#215 142954455  [ 27-03-2012 - 01:55:33 ]






อัพเยอะมาก



Iмagination is more important †han kиowledge :D
Nebula Eva
#216
27-03-2012 - 02:29:39

#216 Nebula Eva  [ 27-03-2012 - 02:29:39 ]





quote : 142954455

อัพเยอะมาก

จัดหนักทีเดียวค่ะ พอดีไม่ได้อัพกระทู้มาตั้งนาน



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#217
เด็กซ่าบ้านแสบ
27-03-2012 - 03:24:08

#217 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 27-03-2012 - 03:24:08 ]






= ="


nanaavril
#218
27-03-2012 - 03:49:22

#218 nanaavril  [ 27-03-2012 - 03:49:22 ]






ไมเคิล แจคสัน ก็น่าจะทำสัญญากับซาตานนะ (ความคิดส่วนตัวนะ)

-------------------------------

เดี๋ยวมาอ่านต่อ ยังค้างเรื่องเครื่องประหาร

ความคิดส่วนตัวเจ๊อีกแล้วนั้นแหละ
เจ๊เคยอ่านมาว่า "ตอนที่ประหารมารี อังตัวเนต ประหารด้วยกีโยติน แล้วให้นอนหงาย มองใบมีดที่กำลังร่วงลงมาใส่
ลองคิดดู สยองมาก

-------------------------------

อ่านจบแล้ว
พอดีชอบเรื่องแนวนี้เลย แต่เรื่องขนลุกที่เห็นศพเจ๊ขอบายนะอีฟซ่า

แล้วๆๆ เรื่องเด็กนรกอ่า เจ๊เคยดูเป็นภาพยนตร์นะ แต่นานมาแล้ว ตอนเจ๊ยังเอ๊าะๆ
เป็นเรื่องที่มีเด็กนักเรียน มาโรงเรียน แล้วพกปืนกลมา แล้วมายืนยิงกราดใส่เพื่อนนักเรียนด้วยกัน
ตายไปหลายศพเลย แต่จำไม่ได้ว่าเป็นคดีของใคร เพราะมันนานมากๆแล้ว

เดี๋ยวจะลองหาดูใน Google ดูดีกว่า


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 08:29:17


O_o
--gotep--
#219
27-03-2012 - 15:05:30

#219 --gotep--  [ 27-03-2012 - 15:05:30 ]




เยอะมว๊ากอ่าบไม่จบ


Nebula Eva
#220
27-03-2012 - 16:40:31

#220 Nebula Eva  [ 27-03-2012 - 16:40:31 ]





5 ฆาตกรโรคจิตสะท้านโลก(ที่กฏหมายเอาผิดไม่ได้)


อันดับ5 นิโคเล เซอร์มอนกลีฟ _(Nikolai Dzhumagaliev) 1953-??




      เขาคือใคร? มันช่างเหมือนประวัติฮันนิบาลจริงๆ นิโคเล เซอร์มอนกลีฟ ฆาตกรต่อเนื่องเจ้าของฉายา “เขี้ยวเหล็ก” มันฆ่าคนเมื่อปี 1980 ในคาซัสสถาน (ตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโซเวียต) โดยล่อสาวๆไปฆ่าและข่มขืนในป่า จากนั้นก็ใช้อาวุธแหลมๆ ทำการตัด ฟัน มาชำแหละเนื้อของสาวๆ เอามากินสดๆ หรือเอามาปรุงอาหารที่บ้าน แถมยังแจกเพื่อนที่หิวโหยได้ลิ้มลองอีก ตลอดช่วง 10 ปี ผ่านมาคาดว่าเขาสังหารเหยื่อผู้หญิงถึง 50 – 100 ราย....

      เขารอดได้ไง? นิโคเล เซอร์มอนกลีฟ ถูกจับในเวลาต่อมา ศาลตัดสินเขาว่าบ้าให้ไปบำบัดจิตที่โรงพยาบาล เขาหลบหนีในปี 1989 และถูกจับกลับมาเพื่อบำบัดรักษาทางจิตอีกในปี 1991 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในปี ค.ศ.1994 โดยไม่ดำเนินคดีทางกฎหมายอาญาอีกเลยหลังจากนั้น

      ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? รายงานล่าสุดบอกว่านิโคเล เซอร์มอนกลีฟ อาศัยอยู่กับญาติทางในยุโรปตะวันออก ไม่ระบุสถานทีชัดเจน ตอนนี้เขาเป็นชายชราอายุประมาณ 55-56 ปี เพื่อนบ้านพูดถึงว่า เขาเป็นชายที่น่าหลงไหล พูดเก่งและเวลายิ้มจะเห็นฟันเหล็กทั้งปากน่าดูเป็นบ้าเลย


อันดับ4 คาร์ล่า โฮมอลก้า (Karla Homolka) 1987-??




      เธอคือใคร? ฆาตกรต่อเนื่องชาวแคนาดาร่วมมือกับแฟนของเธอพอล เบอร์นาร์โดข่มขืนน้องสาวแท้ๆ ของตนเองและน้องสาวของเธอก็ตายในขณะอยู่ระหว่างวิชาผจญภัย โอ้.......แต่แฟนของเธอยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น เขายังบังคับให้เธอร่วมมือฆ่าเด็กสาววัยรุ่นอีก 2 ราย ไม่ได้ฆ่าเปล่าด้วยนะ เขายังถ่ายวีดีโอเทปอัดเก็บไว้ด้วย รวมทุกริยาบทของเหยื่อเลยแหละ มีทั้งตอนขับถ่าย ข่มขืน ทรมาน และเซ็กต์วิตถาร(เช่นใช้ขวดไวท์ทิ่มทวารหนัก,ฉี่รดตัวเหยื่อ)ก่อนที่จะฆ่ารัดคอตายและเอาศพไปทิ้ง ก่อนที่เรื่องจะจบลงเมื่อปี1993 เมื่อคาร์ล่าทนแฟนตบตีไม่ไหวเลยออกมาแฉเรื่องราวสิ่งที่ทั้งสองทำทั้งหมดให้ตำรวจฟัง

      เธอรอดได้ไง? พอดีเรื่องทั้งหมดแฟนของคนเป็นคนก่อขึ้นและบังคับเธอให้ทำ แถมเธอยังสามารถเจรจาต่อรองในชั้นศาลโดยแลกโทษเบาเพื่อให้เธอเป็นพยานให้โทษแก่นายพอล เบอร์นาร์โด ซึ่งมันก็ได้ผลแฟนของเธอโดนจำคุกตลอดชีวิต ส่วนเธอใช้สำหรับเวลา 12 ปีในคุก และถูกปล่อยเป็นอิสระในปี2005

      ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ใน2007คาร์ล่าตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนหน้าพาลูกชายอายุขวบกว่าๆ อพยพไปประเทศใหม่ ซึ่งตอนนี้เธอสามารถอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็น คิวบา, เกาะจาเมกา, ประเทศสาธารณรัฐเฮติ, สาธารณรัฐโดมินิกัน หรือ เปอร์โตริโก คุณอาจจะคิดว่าว่าลาตินอเมริกาอาจไม่เหมาะสาวผมสีบลอนด์ละก็ ก็หันมามองเอเซียหน่อยก็ดีนะ


อันดับ3 ยูฮา วาลยัคคาล่า (Juha Valjakkala)




      เขาคือใคร? 3กรกฎาคม 1988 ยูฮา วาลยัคคาล่าลูกครึ่งสวีเดน/ฟินแลนด์ อายุ22 ปี คงคิดว่าชีวิตจริงจะเหมือนเกมส์ GTA เขาเลยขโมยจักรยานสองล้อ(ขโมยกระจอกจริงๆ) และเขาถูกพบเห็น และโดนไล่ตามโดยผู้เป็นเจ้าของจักรยานสองล้อ สเตน นิลส์สัน (Sten Nilsson) และ เฟร็ดดริค(Fredrik)ลูกชายอายุ15 ปีของเขา สองพ่อลูกไล่ต้อนเขาจนมุมและแล้ว หัวขโมยกระจอกนี้ก็เลือดขึ้นหน้าชักปืนเม่งยิงหัวสองพ่อลูกจนถึงแก่ความตาย และเขาถูกการจับกุมสัปดาห์ต่อมา

      เขารอดได้ไง? ศาลตัดสินให้ยูฮา วาลยัคคาล่าเป็นบุคคลที่ป่วยทางจิต เขากลับเนื้อกลับตัว และรักษาโรคจิตจนหายและอีก 19 ปีต่อมา เขาก็ขึ้นศาลฟินแลนด์และลงโทษจำคุกตลอดชีวิตของเขา แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถูกปล่อยตัวออกจากคุกโดยมีทัณฑ์บนแก่เขาแบบง่ายๆ

      ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? มีคนพบเห็นเขาทำอาชีพคนขับรถแท็กซี่ในสแกนดิเนเวียทางดินแดนในยุโรปเหนือ และรถแท็กซี่ของ Niko ได้รับอนุญาตจากทางการด้วยนะ โดยไม่สนใจประวัติเขาใดๆ ทั้งสิ้นซึ่งถ้าใครไปยุโรปเหนือก็สังเกตรถเท็กซี่กับคนขับหน่อยละ บางทีเขาอาจไม่ทิ้งนิสัยเก่าในอดีตก็เป็นไปได้


อันดับ2 เปโดร อลองโซ โลเปซ (Pedro Alonso Lopez)1949-??




      เขาคือใคร? ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ฆ่าคนไป 300 ศพ โดยเดินสายฆ่าคนสามประเทศคือ เปรู โคลัมเบียในช่วงที่ 70 ตอนต้นทศวรรษที่ 80 โดย เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นเด็กที่ถูกข่มขืนอย่างรุนแรงก่อนที่จะรัดคอหรือบีบคอตายทั้งสิ้น ซึ่งเขาถูกจับในขณะเขากำลังฆ่าเหยื่อพอดี

      เขารอดได้ไง? เนื่องจากประเทศเอกวาดอร์ไม่มีโทษประหารชีวิตดังนั้นเปโดร จึงได้โทษสูงสุดของประเทศนอกเหนือโทษประหารคือจำคุก 20 ปี(แน่ใจเรอะว่านี้คือโทษสูงสุด) และเนรเทศกลับไปดำเนินคดีต่อที่ โคลัมเบียในปี 1998 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในปี 1999 จากนั้นเขาก็หายไป

      ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? มีความเป็นไปได้ว่า เขาอาจอยู่เอกวาดอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาฆ่าเหยื่อมากที่สุด(เฉลี่ยสามคนต่อสัปดาห์)ซึ่งเขาเคยรำพึงก่อนนี้ว่า"ผมชอบเด็กผู้หญิงเอกวาดอร์ เธอสุภาพเรียบร้อยกว่า และ ไร้เดียงสา หลอกง่าย” หรือไม่ก็จากรายงานล่าสุดของตำรวจในปี 2002 บอกว่าพบเห็นตัวเขาที่เมือง Latino ประเทศอาร์เจนติน่า โดยปะปนอยู่กับผู้อพยพ และมีแนวโน้มว่าเขาจะหนีไปอเมริกา เพื่อหาเหยื่อรายใหม่ก็เป็นไปได้


อันดับ 1 อิเซอิ ซากาวา (Issei Sagawa)1981-??




      เขาคือใคร? ฆาตกรชาวญี่ปุ่น ฆ่าข่มขืนแล้วกินศพนางรีนี่ ฮาร์ทธะเวลท์ โดยล่อเธอมาฆ่าที่ห้องพักเขาเขาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1981 และยิงหัวเธอด้วยปืน จากนั้นก็ข่มขืนศพอย่างเมามันก่อนจะแล่เนื้อเธอ ชำแหละ บางส่วนไว้กิน บางส่วนเก็บไว้ตู้เย็น โดยเขาทำอาหารจากเนื้อเธอหลายๆ อย่าง เช่น ซาซิมิ ซุปมิโซะ เทมปุระ ฯลฯ โดยเขาบอกว่าเนื้อส่วนก้นนั้นอร่อยมาก

      เขารอดได้ไง? เขาถูกจับได้เนื่องจากมีคนเห็นเขาทิ้งศพเธอไว้ข้างทาง แต่เนื่องจากเขาเป็นลูกคนรวย พ่อเลยมีเงินจ้างทนายเก่งๆ สู้คดี และเป็นผลสำเร็จ อิเซอิถูกตัดสินว่าบ้า(มามุกแบบนี้ทุกราย) เขาถูกส่งไปบำบัดจิตที่โรงพยาบาลบ้าฝรั่งเศส และพ่อก็วิ่งเต้นให้เขาถูกส่งตัวรักษาทางจิตต่อที่ญี่ปุ่น และบำบัดทางจิตเพียง 1 ปีกับอีก 2 เดือน เขาก็ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ โดยไม่ดำเนินคดีฐานฆ่าคนตายแต่อย่างใด

      ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? ปัจจุบันอิเซอิมีความสุขมีทั้งชื่อเสียงและเงินทองและเสพสุขในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ เพราะชาวญี่ปุ่นมองเขาว่าเป็นฮีโร่(ซะงั้น)ที่ได้แอ้มสาวฝรั่ง(แม้จะเป็นศพ) ทำให้เขาได้งานหลายๆ อย่างตามมามากมายไม่ว่าจะเป็นนิยายที่เขาเอง 4 เล่ม คอล์มต่างๆ ในนิตยสาร นักชิมอาหารตามร้านอาหารหรูๆ และมีโอกาสแสดงภาพยนตร์โป๊เรื่อง Sisenjiyou no Aria หรือ The Bedroom และยังเป็นแรงบันดาลใจให้วง Stranglers แต่งเพลง la Folie(ปี 1991) เพลง “Too Much Blood”ของวงก้องโลกอย่าง Rolling Stones อีกด้วย และเขากลายเป็นฆาตกรกินคนรายเดียวของโลกที่ทำผิดแล้วไม่รับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศส

นี่เป็นสภาพศพเหยื่อของนายอิเซอิค่ะ ใจไม่ถึงห้ามดู เพราะมันสยองมากๆ ถ้าอยากรู้สภาพและกล้าที่จะผวาให้คลิกที่นี่

เครดิต : www.fwdder.com


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-27 16:43:07


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 3rd April 2025 14:22

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ