โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
Nebula Eva
#281
02-04-2012 - 10:26:58

#281 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 10:26:58 ]





มนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยน กับการท่องเที่ยวอันน่าลึกลับ


      เมื่อ ไม่กี่วันก่อนนี้ ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง The District 9 แล้วทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง ในภาพยนตร์เล่าถึงมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมายังโลกของเรา แล้วก็เกิดมีการสร้างเป็นนิคมให้ เหล่าเอเลี่ยนพวกนี้ได้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่กำหนด ไม่ปะปนกับชาวโลก

       แต่ไอ้ที่ทำให้รู้สึกบางอย่างดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เพราะว่า มีหลายความเชื่อจากนักวิชาการ นักเขียนหลายคนเลยทีเดียว ที่คิดว่า อันที่จริงแล้วมนุษย์จากดาวดวงอื่น ได้ "เคย" ย่างก้าวเข้ามาพำนักพักพิงบนโลกของเรามานานเนแล้ว แถมยังได้ทิ้ง "อนุสรณ์" ไว้ตั้งเยอะแยะให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า เฮ้...ฉันอยู่ตรงนี้มานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งมาสักหน่อย



      จากที่ได้กล่าวแล้วว่า มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคยทิ้งอนุสรณ์เอาไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ...ใช่แล้ว พีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆแล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก มาย กระจายไปทั่วโลก เช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ โดยพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ มหาพีระมิดแห่งชูลูลาในเม็กซิโก

      อันว่าพีระมิดนั้นไม่ว่าเล็กหรือ ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกันคือรูปทรง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆพื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก

      แต่ พีระมิด ก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัด และเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ เช่น พีระมิดขั้นบันไดที่ชิเชน อิตซา ที่ระลึกจากอารยธรรมมายาในเม็กซิโก ที่มีบันได 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น รวม 364 ขั้น บวกกับขั้นบนสุดรวมเป็น 365 ขั้น เท่ากับจำนวนวันในแต่ละปี ทั้งๆที่ในขณะนั้นยังไม่มีระบบการใช้ปฏิทินเหมือนในปัจจุบัน หรือการที่หมู่พีระมิดกีซามีทิศทางตรงกันกับตำแหน่งของหมู่ดาวเข็มขัดนาย พราน เป็นต้น




      นักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณเชื่อกันว่า นานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง

      พูดถึงจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศแล้ว อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงลายเส้นนาซกาแห่งเปรู ลายเส้นจำนวนมากมายหลายภาพ ทั้งภาพสัตว์ต่างๆ และลวดลายเรขาคณิตที่ทอดตัวยาวเหยียดในทะเลทราย ซึ่งไม่สามารถมองเห็นภาพได้ หากไม่มองลงมาจากฟ้า แล้วคนโบราณในสมัย 200 ปี ก่อนคริสตกาลสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร หากไม่มี "ใครสักคน" จากเบื้องบนมาให้คำแนะนำ

      นอกจากอนุสรณ์ขนาดใหญ่เหล่านี้แล้ว ของชิ้นเล็กๆจากอดีตกาลก็สื่อความหมายไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะสิ่งของที่ถูกเรียกขานว่าเป็นวัตถุหลงยุค

      วัตถุหลงยุคในความเชื่อของนักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณนั้น หมายถึงสิ่งของที่โผล่อยู่ผิดที่ ผิดเวลา เป็นของที่ดูเหมือนลํ้าสมัย ไฮเทค ไม่น่าจะมีในยุคโบราณได้

      แต่ก็มีให้เห็นเป็นหลักฐานกันมาแล้วนักต่อนัก โดยวัตถุหลงยุคที่โด่งดังมากที่สุดชิ้นหนึ่งเห็นจะเป็นสิ่งที่ถูกขนานนามว่า เครื่องจักรกลแอนติคีเธอรา ซึ่งถูกค้นพบจากซากเรืออับปางทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะครีท

      ซึ่งทีแรกที่ถูกค้นพบใน ค.ศ.1900 นั้น ยังไม่มีใครสนใจซากบรอนซ์ผุก่อนนี้นัก จนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมานักโบราณคดีได้สังเกตเห็นโครงร่างซี่ล้อในเศษซากที่ค้นพบ พร้อมข้อเขียนที่สลักไว้บนผลงานลึกลับชิ้นนั้นว่า มันถูกสร้างขึ้นในปีที่ 80 ก่อนคริสตกาลและในเวลาต่อมา มันก็ถูกพิสูจน์ว่า เป็นเครื่องจักรกลทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ จนบางคนเรียกขานมันว่าคอมพิวเตอร์แห่งกรีกโบราณ ซึ่ง อาร์เธอร์ ซี คลาร์ก นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชื่อดังก็เคยกล่าวถึงมันว่า

      แม้จะเป็นของเก่าที่อายุเกินกว่า 2 สหัสวรรษแล้ว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ลํ้าหน้าเกินกว่าเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 18 และการที่มันถูกซ่อนอยู่ใต้นํ้ามาเป็นเวลานับพันปี ก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากพอจะมีความหวังว่ามนุษย์เราจะพบยานอวกาศจากอดีตอันไกลโพ้น หรือสิ่งประดิษฐ์ใดๆของมนุษย์ต่างดาวแล้วล่ะก็ มันก็น่าจะจมอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกที่เรายังสำรวจไม่ทั่วถึงนั่นเอง




      นอกจากเครื่องจักรกลแอนติคีเธอราที่เป็นหลักฐานแสดงว่า น่าจะเคยมีเผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการและสุดยอดเทคโนโลยีเคยมาเยือนเราเมื่อ หลายพันปีก่อนแล้ว อีกหลักฐานหนึ่งที่เป็นที่ฮือฮากันมาก ก็น่าจะเป็นหลอดไฟในยุคอียิปต์โบราณ

      งานนี้ไม่ได้มีของเป็นชิ้นๆมาให้เห็น แต่ หลักฐานอยู่ในรูปสลักของวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงฟันธงลงไปว่า ก่อนที่ โธมัส อัลวา เอดิสัน จะประกาศตัวเป็นผู้ประดิษฐ์ หลอดไฟในโลกยุคใหม่นั้น ชาวอียิปต์โบราณเขามีหลอดไฟใช้กันมานานแล้วล่ะลุง แล้วเทคโนโลยีนี้จะมาจากไหนได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเอามาให้

      คนที่เชื่อในเรื่องนี้บอกว่า ไหมล่ะ สงสัยมานานแล้วเชียวว่า ในพีระมิดน่ะ ทั้งมืด ทั้งแคบ แล้วนักแกะสลักรูปภาพอียิปต์เข้าไปทำงานในที่มืดๆอย่างนั้นได้ยังไง จะว่าจุดคบไฟก็ไม่เคยมีการพบเขม่าควันในพีระมิด ว่าแล้วหลอดไฟก็เป็นคำตอบที่ให้ความกระจ่าง

      ถึงกระนั้นคนขี้สงสัยยังซักต่ออีกว่า ไอ้ที่ว่ามีหลอดไฟใช้กันมาตั้งหลายพันปีแล้วน่ะ จะไปเอาไฟฟ้าจากไหนมาให้พลังงานกับหลอดไฟกันล่ะ งานนี้มีคำตอบ อีริค ฟอน ดานิเก้น นักเขียนผู้สร้างทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศบอกว่า ก็มาจากแบตเตอรี่น่ะสิ

      งานนี้มีหลักฐานยืนยันอีกแล้ว เพราะมีการค้นพบภาชนะรูปร่างคล้ายแจกัน ภายในบรรจุถ้วยกระบอกทองแดงและแท่งเหล็ก มันเป็นวัตถุโบราณของเมืองแบกแดด จากช่วงเวลาประมาณ 240 ปีก่อนคริสตกาลและในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง ที่มันถูกพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า สิ่งนี้คือแบตเตอรี่ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้

      ว่าแล้ว อีริค ฟอน ดานิเก้น ที่สร้างสวนสนุกของตนเองขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ก็จัดการผลิตหลอดไฟที่เห็นในภาพขึ้นมาโชว์ให้เห็นกันจะจะว่า สามารถทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ลักษณะเดียวกับแบตเตอรี่แห่งแบกแดดนี้ ทำเอาฮือฮากันไปทั้งบางอีกแล้วว่า ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเคยมาอยู่อาศัยบนโลกเราแล้วล่ะก็ ของพวกนี้จะมาจากไหนกัน

      ดานิเก้นและผองเพื่อนคอเดียวกันฟันธงฉับลงไป ว่าต้องเคยมีผู้มาเยือนจากอวกาศมาอยู่อาศัยบนโลกของเรา อาจจะเป็นทั้งนาย ทั้งครู ผู้สอนวิทยาการ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาก็จากไป ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ค้นพบ

      แต่ที่มากกว่านั้นก็มีนักคิดบางคนบอกว่า พวกเขามาอยู่ตั้งรกรากบนโลกของเราแล้ว อาจจะไม่ได้จากไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว แต่อาจจะทิ้งเชื้อสายไว้ดั่งเช่นที่หลายอารยธรรมของโลกมีตำนานเก่าแก่คล้ายๆ กันว่า เผ่าพันธุ์ของตนสืบสายมาจากเทพ หรือคนที่มาจากท้องฟ้า เช่น ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากษัตริย์ของตนสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ หรือคนเกาหลีที่เชื่อว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคือฮวานอุง โอรสของเทพที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ ฯลฯ

      จะว่าไปตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษผู้ลงมาจากฟ้านี้ มีหลักฐานอยู่ด้วยเหมือนกัน นั่นคือ ใน ค.ศ.1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งได้ขุดค้นถํ้าใกล้ชายแดนจีน-ทิเบต แล้วเจอที่ฝังศพแปลกๆเป็นโครงร่างกระดูกขนาดย่อม สูงประมาณ 4 ฟุต แต่หัวกะโหลกใหญ่ พร้อมด้วยแผ่นจานหินรูปร่างเหมือนแผ่น C จำนวนหนึ่ง

      ซึ่งจารึกตัวอักษรขนาดจิ๋วเอาไว้ ไม่นานต่อมาก็มีการแปลความหมายได้ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งจากฟากฟ้าตกลงมายังโลกของเราเมื่อ 12,000 ปีก่อน แล้วสร้างหมู่บ้านปักหลักอาศัยอยู่กลายเป็นบรรพบุรุษชาวจีนเผ่าโดรปา ที่อ้างเสมอมาว่า ตัวเองสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าต่างดาว

      งานนี้นักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณบอกว่า ไหมล่ะ ทำไมคนจีนถึงมีจำนวนมากกว่าใครในโลก ก็เป็นเพราะพวกเขา "มา" ก่อนใครไงเล่า...


เครดิต : http://www.thairath.co.th/
quote :
ตามคำขอจากเรป264 บทความนี้อ้างอิงมาจากเว็ปของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐซึ่งไปขุดๆมาจนเจอ ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับเอเลี่ยน เนื่องจากข้อมูลจากแหล่งอื่นไม่สามารถนำมาอ้างอิงเป็นข้อเท็จจริงได้(ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลของเอเลี่ยนในหนังพรีเดเตอร์และเกมต่างๆที่มีเอเลี่ยนเป็นตัวประกอบ)
quote : ส่วนนี่เป็นของแถมค่ะ(โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านนะคะ)

11เหตุการณ์ ที่ทำให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง

เหตุการณ์ที่1 เครื่องบินสีทอง
      จากจำนวนวัตถุลึกลับเกี่ยวกับจานบิน ชิ้นนี้ดังที่สุด ซึ่งถูกพบในโคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินปัจจุบันด้วย ซึงแน่นอนชาวพื้นเมืองในโคลัมเบียคงไม่สามารถสร้างเครื่องบินนี้แน่ โดยเฉพาะเมื่อ 1000 ปีก่อน
      อาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงอเมริกาใต้ ในยานอวกาศใต้ ในยานอวกาศที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ทตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีมาแล้ว และคงสร้างยานลำนี้ไว้เป็นที่ระลึก

เหตุการณ์ที่2 เด็กเขียว
      ในเดือนสิงหาคม 1887 ในสเปน มีเด็กสองคน ซึ่งมีผิวหนังสีเขียวเป็นมันวาว และมีดวงตารีเฉียง เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กสองคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุประหลาด และพูดภาษาประหลาดที่ผู้เชี่ยวชาญภาษาจากบาร์เซโลนาไม่เข้าใจ และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาษาอะไร เด็กชายที่เป็นผู้ชายตายก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงยังอยู่ต่อมาและหัดพูดภาษาสเปนได้จนคล่องเธอเล่าว่าเธอถูกนำมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ยามสนธยามีพระอาทิตย์ขึ้น และถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั่น
      ดินแดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเธอถูกส่งตัวมายังโลกด้วย ยาวอวกาศหรือเปล่า หรืออาจมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้

เหตุการณ์ที่ 3 การระเบิดที่ไซบีเรีย
      เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 มีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าฮิโรชิม่าถึง 10 เท่าดังไปค่อนโลก มีบางคนบอกว่า ตนเองได้เห็นแสงไฟและเห็นควันรูปเห็ด อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายสาเหตุการระเบิด ไม่มีใครทราบแน่ชัด
      ในปี 1927 นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต ได้ออกทำการสำรวจและพบบริเวณที่เกิดการระเบิดนั้น ซึ่งกินบริเวณกว้างขวางถึง 800 ตารางไมค์ จากการลงความเห็นของผู้วชาญ แรงระเบิดนั้น ไม่ใช้เพราะอุกาบาตรแน่ มีบางคนบอกว่ามันอาจเป็นดาวหาง อาจเป็นเสี่ยวหนึ่งของหลุมดำ หรืออาจเป็นแสงเลเซอร์จากดวงดาวอื่นก็ได้
      อเล็กซานเดอร์ คาซานท์เซฟ วิศวกรด้านอาวุธของรัสเซียลงความเห็นว่า มันเป็นพวกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขณะบินทำการสำรวจโลก ตกลงมา และเกิดระเบิดขึ้น

เหตุการณ์ที่ 4 สัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาว
      วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 นักดาราศาสตร์โครงการ ซีคลอปส์ (Cyclops) ได้รับสัญญาณที่ซับซ้อนกว่าเสียงสะท้อนใดๆ ในโลกนี้ มันเป็นโทนเสียงขึ้นๆ ลงๆ ผสมผสานกันอย่างซับซ้อน พร้อมโครงสร้างจังหวะ รวมไปถึงเสียงที่ไม่เคยมีมนุษย์ได้ยินมาก่อนรวมอยู่ด้วย ซึ่งสัญญาณนี้ระบุว่ามาจากดาวออฟิยูซิ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 17 ปีแสง ทำให้เชื่อกันว่าเป็นสัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาวซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่าเรา

เหตุการณ์ที่ 5 เมื่อมนุษย์ต่างดาวเป็นฆาตกร
      วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐเคนตักกี้ อเมริกา เรืออากาศเอก โธมัส แมนเทลล์ จูเนียร์ ได้ขับเครื่องบินซี 118 แถวน่านฟ้าของเมืองแมรีส์วิลล์ เพื่อไปตรวจสอบการพบเห็น UFO ส่องแสงขนาดใหญ่ และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเงียบเชียบข้ามท้องฟ้า ซึ่งทางฐานทัพก็จับสัญญามันได้เช่นกัน
      แมนเทลล์ขับแล้วไปเจอ UFO ลำนั้นทันที เขารายงานวัตถุนั้นต่อศูนย์เป็นระยะในการติดตาม “พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี และมันใหญ่โตมโหฬารมาก มันดูเหมือนโลกหะรูปกลมใหญ่มาก ผมกำลังพยายามไปให้ถึงมัน มันกำลังบินสูง มันเริ่มบินสูง.... พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์มาก! มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...”จากนั้นสัญญาณก็ถูกตัด
      เวลาต่อมา มีการพบซากเครื่องบนและศพของเรืออากาศเอกแมนเทลล์ มีรายงานว่าซากเครื่องบินมีรูและรอยขีดข่วงจากความร้อนสูง เหมือนกับว่าเครื่องบินถูกทำลายจากรังสีบางอย่าง
      ปัจจุบันการตายของแมนเทลล์ยังเป็นปริศนาต่อไป ว่าสิ่งที่เขาพบนั้นคือ UFO จริงหรือไม่?

เหตุการณ์ที่ 6 แอเรีย 51 (Area 51)
      พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ปี 1958 เป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุดเพราะเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนนอกเข้าและมีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด แม้ทางการสหรัฐจะบอกว่าพื้นที่นี้เป็นเพียงสถานที่ทดสอบอาวุธหรือเครื่องบินรบใหม่ของสหรัฐ แต่มีหลายคนบอกว่าอาจเป็นฐานทัพของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็สถานที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้ง จนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 นั้นต้องมีอะไรมากกว่าสถานที่ซ้อมรบเครื่องบินรบ แน่นอน

เหตุการณ์ที่ 7 จานบินตกที่รอสเวลล์
      ในปี ค.ศ.1948 เมืองรอสเวลล์ เกิดเหตุการณ์วัตถุบินลึกลับตกในพื้นที่ทะเลทรายของชาวเมืองนาม แม็ค บราเซิล วัตถุชิ้นตกตกและชิ้นส่วนตกกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่เกิดเหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรกบอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมีอยู่ในโลก และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุภายหลังทางการดันกลับคำให้การบอกว่าวัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือหรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ?
      ทำไมต้องกลับคำผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่? ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

เหตุการณ์ที่ 8 การลักพาตัวเบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ (betty and Barney Hill)
      นี้คือการลักพาตัวที่โด่งดังที่สุดและเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวคนในโลก
      19 กันยายน 1961 ขณะที่เบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มีจานบินแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ
      สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน(ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด
      จากนั้นสองสามีก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก จนต้องออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975

เหตุการณ์ที่ 9 การชำแหละวัวในท้องทุ่ง (Cattle Mutilations)
      9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดวัวตายอย่างลึกลับจำนวนมากในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและบราซิลและแถบอื่นๆ ทั่วโลก
      โดยการตายลึกลับนี้แทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะสามารถทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่วัวถูกฆ่าจำนวนมากโดยทั้งหมดนั้นลงมือเสร็จเพียงคืนเดียว โดย ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ ด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้แต่ไม่ใช้เลเซอร์หรือมีด และไม่มีเลือดไหลออกมา อวัยวะบางส่วนเช่น อวัยวะเพศ ลูกตาและเต้านมโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย
      มีการศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

เหตุการณ์ที่ 10 วงกลมประหลาดบนทุ่งหญ้า (Crop Circles)
      ในช่วงปี 1980 เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือประจักษ์ต่อชาวโลก ใน 29 ประเทศ ทั่วโลก คือเกิดวงกลมประหลาด หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่งข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าว และอื่นๆ
      โดยจากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง
      พบว่าในช่วงปลายปี 1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่รูปแบบจะออกมาในลักษณะเส้นตรงซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะทำได้ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วหาเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง พวกเขาจะทำทำไม มันเป็นสัญญาบอกชาวโลกหรือ หรือว่าเป็นที่จอดยานบิน หรือว่าเป็นการเล่นสนุก??

เหตุการณ์ที่ 11 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว
      ในปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็นฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตกที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูกมอบหมายให้ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนต์
      จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนต์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจากนั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน , ฮอลล์แลนด์ , บราซิล และอิตาลี

เครดิต : http://www.tpa.or.th/blogbox/entry.php?w=chaochao&e_id=1120

quote : จากใจ จขกท.
ตาม คหสต.ของเรา เท่าที่อ่านและหามารวมถึงเรื่องที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว บอกตามตรงว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ที่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวหรือเอเลี่ยนหรือUFOนั้นเพราะ โลกเราไม่ได้เป็นดาวเคาะห์เพียงดวงเดียวของจักรวาล และในจักรวาลก็ไม่ได้มีเพียงกาแล็กซี่หรือเอกภพเดียวเช่นกัน หากดวาเคาะห์ที่เรียกว่าโลกมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พวก หมู หมา กา ไก่ ฯลฯ เป็นต้นอาศัยอยู่ได้ ดาวเคาะห์ดวงอื่นๆก็อาจมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆอาศัยอยู่ได้เช่นกัน เพียงแต่รูปร่างของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอาจไม่เหมือนเราและผิดแปลกไปจากที่เราเคยพบเคยเห็นตามสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ เหมือนสัตว์น้ำมีครีบ สัตว์บกมีขา สัตว์ที่บินได้มีปีกนั่นแหละ ที่ต้องปรับโครงสร้างร่างกายไปตามสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ หากมาคิดอีกมุมหนึ่ง มนุษย์ต่างดาวที่เราพูดถึงอาจกำลังนั่งเรียนวิชามนุษย์ศึกษา และเรียกพวกเราว่าเอเลี่ยนแทนก็ได้ อันนี้เราคิดขำๆนะ ส่วนที่ว่าเราไม่เชื่อเรื่องเอเลี่ยนนั้นเพราะ หากลองอ่านบทความที่ได้มาจากเว็บของไทยรัฐนั้น แล้วลองมาคิดตามหลักความจริงดูสิว่า มนุษย์ในสมัยก่อนกาลนานนั้น โครงสร้างร่างกายสูงใหญ่กำยำ(ไม่รู่ว่าทำไมปัจจุบันมนุษย์มันเตี้ยลงๆฟ่ะ) แล้วคนสมัยก่อนก็ฉลาดกว่าคนยุคปัจจุบันอีก มันคงเป็นเรื่องง่ายถ้าจะคิดสร้างเครื่องทุนแรงและเครื่องอำนวยความสะดวก(งั้นลองเถียงสิว่าทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้ได้ศึกษาล้วนเป็นของคนสมัยใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าให้คนรุ่นใหม่ศึกษาจากคนรุ่นเก่าเพื่อที่จะได้พัฒนาต่อไปเหรอ ซึ่งแนวคิดนี้เหมือนประมาณว่าคนรุ่นเก่ามีประสบการณ์มามากกว่าจึงให้คนรุ่นใหม่ศึกษาจากประสบการณ์คนรุ่นเก่า ไม่งงนะ)เรื่องที่ว่า มันน่าเหลือเชื่อมากที่มนุษย์จะสามารถสร้างพิระมิคได้ จขกท. ตอบได้คำเดียวว่าเชื่อ อย่าลืมว่าอียีปต์โบราณนั้นนับถือฟาโรห์เปรียบเสมือนเทพเจ้า ไม่ว่าเทพเจ้าตรัสอะไรหรือต้องการอะไร ผู้คนที่ศรัทธาในเทพเจ้าองค์นั้นต้องเชื่อมั่นและทำตามอย่างไร้ข้อกังขา ดังนั้นจะไม่อยากเลยหากทุกคิดที่สร้างพีระมิคคิดเหมือนกัน นั่นคือเชื่อมั่นในฟาโรห์ ศรัทราในเทพเจ้า และสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเกริยติร์แก่พระองค์
ปล.ที่ จขกท. พล่ามมาทั้งหมดในquoteนี้ เป็นเพียง คหสต. เพราะมันอดไม่ได้ที่จะบ่น การหาเรื่องนี้ก็ไปเจอมาหลายเว็บเช่นกันที่เถียงว่ามีจริงและไม่มีจริงกันจนดราม่า ดังนั้นเพื่อกันกระทู้ตัวเองน้ำเน่าเลยอยากชี้แจงให้ผู้ที่เข้ามาอ่านใช้วิจารณญานในการเสพข้อมูล ขอให้เสพอย่างมีเหตุผล ฟังหูไว้หู หน่อยก็ดี

thae33001


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#282
02-04-2012 - 11:08:17

#282 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 11:08:17 ]





ถึงมาร์ค
#266 นายแย่งเราเต็มๆเลย ในเมื่อเราบอกว่าจะหาให้^^*
แล้วก็นะ ตั้งแต่เรป266-279 นายก๊อปมาจากเว็บเดียวกันหมดเลยนี่เรียกว่าหาเหรอ การหาข้อมูลของนายคืดอการเข้าไปที่เว็บๆหนึ่ง พอเจอที่ถูกใจแล้วก็เอามาลงงั้นเหรอ จากที่ดูการจัดหน้าเรป บ่งบอกได้เลยว่านายอ่อนหัด แม้เว็บที่ก็อบมาจะไม่มีคำผิด แต่คนอ่านข้อมูลกลับไม่อ่านและตีความข้อมูลเองนี่มันน่าเชือดไหม ส่วนเรื่องที่ช่วยหาข้อมูลแทนน่ะเราไม่ไม่ๆได้ว่านะแต่ช่วยให้มันอยู่ในขอบเขตที่เราควบคุมได้ด้วย ไม่ใช้เจออะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องแล้วเอามาใส่ๆ โดยที่ไม่ลองอ่านเปรียบเทียบดูเลยว่าเกี่ยวกันกับเรื่องที่หาไหม อย่างCaddy Cadborosaurus มันเป็นเรื่องของUMA หรือสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่หลงยุค เรป276-277 เป็นเรื่องของการผ่าตัดแปลงเพศ และการเลี้ยงดูเด็กที่ผิดธรรมชาติ ส่วนเรป 278 เป็นบทความเกี่ยวกับการเนิดของชีวิตและวิวัฒนาการของมนุษย์ ข้อมูลที่นายหายัดมาเนี่ยแทบจะไม่ได้เกี่ยวกับเอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาว หรือUFOเลย ย้ำว่าแทบจะ เพราะอย่างน้อยิหารบนดวงจันทร์อ่านแล้วก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่การหาข้อมูลมาลงโดยไม่สามารถล้วงเอาแหล่งที่มาที่ของข้อมูลให้การค้นคว้ามาอีกทีนับว่าผิดพลาดนัก เพราะมันไม่สามารถสืบหาต้นตอฉบับเดิมเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้

ปล.นี่คือการบ่นนนนนนนน ของเราโปรดอ่านให้เข้าใจและตีความหมายให้ออกว่าเราต้องการสื่ออะไร
ปลล.เราเคยให้วิธีการลงข้อมูลไปแล้ว เหตุใดถึงไม่ทำตาม^^*
แล้ว ปลลล. อีกครั้งควรจัดเรปให้มันน่าดูอ่านกว่านี้ ไม่ใช่ก๊อปวางก๊อปวาง เพราะถ้าทำแบบนี้ไม่มีใครเขาอยากอ่านหรอก มันลายตา



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#283
02-04-2012 - 17:39:34

#283 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 17:39:34 ]





ประกาศ ณ ที่นี้

หากเจอชื่อสมาชิกนี้>>เอ็ดเวิร์ด เข้ามาช่วยหาข้อมูล หรือเรื่องราวที่น่าสนใจในกระทู้นี้อย่าได้ตกใจ

      เพราะเราได้ให้เขามาช่วยงานในกระทู้(ส่วน จขกท. จะได้มีเวลาไปร่อนที่เว็บอื่น) ในฐานะบรรณารักษ์ฝึกหัด ดังนั้นก็ทำใจหน่อยหากเปิดไปแล้วเจอเรปที่มีข้อความลายตา เพราะยังเป็นบรรณารักษ์ใหม่อยู่(แต่อีกเดี๋ยวคงชินกันเองสำหรับผู้ที่เข้ามาชมกระทู้บ่อยๆ)

ปล.มีแค่นี้แหละที่อยากจะบอก
ปลล. กิจกรรมวาดรูปสัตว์ประหลาดในจินตนาการยังจัดอยู่นะเอ่อ ใครสนใจก็ไปสมัครได้เลย ที่กระทู้นี้ จิ้มเลย (แอบโปรโมรกิจกรรมไปในตัว)



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#284
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 17:49:36

#284 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 17:49:36 ]






แวมไพร์(Vampire)

สิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่เมพอย่างเหนือมนุษย์โดยแท้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องโซ้ยเลือดตัวอะไรก็ได้เป็นอาหาร เมื่อหิว ..อาศัยอยู่ในที่มืด เช่น รูหนูหรือรูแมลงสาบเป็นที่ซุกหัวนอน กลัวแสงสว่าง เช่น แสงเทียน เป็งต้น และเกลียดกระเทยกับกระเทียมอย่างแรง

แวมไพร์ที่พัฒนาตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ(แวมไพร์ในปัจจุบัน)

แวมไพร์ในปัจจุบัน(เป็นแวมไพร์ขั้นที่ 4)จะรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์อย่างโดยแท้ แต่จะมีสิ่งที่ผิดปกติคือมันจะมีเขี้ยวอันแหลมคม(เพื่อไว้สำหรับกัดขี้) แวมไพร์ในปัจจุบันนี้ได้เผยแผ่ไปยังหลากหลายประเทศ โดยจะอาศัยอยู่ตามบ้านร้างๆโทรมๆ เพราะไม่มีเงินจะไปซื้อเช่าบ้านกะคนเค้า ...แวมไพร์อยู่ได้ในเฉพาะที่มืดเท่านั้น

พิธีการสานต่อพลังแวมไพร์

แวมไพร์สามารถไปแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ ผู้ที่คิดค้นพิธีแพร่เชื้อนี้ก็คือทั่นมหาเมพแวมไพร์หลอดซึ่งทรงเป็นบร๊ะแวมไพร์ตนแรกของโลก
พิธีการแพร่เชื้อคือการกัดที่บริเวณคอของใครคนใดคนหนึ่ง เพียงแค่กัดคอบุคคลนั้น คนผู้นั้นก็จะติดเชื้อโรคแวมไพร์และบ้าในที่สุด(ฤทธิ์ของโรคจะคล้ายๆกับโรคพิษสุนัขบ้า)

แวมไพร์พันธุ์พิลึกอรหันต์การันต์ยอ

แวมไพร์พันธุ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยแวมไพร์ฝรั่งเศษตระกูลมาร์คเกอร์ อพยพมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นและอาศัยอยู่ที่นั่น จากนั้นได้มีลูกสาวชื่อ มาอากะ คางขิง คางขิงเป็นแวมไพร์ที่ไม่ดูดเลือด แต่เป็นแวมไพร์ที่ถ่ายเลือด โดยร่างกายของเธอจะผลิตเลือดอยู่บ่อยๆในปริมาณมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ร่างกายเธอเปลี่ยนไปอีกด้วย คางขิงไม่กลัวแสงสว่าง เธอสามารถกินกระเทียมและเยสกะกระเทยได้โดยไม่กลัว
เนื่องจากเป็นแวมไพร์ที่ประหลาดและเหนือกว่าใคร ทำให้เป็นแวมไพร์ที่น่ายกย่องที่สุด จึงมีบร๊ะคัมภีย์ฉบับของทั่นคางขิงโดยเฉพาะถูกตีพิมพ์ออกมา

ว่ากันว่า

แวมไพร์ผู้ชายจะหล่อลาก ส่วนผู้หญิงจะเซ็กซี่
แวมไพร์กัดที่อื่นก็ได้ถ้ามีเส้นเลือดใหญ่
แต่ที่นิยมให้กัดคอเพราะำเรื่องความดึงดูดทางเพศล้วนๆ (หาคนอ่านจนหลายเป็นวัฒนธรรมแวมไพร์ไปแล้วนั่นเอง)
แวมไพร์กินเหล้าไม่เมา
แท้จริงแล้วแวมไพร์ไ่ม่กลัวไม้กางเขน น้ำมนต์ กระเทียม ฯลฯ

และนี้คือการมั่วประวัติเเวมไฟร์ โดยกนคุง เนื่องจาก ดู Vampire Knight มากไป





เด็กซ่าบ้านแสบ
#285
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 17:51:34

#285 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 17:51:34 ]






“แพร่” แม้จะเป็นเมืองผ่านที่ใครผ่านแล้วผ่านเลย

แต่ถ้าใครมีโอกาสไปสัมผัสกับความน่าสนใจของเมืองหม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอแบบให้เวลาสักหน่อย ก็จะพบว่าในความเรียบง่ายของแพร่มีแง่งามแฝงเร้นอยู่ไม่น้อย ทั้งธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอาราม อาหารการกิน วิถีชีวิต และสาวๆเมืองแพร่ที่น่ารักเปี่ยมไมตรี


กองหินพะเนินเทินทึกที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ด้วยมนต์เสน่ห์เหล่านี้ทำให้แพร่สำหรับ“ตะลอนเที่ยว”เป็นเมืองน่าเที่ยวเมืองหนึ่งในภาคเหนือ ยิ่งล่าสุดทางจังหวัดแพร่ได้เปิดตัว แหล่งท่องเที่ยวใหม่และปรับปรุงใหม่ออกสู่สายตาของคนภายนอก มันก็ยิ่งทำให้การมาแอ่วแพร่ของเราในครั้งนี้มีอะไรใหม่ๆดีๆมาเผยแพร่ให้รู้ว่า เมืองผ่านเมืองนี้ไม่ควรผ่านเลยด้วยประการทั้งปวง

ม่อนเสาหินพิศวง

นานมาแล้วที่ความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ อย่างกลุ่มเสาดิน“แพะเมืองผี” เป็นหนึ่งในเสน่ห์ดึงดูดให้คนมาเที่ยวเมืองแพร่ มาวันนี้แพร่ได้เผยโฉมความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติขึ้นอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ “ม่อนเสาหินพิศวง” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านนาพูนพัฒนา ต.นาพูน อ.วังชิ้น ซึ่งจะน่าพิศวงแค่ไหนคงต้องตามไปดูกัน


นักเรียนมาทัศนศึกษาที่ม่อนเสาหิน

ม่อนเสาหินพิศวง เดิมเรียกว่า “ม่อนหินกอง” มีอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่าม่อนหินกองเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลายคนได้ยินเสียงก้องกังวานในวันพระ บางคนเคยเห็นลูกแก้วลอยขึ้นมา บางคนเชื่อว่าเคยเป็นปราสาทโบราณศักดิ์สิทธิ์ก่อนพังทลายลง หรือไม่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเมืองโบราณเจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลายในภายหลัง ส่วนที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเชื่อตรงกันก็คือ ใครที่นำสิ่งก้อนหินออกไปจากม่อนจะประสบสิ่งไม่ดีหรือมีอันเป็นไป

“เคยมีคนเอาก้อนหินออกไปจากม่อน พอไปถึงที่บ้านก้อนหินกลายเป็นงูไปได้ยังไงไม่รู้ ส่วนบางคนเอาไปฝันร้าย อยู่ไม่เป็นสุข ต้องนำหินมาคืน” ลุงรุณ พรหมจันทร์ เล่าให้เราฟัง


เสาหินต้นสั้นๆกองเต็มพื้นที่ด้านหนึ่งของม่อนเสาหิน

และด้วยความเชื่อของชาวบ้านทำให้ม่อนหินกองถูกทิ้งรกร้าง มีเพียงบางคนที่ขึ้นมาขอพร บนบานศาลกล่าว จนกระทั่งนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่คนปัจจุบันมาค้นพบ จึงร่วมมือกับนายอนุวัธ วงวรรณ นายกองค์การบริการส่วนจังหวัดแพร่ พัฒนาพื้นที่ม่อนเสาหินให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดแพร่ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “ม่อนเสาหินพิศวง”

“เรามองการเกิดม่อนหินเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็ไม่ไปทำลายความเชื่อของชาวบ้าน ชื่อจุดต่างๆของม่อนเสาหินเราจึงตั้งชื่อตามความเชื่อของชาวบ้าน” ผู้ว่าเมืองแพร่กล่าว


กลุ่มแท่งเสาหินเอียงที่ม่อนเจ้าอาจญา

อนึ่งในทางวิทยาศาสตร์ม่อนเสาหิน เป็นหินบะซอลด์ เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟพาเอาหินหนืด(Magma)ขึ้นสู่พื้นโลก ก่อนเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทำให้หินเกิดรอยแตกแยก เป็นหิน 3 เหลี่ยมถึง 8 เหลี่ยม(มีหิน 6 เหลี่ยมมากที่สุด) ลักษณะเป็นกองหิน แท่งหิน เสาหิน มีขนาดความอวบของต้นประมาณเสาบ้านเสาไฟฟ้าตั้งอยู่เรียงราย มีทั้งที่เป็นเสาหินต้นสูงท่วมหัวตั้งตรงเป็นระเบียบคล้ายคนมาจับเรียงเสาหิน และเสาหินต้นสั้นๆล้มระเกะระกะบนพื้นที่ราว 20 ไร่ บนเนินเขา

ทั้งนี้ทางจังหวัดแพร่ได้ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ม่อนเสาหินให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่แม้ปัจจุบันยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ว่าก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเที่ยวชม โดยม่อนหินแห่งนี้ แบ่งเป็นจุดสำคัญๆ 8 ม่อน ย่อย ซึ่งที่เด่นๆมี


พื้นที่ส่วนม่อนเสาหินพิศวง

“ม่อนเจ้าอาจญา” ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่“เจ้าอาจญา” ผีที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาผีที่ชาวบ้านนับถือ มีลักษณะเป็นกลุ่มแท่งเสาหินสูงประมาณครึ่งช่วงตัวตั้งเรียงรายทำมุมประมาณ 45 องศากับพื้นที่

“ม่อนเจ้าคำคือ” เป็นเสาหินก้อนหินจำนวนมาก มีทั้งตั้งตรง ล้มเอียง ตั้งเป็นกลุ่มกระจุก และกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ สำหรับชื่อม่อนตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าคำคือ ผีอีกตนหนึ่งที่ชาวบ้านนั้บถือ


บาตรรับเหรียญที่ม่อนสะเดาะเคราะห์

“ม่อนสะเดาะเคราะห์” เป็นก้อนหินเรียงตัวเป็นทางเดิน และมีแอ่งคล้ายบ่อน้ำ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง ในบ่อมีบาตรวางอยู่ให้ผู้สนใจโยนเหรียญลงในบาตรเพื่อสะเดาะเคราะห์

และ“ม่อนเสาหินพิศวง” ม่อนไฮไลท์ ที่เป็นแท่งหินสูงประมาณ 3 เมตร เรียงตัวติดกันเป็นคูหาห้อง ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่านี่คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีคนมาบนบานศาลกล่าวและนำธูปเทียนมาเคารพสักการะที่ม่อนแห่งนี้


ห้องน้ำที่หลายคนวิจารณ์ว่าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม

และนี่ก็คือเสน่ห์อันชวนพิศวงของม่อนเสาหินพิศวงที่หลังจาก“ตะลอนเที่ยว”เดินขึ้นๆลงๆชมความแปลกประหลาดของธรรมชาติจนทั่วบริเวณแล้ว เราก็ไปเจอกับห้องน้ำสีขาวเด่นตั้งอยู่ริมเนินเขาใกล้ๆกับกองก้อนหินกระจัดกระจาย ใครหลายคนที่เห็นแล้วต่างบ่นอุบกับห้องน้ำหลังนี้ว่าทำลายภูมิทัศน์ ซึ่งยังไง“ตะลอนเที่ยว” ขอฝากไปยังผู้เกี่ยวข้องว่า ควรย้ายห้องน้ำหลังนี้ลงมาสร้างในตำแหน่งที่เหมาะสม มิฉะนั้นห้องน้ำหลังนี้จะกลายเป็น“จุดพิศวง” ที่ทำให้ม่อนเสาหินถูกลดทอนคุณค่าลงไปอย่างน่าเสียดาย


จอฉายมัลติมีเดียที่โถงทางเข้า

ถ้ำผานางคอย

มาเที่ยวทริปนี้ เราได้สัมผัสกับอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดตัวใหม่แต่ไม่ใหม่ของจังหวัดแพร่ นั่นก็คือ “ถ้ำผานางคอย” ที่บ้านผาหมู อ.ร้องกวาง

พูดอย่างนี้หลายคนอาจงง แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้ำผานางคอยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่คู่เมืองแพร่มาช้านานแล้ว เพียงแต่ว่าของเก่านั้นเป็นการปล่อยไปตามอัตภาพ จนเมื่อทางจังหวัดกับอบจ.เข้ามาปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ จึงเกิดเป็นถ้ำผานางคอยในมิติใหม่ขึ้น


บรรยากาศในถ้ำผานางคอยเมื่อมองย้อนออกไปยังโถงถ้ำทางเข้า

สำหรับนักเที่ยวถ้ำหลายคนอาจมองว่า เราควรปล่อยให้สภาพของถ้ำเป็นไปตามธรรมชาติ มนุษย์ไม่ควรไปเสริมแต่งมัน เพราะนอกจากกระทบต่อธรรมชาติภายในถ้ำแล้วยังทำให้ถ้ำเสียคุณค่าอีกด้วย แต่นั่นมันควรใช้กับ"ถ้ำเป็น" ที่หินงอกหินย้อยยังเจริญเติบโตอยู่ แต่สำหรับถ้ำแห่งนี้ เป็น"ถ้ำตาย" ที่หินหยุดเจริญเติบโต(มีบ้างที่ยังเติบโตอยู่แต่ว่าไกลจากน้ำมือคน)แถมยังมีคนมาสร้างสิ่งต่างๆไว้ในถ้ำนานแล้ว

ดังนั้นการพัฒนาถ้ำจึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทางอบจ.แพร่ได้ให้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาถ้ำเพื่อการท่องเที่ยว จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้และศิลปากรมาช่วยจัดตกแต่งภูมิทัศน์ ใส่แสง สี เสียง เทคนิคสมัยใหม่ และสร้างเส้นทางเดินท่องเที่ยวในพื้นที่ประมาณ 150 เมตร กว้างราว 20 เมตรของถ้ำ โดยดึงเอาตำนานรักอมตะของถ้ำแห่งนี้มาผูกเป็นเรื่องราวเชื่อมโยงกับจุดน่าสนใจต่างๆภายในถ้ำ


หินรูปหน้าเด็ก

เริ่มตั้งแต่การเดินเข้าสู่ภายในโถงถ้ำที่มีจอภาพมัลติมีเดียแอนนิเมชั่นฉายเรื่องราวเล่าตำนานถ้ำที่ดูล้ำไม่น้อย ซึ่งเราเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่นี่แหละ โดยตำนานพื้นบ้านคร่าวๆของถ้ำผานางคอยนั้น มีอยู่ว่า

...เมื่อ 800 กว่าปีที่แล้ว เจ้าเมืองแห่งอาณาจักรแสนหวีมีราชธิดาผู้เลอโฉม มีพระนาม “เจ้าหญิงอรัญญณี” วันหนึ่งเจ้าหญิงเสด็จโดยชลมารคแล้วเกิดเรือล่ม คะนองเดช(ชื่อตามแอนนิเมชั่น เข้าใจว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง)ทหารหัวหน้าฝีพายได้เข้ามาช่วยเหลือเจ้าหญิงแล้วเกิดรักกัน แต่ก็เหมือนตำนานรักไม่สมหวังทั่วไป คือฝ่ายพระราชบิดากีดกันเพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมกัน ทั้งคู่จึงพากันหนีลงมาทางใต้โดยมีทหารไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิดจนเจ้าหญิงถูกยิง คะนองเดชจึงพาเจ้าหิงมาหลบในถ้ำแห่งนี้ เจ้าหญิงเห็นว่าคะนองเดชกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงให้หนีไปก่อน โดยบอกว่าจะคอยทหารอันเป็นที่รักแห่งนี้ตลอดไป กลายเป็นก้อนหินนางคอยกับตำนานรักอมตะปนเศร้าของถ้ำผานางคอยแห่งนี้...


หินรูปหัวใจ(คน)

เอาล่ะเมื่อรู้ตำนานกระชุ่นอารมณ์แล้ว ทีนี้เราก็ได้เวลาเดินเที่ยวถ้ำที่มีการกำหนดจุดสนใจต่างๆ ไว้ 13 จุด ให้สอดรับกับตำนานควบคู่ไปกับสิ่งสวยๆงามๆภายในถ้ำ โดยจุดเด่นๆก็มี

“คูหาสวรรค์” เป็นโพรงถ้ำปากทางเข้ามีหินย้อยลักษณะคล้ายมือขนาดใหญ่ เชื่อว่าเจ้าหญิงอรัญญณีเคยมาพักพิงที่นี่


เนรมิตม่านแก้ว หินงอกหินย้อยรูปทรงผ้าม่าน

“งามพิศอนงค์สนาน” เป็นธารน้ำซึมจากเบื้องบน เชื่อว่าเป็นที่สรงน้ำของเจ้าหญิงอรัญญณี

“เนรมิตม่านแก้ว” เกิดจากหินงอกหินย้อยบรรจบกันเป็นรูปทรงคล้ายผ้าม่านอ่อนช้อยสวยงามขนาดใหญ่


ธารเทพอธิษฐาน ธารน้ำในถ้ำกับหินทรงประหลาด

“ธารเทพอธิษฐาน” ธารน้ำในถ้ำที่มีหินย้อยทรงยานอวกาศลอยเด่นอยู่ด้านบน

และ ”อลังการแห่งรักอรัญญณี” เป็นหินรูปร่างประหลาด ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าหญิงอรัญญณีอุ้มลูกคอยคนรักจนกลายเป็นหินที่นี่ จึงเรียกว่า“หินนางคอย” ซึ่งหากมองถูกจุดถูกมุมแล้วจินตนการตามจะดูคล้ายผู้หญิงกำลังอุ้มลูกผินหน้าไปทางหนึ่ง


หินนางคอย กับตำนานรักอมตะแห่งถ้ำผานางคอย

นอกจากจุดน่าสนใจต่างๆอันเชื่อว่าเป็นตำนานแล้ว ถ้ำแห่งนี้ยังน่ายลไปด้วย หินงอกหินย้อย หินเกล็ดประกายเพชร หินรูปหัวใจ(คน) หินริ้วผ้าม่าน หินหน้าเด็ก พระพุทธรูป รูปเคารพฤาษี และลวดลายของหินตามเพดาน ผนังถ้ำ รวมถึงบรรยากาศภายน้ำที่มีลมโกรกเย็นสบายเพราะเป็นช่องลมพอดี นับเป็นความน่าสนใจของถ้ำเก่าในมิติใหม่ที่นอกจากมีความสวยงามแล้ว ยังมีตำนานความรักอมตะเป็นเครื่องสอนใจคนรุ่นใหม่บางคนที่ไม่ค่อยจะถนอมในคุณค่าแห่งรักอีกด้วย


เด็กซ่าบ้านแสบ
#286
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 17:52:19

#286 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 17:52:19 ]






ซอมบี้ (Zombies)


ตำนานผี ซอมบี้ Zombies ซอมบี้ เป็นผีดิบระดับแนวหน้าตัวหนึ่ง หรือน่าจะเรียกว่าพวกหนึ่ง เพราะผีดิบซอมบี้ มักจะถูกพ่อมดหมอผี ปลุกขึ้นมาเพื่อนำมาใช้งานตามคำสั่ง และจะปลุกขึ้นมาทีครั้งละเป็นขโยง เดินยั๊วเยี้ย กันเต็มเมือง



ประวัติความเป็นมาของผีดิบ ซอมบี้

- เรื่องราวของผีดิบเดินได้ที่เรียกว่า ซอมบี้นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนแถบริมฝั่งทะเลคาริบเบียน ต่อมาได้เผยแพร่ขยายไปในส่วนต่างๆของยุโรป ผู้ที่ทำพิธีกรรมทางไศยศาสตร์ ปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมาคือบรรดาพ่อมดหมอผีผู้รอบรู้เกี่ยวกับวิชามนต์ดำในลัทธิวูดู อันเป็นลัทธิ หนึ่งซึ่งมีวิธีปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์ โดยการท่องมนต์ ลึกลับอ้อนวอนต่อ “เวสตู” เทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้าย นอกจากนั้นลัทธิวูดู ยังมีมีพิธีการเกี่ยวกับการสาปแช่ง และสังหารศัตรู ด้วยวิธีการของมนต์ดำ



ซอมบี้ที่ตายไปแล้วเป็นซอมบี้ที่เกิดจากเวทมนตร์ดำ มักจะไม่ทำร้ายผู้คน เว้นแต่ จะเป็นซอมบี้ที่ถูกปลุกจาก พวกหมอผีหรื่อพวกลัทธินอกรีต มักจะมีนิสัยดุร้าย ชอบกินพวกซากคนตายตามสุสาน ซากสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่คนเป็นก็ย่อมได้ ซอบี้พวกนี้ มีลักษณะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่ บางพวก เช่น ซอมบี้ที่มีชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher)จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว



ซอมบี้ที่ถูกดัดแปลงเป็นซอมบี้ที่เกิดจาก พวก นักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับชีวเคมี ส่วนใหญ่คือ พวกแฟรงเก้นสไตน์ นั่นเอง แต่ที่ปรากฏในเกม หรือ ภาพยนตร์ มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองไวรัสปรสิต มีการเคลื่อนไหว่ เชื้องช้า(เพราะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เลือดจะแข็งตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก)เมื่อใดที่ซอมบี้พวกนี้ กัด หรือ ข่วน มนุษย์ ในไม่ช้า คนๆนั้นก้จะกลายเป็น ซอมบี้เช่นเดียวกัน ซอมบี้พวกนี้ลักษณะเป็นคนหน้าซีด ตาขาว มีฟันที่ไม่ตรงกัน และมีฟันที่เหลือง มีเลือดชุ่มตัว น่าสยดสยอง มีจุดอ่อนที่หัว เพราะซอมบี้พวกนี้ มักถูกไวรัสควบคุมที่สมอง ถ้าใช้อาวุธคม๐ พวกขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้า จะหยุดการทำงานของซอมบี้ ส่วนภาพยนตร์ที่โด่งดังที่ทุกคนรู้จักซอมบี้ในทุก ๆ แห่ง คงหนีไม่พ้น หนังเรื่อง Resident Evil (ผีชีวะ) ทั้ง 3 ภาค ซึ่งดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil มาทำเป็นภาพยนตร์ นั่นเอง



วิธีการปลุกผีดิบซอมบี้

สภาพศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีได้

- ศพที่จะใช้ในพิธีปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของผีดิบซอมบี้นั้น จะต้องใช้ศพของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ คือควรอยู่ในสภาพดีไม่เน่าเปื่อยหรือถึงกับยุ่ยจนเหลือแต่โครงกระดูก



วิธีการที่จะได้ศพมาทำพิธี

สำหรับวิธีการที่จะได้ศพมาเพื่อใช้ในการทำพิธีนั้น ก็สุดแล้วแต่ความสามารถของบรรดาพ่อมดหมอผี ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลัทธิ วูดูจะสามารถสรรหามาได้เช่น



1. ขโมยขุดศพมาจากสุสาน

- วิธีนี้บรรดาพ่อมดหมอผีจะสั่งให้สมุนผู้ช่วยไปขุดเอามาจากหลุมศพตาม สุสานหรือป่าช้าที่มีการนำศพคนตายไปฝัง ในยุคที่มีการ ขโมยขุดศพไปทำผีดิบซอมบี้กันอย่างแพร่หลาย หลังจากทำพิธีการศพเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน พวกญาติๆต้องคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเฝ้าศพ ไม่ก็จ้างผู้เฝ้าศพให้จนกว่าศพจะเน่าพอที่จะไม่สามารถนำไปทำซอมบี้ได้เลยก็มี



2. ขโมยศพจากโรงพยาบาล

- วิธีนี้ค่อนข้างจะบ้าเลือดไปนิด แต่มีการได้รับการยืนยันจากผู้มีประสบการณ์ในประเทศเฮติ ชายคนนี้มีนามว่า คลาอุส นารุคิส เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต เมื่อเขารู้ตัวอีกทีเขารู้สึกว่าถูกนำตัวไปอยู่กระท่อมกลางนา ซึ่งเขาเห็นน้องชายตัวแสบของเขาเป็นผู้ร่วมมือกับหมอผีนำร่างของเขามานั่นเอง ขณะที่อยู่กับซอมบี้ตัวอื่นๆ ความจำของเขาค่อยๆกลับมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เมื่อน้องชายของเขาและหมอผีเสียชีวิต เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ เล่าเรื่องในวัยเด็กของเขา ได้อย่างถูกต้อง



ลักษณะและความสามารถของซอมบี้

ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกปลุกขึ้นมาก็จะทำตามคำสั่งทุกประการ สามารถใช้งานให้ทำอะไรก็ได้ สภาพของซอมบี้จะแข็งทื่อ ไร้สติปัญญา ไรจิตใจ แถมมีความทรหดอดทน แข็งแรงแบบที่ว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกหมอผีจึงปลุกขึ้นมาให้ทำงานอย่างไม่มีเวลาพัก ดีกว่าจ้างคนเสียอีก



อิทฤทธิ์และวิธีการป้องกัน จัดการกับซอมบี้

ผีดิบซอมบี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น มันมีความแข็งแรงสูง แถมไม่กลัวแสงแดดเสียอีก เวลาโดนอะไรก็จะไม่รู้สึกนอกเสียจากว่า ทำลายมันให้เละ จึงเป็นตัวที่ปราบปรามยากอยู่สักหน่อย วิธีการหยุดมันควรจะใช้ของแรงๆเช่น ปืนไฟ จรวด ก็คงพอจะเอาอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอาแต่ไล่ล่าหาเหยื่อ ถ้าเจอเข้า โกยแน่บ เป็นดีที่สุด


เด็กซ่าบ้านแสบ
#287
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 17:53:38

#287 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 17:53:38 ]






นักเล่นแร่แปรธาตุ
วิชาเล่นแร่แปรธาตุ นั้นแพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ฝั่งยุโรป และไม่ใช่มีแต่พ่อมด หมอผี เท่านั้นที่ทำ ความจริงแล้วศาสตร์นี้ เป็นปฐมบทของวิชาเคมีในปัจจุบันทีเดียว เรียกว่ากำเนิดจากไสยศาสตร์มาเป็นรากฐานวิทยาศาสตร์

จุดสูงสุดของวิชาเล่นแร่แปรธาตุน่าจะเป็นการหา Lapis philosophum (ลาปิส ฟิโลโซโฟรัม) หรือ philosopher's stone (ศิลาปรัชญา, ศิลานักปราชญ์, หรือในแฮร์รี่ พอตเตอร์ เรียกว่า ศิลาอาถรรพ์) แล้วแต่จะเรียกกัน แต่บางท้องที่ก็มีเป็นของอย่างอื่นเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ ความสามารถของศิลานักปราชญ์นี้คือการทำให้ ตะกั่วกลายเป็นทองคำ และรักษาชีพนี้ให้กลายเป็นอมตะ

ว่ากันว่าส่วนประกอบหลักของมันคือ ปรอทกับกำมะถัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันเช่นเดียวกับตะวันและจันทรา ว่ากันว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุนั้นมีกันทั่วโลก เชื่อไหมล่ะครับ ว่าหนึ่งในนักเล่นแร่แปรธาตุของไทยคือ สุนทรภู่ และนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกอย่าง เซอร์ไอแซค นิวตันก็เป็นเช่นกัน

ใครที่เคยดูการ์ตูนเรื่อง แขนกลคนแปรธาตุนั้น คงจะยึดติดกับอานุภาพของ วิชาเล่นแร่แปรธาตุว่าเป็นเหมือนเวทมนตร์แขนงหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว การเล่นแร่แปรธาตุไม่มีอะไรนอกเหนือไปจาก การค้นหาถึงธาตุใหม่ที่สามารถแปรเปลี่ยนธาตุอื่นได้อย่างศิลานักปราชญ์ และศิลานักปราชญ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะคืนร่างให้กับพวกตัวเอกด้วยครับ

มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้นที่สามารถสร้างศิลานักปราชญ์ขึ้นมาได้ เขาคือ นิโกลาส์ ฟลาเมล (ต้นคริสต์ศตวรรษที่14) หรือ นิโคลัส แฟลมเมล นั่นแหละครับ

ว่ากันว่าเขาสร้างได้โดยที่มีนางฟ้ามานำทางให้ไปค้นหาหนังสือโบราณ ที่มีแต่ภาษาเฮียโรกลิฟฟิค (ภาษาของอียิปต์โบราณ) เขาดั้นด้นไปทั่วราชอาณาจักรเพื่อถอดความหนังสือเล่มนั้นและเขาก็ทำได้สำเร็จ

นิโกลาส์สร้างศิลานักปราชญ์ได้สมบูรณ์ เขาร่ำรวยขึ้นกระทันหันในบั้นปลาย แต่ก็ยังทำตัวสมถะจนสิ้นไปด้วยวัย80ปี พร้อมกับความลับของวิชานี้ ทว่ายังมีรายงานการพบเห็นเขาตลอดศตวรรษพร้อมกับภรรยาของเขา บางตำรายังอ้างเลยเถิดด้วยว่าเขามีเรือนกายสีทอง

จุดสูงสุดวิชาเล่นแร่แปรธาตุจึงยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้


Nebula Eva
#288
02-04-2012 - 18:01:39

#288 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 18:01:39 ]





^
^
อยากโดนเชือดใช่ไหมกัน
ทำอะไรของนาย
ถ้าว่างนักไปอัพเกมกับฟิคสิ - - (รออ่าน+รอเล่นอยู่เฟ้ย)



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#289
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 18:08:07

#289 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 18:08:07 ]






ก็แค่อยากช่วยอ่ะ


เอ็ดเวิร์ด
#290
เอ็ดเวิร์ด
02-04-2012 - 18:12:54

#290 เอ็ดเวิร์ด  [ 02-04-2012 - 18:12:54 ]





ท่องไว้ ท่องไว้ วันละ2เรื่อง วันละ2เรื่อง



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
Nebula Eva
#291
02-04-2012 - 18:14:04

#291 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 18:14:04 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

ก็แค่อยากช่วยอ่ะ


- -" ที่PMไปบอกน่ะ ไม่เก็ทเลยเหรอน้องชาย



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#292
02-04-2012 - 18:16:52

#292 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 18:16:52 ]





quote : เอ็ดเวิร์ด

ท่องไว้ ท่องไว้ วันละ2เรื่อง วันละ2เรื่อง


เฉพาะ จ , อ , พ จ้ะ^^" แล้วคำขอต่างๆ นายจะตอบได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ออน ไม่อยู่ หรือไม่ธุระ(อันหลังเดี๋ยวเดี๋ยวจะPMไปบอก- -)



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#293
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 18:17:19

#293 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 18:17:19 ]






เก็ทแต่อยากช่วยอ่า เค้า ยังเด็กอยู่นะตัวรุ้จักนิสัยเด้กบ่


Nebula Eva
#294
02-04-2012 - 18:19:12

#294 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 18:19:12 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

เก็ทแต่อยากช่วยอ่า เค้า ยังเด็กอยู่นะตัวรุ้จักนิสัยเด้กบ่


ไม่เคยเฟ้ย! ไม่เคยมีวัยเด็กเหมือนชาวบ้าน เลยไม่รู้ว่านิสัยเด็กเป็นยังไงนะตัว หุหุ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#295
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-04-2012 - 18:20:51

#295 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-04-2012 - 18:20:51 ]






quote : Nebula Eva

quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

เก็ทแต่อยากช่วยอ่า เค้า ยังเด็กอยู่นะตัวรุ้จักนิสัยเด้กบ่


ไม่เคยเฟ้ย! ไม่เคยมีวัยเด็กเหมือนชาวบ้าน เลยไม่รู้ว่านิสัยเด็กเป็นยังไงนะตัว หุหุ



nanaavril
#296
02-04-2012 - 21:50:25

#296 nanaavril  [ 02-04-2012 - 21:50:25 ]






โฮ!!! เจ๊ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ เอเลี่ยนอ่ะ แต่ว่าภาพยนตร์ เช่น พรีเดเตอร์ เอเลี่ยน 1-4 งี้ พรีเดเอตร VS เอเลี่ยน 1-3 งี้ ทรานฟอร์เมอร์ 1-3 งี้ เจ๊ชอบมาก

เรื่องที่ว่าเชื่อ ก็เป็นเรื่องที่ว่าการสร้างพีระมิดอ่ะ มันก็น่าแปลกอยู่เน๊อะ
ว่าแต่ละประเทศมีลักษณะพีระมิดเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเหมือนกันทุกประเทศ
ซึ่งแต่ละประเทศอยู่คนละทวีปกัน

ส่วนที่ว่าไม่เชื่อนั้น ทำไมเอเลี่ยนมันไปแต่แถบทวีปอเมริกาเหนือ กับ ใต้ หว่า!! (ประเทศไทย จีน พม่า ทำไมมันไม่มากันไอ้เอเลี่ยน)
บินตกอยู่ได้ที่ทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้เนี้ย ที่อื่นเขาก็อยากเจอเหมือนกันเฟ้ย!!!

--------------------------------------------------------------------

เรื่องเอาสวิตซ์ อีฟซ่าหาข้อมูลละเอียดมาก ละเอียดกว่าเว็บที่เจ๊เคยอ่านมาอีก
มีรูปภาพประกอบพร้อม และ รูปต่างๆยังละเอียดครบถ้วนด้วย

ป.ล. ค่ายเอาสวิตซ์ ใช่ไอ้ค่ายที่มีภรรยาของทหารเยอรมันที่ชอบจับถลกหนังนักโทษมาทำเป็นโคมไฟ
ที่อีฟซ่าเคยโพสในเรื่อง ผู้หญิงที่โหดเหี้ยมอะไรนี้แหละ รึเปล่า??

--------------------------------------------------------------------

เรื่องโครงกระดูกผีดูดเลือด

ตอนแรกก็แปลกๆอยู่ ทำไมผีดูดเลือกมีโครงกระดูด มันอมตะไม่ใช่หรอ (คิดในใจ)
พออ่านไปเรื่อยๆ เอ้า!!! ทำไม เป็นพวกที่ต้องการกวาดล้างภูติผีปีศาจของคนโบราณ
แล้วมีการเกิดกาฬโรคด้วย มันเริ่มแปลกๆแหละ

พอเรื่อยลงมาอ่านจบเท่านั้นแหละ เลยเข้าใจเลย

--------------------------------------------------------------------

ส่วนเรื่องอาถรรพ์เรือไททานิค

ต้องขอบใจนายมาร์คมากๆจ้า แต่ว่า....
เราอยากให้มีการตีความ ของบทความที่คุณจะคัดลอกมา หรือ พิมพ์เอาเองด้วย
แบบว่าประมาณ ตีบทความพร้อมกับผสมผสานกับข้อมูลที่ได้มาอ่านะ
มันจะทำให้น่าอ่านกว่าเยอะ

เพราะที่เราอ่านน่ะ มันก็เหมือนเรื่องเก่าๆที่เราเคยอ่านมาแล้ว
โดยที่เราขอว่า "ให้อีฟซ่าเอามาลง" นั่น คือเราอยากได้การตีบทความนั้นๆ
และการคิด-วิเคราะห์ของผู้ที่นำข้อมูลนั้นมาด้วย
คือจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นส่วนตัวต่อกัน อะไรประมาณนี้

ส่วนรูปภาพ เห็นแต่เรือไททานิค ไม่เห็นมัมมี่เจ้าหญิงเลย
เพราะอยากเห็นลักษณะของมัมมี่มากกว่าเห็นเรือ แล้วก็คำสาปที่อยู่บนหีบศพ
ผู้ค้นพบมัมมี่ ฯลฯ

อันนี้ขอบ่น : เพราะว่าถ้าอีฟซ่าหามา มันจะต้องละเอียดกว่านี้แน่ เราเลยขอร้องอีฟซ่าไง

--------------------------------------------------------------------

ป.ล. ยังไงคุณมาร์คก็สู้ๆนะ จะได้ช่วยหาข้อมูลกับอีฟซ่าอีกแรง
ที่เราติไป คงไม่โกธรกันนะ แต่มันมาจากใจเราจริงๆ



O_o
Nebula Eva
#297
02-04-2012 - 23:26:09

#297 Nebula Eva  [ 02-04-2012 - 23:26:09 ]





ตอบเจ๊ :
quote : nanaavril
ส่วนที่ว่าไม่เชื่อนั้น ทำไมเอเลี่ยนมันไปแต่แถบทวีปอเมริกาเหนือ กับ ใต้ หว่า!! (ประเทศไทย จีน พม่า ทำไมมันไม่มากันไอ้เอเลี่ยน)
บินตกอยู่ได้ที่ทวีปอเมริกาเหนือ-ใต้เนี้ย ที่อื่นเขาก็อยากเจอเหมือนกันเฟ้ย!!!


แถวไทยจีนพม่าก็เคยออกข่าวว่าเจอUFOเหมือนกัน แต่พอลองเข้าไปดูแล้วมันเหมือนพวกคลิปตัดต่อ หรือไปถ่ายอะไรเข้าที่พอมองดูไกลๆเพียงผ่านๆตา มันจะดูว่าคล้ายเท่านั้ันแหล่ะ แต่ถ้าเจ๊อยากดูไอคลิปที่ว่าเดี๋ยวหนูเอามาลงให้(แต่งดูยังไงมันก็ขัดๆตาไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินะ)
--------------------------------------------------------------------

quote : nanaavril
ป.ล. ค่ายเอาสวิตซ์ ใช่ไอ้ค่ายที่มีภรรยาของทหารเยอรมันที่ชอบจับถลกหนังนักโทษมาทำเป็นโคมไฟ
ที่อีฟซ่าเคยโพสในเรื่อง ผู้หญิงที่โหดเหี้ยมอะไรนี้แหละ รึเปล่า??


เรื่องภรรยาของหัวหน้าค่ายนี้หนูไม่ได้เป็นคนเอามาลง แต่เป็นคนในเว็บนี้นี่แหล่ะที่เอามาลง(รู้สึกจะลงไว้ตั้งนานแล้วนะ) ถ้าจำไม่ผิดชื่อกระทู้มันเกี่ยวกับผู้หญิงโหดๆอะไรนี่ล่ะ ได้เข้าไปอ่านอยู่ ในกระทู้นั้นจะเป็นบทความที่เหมือการจัดอับดับแม่นางที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกมารวมกัน
--------------------------------------------------------------------

quote : nanaavril
เรื่องโครงกระดูกผีดูดเลือด

ตอนแรกก็แปลกๆอยู่ ทำไมผีดูดเลือกมีโครงกระดูด มันอมตะไม่ใช่หรอ (คิดในใจ)
พออ่านไปเรื่อยๆ เอ้า!!! ทำไม เป็นพวกที่ต้องการกวาดล้างภูติผีปีศาจของคนโบราณ
แล้วมีการเกิดกาฬโรคด้วย มันเริ่มแปลกๆแหละ

พอเรื่อยลงมาอ่านจบเท่านั้นแหละ เลยเข้าใจเลย


ตอนเจอข้อมูลเรื่องนี้แรกๆก็เหวออยู่เหมือนกัน เพราะคนหาข้อมูลก็โดนดัก เลยคิดว่าในกระทู้น่าจะมีอะไรแปลกบ้างเลยเอามาดักคนอื่นต่อ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Phakes
#298
03-04-2012 - 08:54:40

#298 Phakes  [ 03-04-2012 - 08:54:40 ]




ชอบมากเลยครับ เรื่องแบบนี้ หึหึ
(ขอเรื่องแนวฆาตกรรม หรือ แนว ทรมาน เยอะๆ ก็ดีนะครับ)


เอ็ดเวิร์ด
#299
เอ็ดเวิร์ด
03-04-2012 - 10:45:17

#299 เอ็ดเวิร์ด  [ 03-04-2012 - 10:45:17 ]





quote : Phakes

ชอบมากเลยครับ เรื่องแบบนี้ หึหึ
(ขอเรื่องแนวฆาตกรรม หรือ แนว ทรมาน เยอะๆ ก็ดีนะครับ)

จะลองหาให้ครับ



เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)
เอ็ดเวิร์ด
#300
เอ็ดเวิร์ด
03-04-2012 - 12:01:50

#300 เอ็ดเวิร์ด  [ 03-04-2012 - 12:01:50 ]





ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น




ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น

Yotsuya Kaidan หรือ ตำนานของ Oiwasan ถูกสร้างเป็นละคร หนัง อนิเมะ หลายครั้งหลายคราเป็นตำนานผีที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น หากลองถามคนญี่ปุ่นว่าผีตัวไหนของญี่ปุ่นน่ากลัวที่สุด รับรองได้ว่าชื่อของ Oiwasan ต้องเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนญี่ปุ่นนึกถึงอย่างแน่นอน

ในระหว่างช่วงสมัยเอโดะ มีผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งความสวย และจิตใจดี และเป็นที่โจษขานกันถึงความงามของเธอ นามของเธอ คือ "Oiwa" Oiwa มีชายหนุ่มมากมายที่หมายปองเธอ แต่เธอก็เลือกซามูไรหนุ่มที่ชื่อ Iemon Tamiya มาเป็สามี แต่หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจเลือกแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ "เธอคิดผิด" สามีของเธอรักเธอในช่วงแรก ๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่สภาพทางการเงินของครอบครัวไม่สู้ดีนัก Iemon ก็เกิดไปตกหลุมรักกับลูกสาวเศรษฐีเข้า ในขณะเดียวกัน Oiwa ก็เพิ่งคลอดลูก ลูกสาวเศรษฐีและสามีของเธอจึงคิดจะกำจัดก้างขวางคออย่าง Oiwa

หญิงชู้ได้ใช้ให้ Iemon เอายาพิษที่กินแล้วจะทำให้เสียโฉมให้ Oiwa กิน แล้วหลอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดลูก Oiwa ได้ดื่มยาพิษนั่นและทำให้หน้าของเธอเสียโฉม ตาของเธอปูดโปนขึ้น เมื่อเธอรู้ถึงแผนชั่วของหญิงชายคู่นั้นเธอก็แค้นมากและฆ่าตัวตายในบึงน้ำ Oiwa (บางตำนานบอกว่า Iemon เป็นคนฆ่าเธอแล้วโยนลงไปในบึง) หลังจากนั้น Iemon ก็ย้ายไปอยู่บ้านของเศรษฐี (ภาพ ศาลเจ้า Oiwa-Inari Tamiya Jinja)

วันหนึ่งวิญญาณของเธอโผล่ขึ้นมากลางบ้านพร้อมกับเสียงโหยหวน และคร่ำครวญของเธอ เป็นที่น่าขนลุก Iemon ก็คว้าดาบซามูไรประจำกายแทงเข้าไปที่เงาของ Oiwa แต่แล้วเมื่อร่างนั้นล้มลง กลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐีชู้รักของตน เมื่อเศรษฐีเข้ามาดูร่างของเศรษฐีก็กลายร่างเป็น Oiwa ที่น่าตาหน้าเกลียด Iemon ก็คว้าดาบฟันเข้าไปที่ร่างนั้นแต่แล้วร่างนั้นก็กลายเป็นร่างของเศรษฐี เขาได้หนีกลับไปอยู่บ้านของตัวเองแต่แล้วก็โดนเชือกที่ห้อยอยู่กลางบ้านพัน เข้าที่คอ เขาได้คว้าดาบขึ้นมาพยายามตัดเชือกแต่พลาดไปโดนคอของตัวเองและสิ้นใจตายใน ที่สุด

เรื่องของ Oiwa มีการเล่าขานกันมานานและมีเรื่องราว ๆ คล้าย ๆ กัน บางตำนานบอกว่า Oiwa นั้นเกิดมาก็น่าตาอัปลักษณ์ และเป็นลูกสาวเศรษฐี แต่พอแต่งงานกับ Iemon เธอก็ได้รับชะตากรรมอย่างเดียวกับเรื่องที่ได้เล่าไป Oiwasan เป็นผีตนหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่าติดอันดับต้น ๆ ของผีที่คนญี่ปุ่นกลัวที่สุด

ยังมีตำนานบอกว่าหากใครได้นำเรื่องของเธอมาสร้างเป็นหนัง หรือละครก็จะต้องไปไหว้ศาล Oiwa-Inari Tamiya Jinja ที่อยู่ในโตเกียว ที่นั่นสุสานของ Oiwasan และได้เขียนไว้ว่าวันตายของเธอคือ 22 กุมภาพันธ์ ปี 1963 ตำนานเรื่องนี้มีสถานที่หลาย ๆ แห่งที่มีอยู่จริงเรียกได้ว่า เป็น "แม่นาค" แห่งกรุงโตเกียวก็ว่าได้

เครดิต/pantip.com


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-04-03 15:29:39


เขาไม่รักเราแล้วปล่อยเขาไป(●△●)

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 3rd April 2025 14:22

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ