โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
เรื่องลีลับ
fern14
#21
26-08-2011 - 17:48:17

#21 fern14  [ 26-08-2011 - 17:48:17 ]







อ่านแล้ว




เครียด!!! นานๆเข้ามาที
ploy58
#22
26-08-2011 - 17:54:24

#22 ploy58  [ 26-08-2011 - 17:54:24 ]






quote :
อ่านแล้ว

พี่เฟริ์น งอลไรหนูอ่ะ
หนูขอโทษษษษษษษษษษ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-08-26 17:54:38

ploy58
#23
26-08-2011 - 18:06:27

#23 ploy58  [ 26-08-2011 - 18:06:27 ]






Shanti Deva

ในปี 1930 ซานติ เทวี หญิงสาวอายุ 4 ขวบ จากนิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้บอกพ่อแม่ของเธอว่า ชาติก่อนเธอเป็นแม่ลูกสาวที่ตายจากการคลอด โดยสามีของเธอคือเกฐานารถ ทั้งเธอและสามีอาศัยอยู่ในเมืองมัตทรา(หรือ Mathura) ตอนแรกพ่อแม่ของเธอนึกว่าเป็นบ้า จึงพาเธอไปพบกับแพทย์ และเมื่ออยู่ต่อหน้าแพทย์เธอก็เล่าเรื่องของเธออย่างละเอียดยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ลูกคนแรก วัยที่เธอตายในระหว่างเด็กอยู่ในท้องเมื่อ 1925 ซานติได้รับการตรวจสอบจากแพทย์ถึง 6 คนด้วยกัน แต่ไม่มีแทย์คนใดหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอได้เลย อย่างไรก็ดีญาติของซานติเริ่มตรวจสอบสิ่งที่เธอเล่าโดยตามหาชายที่ซาติอ้าง ว่าเป็นสามีของเธอ ก่อนจะพบว่ามีชายคนที่ว่าอยู่เมืองมัตทราจริง และเขามีลูกสองคนจริง แต่ชายดังกล่าวไม่กล้าไปพบกับชาติภรรยากลับชาติมาเกิดของเขา เขาเลยส่งญาติไปและเมื่อญาติไปถึงซาติก็จำเขาได้ทันทีและเล่ารายละเอียด ต่างๆ เกี่ยวกับญาติคนนี้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าการระลึกชาติมีอยู่จริง หากแต่กระนั้นครอบครัวของซานติ และครอบครัวของสามีชาติที่แล้วของซานติก็ไม่ได้เกี่ยวดองกัน หรือมีเรื่องกันแต่อย่างใด สุดท้ายซานติได้ใช้ชีวิตเด็กหญิงธรรมดาในชาติใหม่ของเธอจนถึงปัจจุบัน




Creepy Gnome

ในปี 2008 กล้องวีดีโอมีการจับภาพสิ่งมีชีวิตลึกลับในจังหวัด Salta ประเทศอาร์เจนตินาได้ ถ่ายทำโดย Jose Alvarez โดยในหนังสือพิมพ์บอกว่า ตอนนั้นเขากำลังคุยกับเพื่อนในการเดินทางตกปลาครั้งล่าสุด มันเป็นตอนเช้า เขาเริ่มคุยโทรศัพท์มือถือในขณะที่คนอื่นๆ คุยและล้อเล่น ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนคนปาหิน เรามองไปที่มาของเสียง ก็พบว่าหญ้ามีการเคลื่อนไหว ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันคือสุนัข แต่เมื่อเราได้เห็นเจ้าของเสียงออกมาก็พบว่ามันน่ากลัวจริงๆ โดยคาดว่าสิ่งมีชีวิตที่จับภาพคือ โนมภูตขนาดเล็ก ที่มักปรากฎในนิทาน รูปร่างคล้ายคนแคระ ชอบอาศัยอยู่ในถ้ำคอยเก็บรักษาสมบัติล้ำค่า ต่อมาวีดีโอเทปนี้ถูกนำไปทำคลิปและถูกแพร่ไปตามเว็บต่างๆ และคุณสามารถดูคลิปไปที่นี้
YouTube - 'Creepy gnome' terrorises town





Freddy Jackson’s Ghost

ภาพถ่ายผีที่น่าขน ลุกนี้ถูกฝ่ายขึ้นในศตวรรษที่ 1919 ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1975 โดยเซอร์ วิกเตอร์ กอดดาร์ก นายทหารเกษียณอายุ ภาพถ่ายดังกล่าวมาจากการถ่ายหมู่ของทหารใต้บังคับบัญชาบนเรือ HMS กอดดาร์ดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งภาพนี้คงไม่โด่งดังไปทั่วโลก ถ้าในแถวบนสุดด้านหลังของทหารคนที่สี่จากซ้ายปรากฏร่างของชายลึกลับคนหนึ่ง ที่กำลังยิ้มยิงฟันขาวรวมอยู่ด้วย โดยผีนี้คาดว่าเป็นนาย เฟรดดี้ แจ๊คสันที่เพิ่งเสียชีวิตในปี 1919 อย่างกะทันหันจากใบพัดเครื่องบินไปเมื่อสองวันก่อน ว่ากันว่าวิญญาณแจ๊คสันอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว จึงยังมาปรากฏตัวถ่ายรูปกับเพื่อนๆ......




Overtoun Bridge

เรื่องนี้ผมเคยอ่านใน นิตยสารแปลกโลกนะครับ(มีใครรู้จักบ้าง) เขาตั้งฉายานี้ว่า “สะพานสุสานสุนัข” เป็นสะพานโค้งสร้างในปี 1859 ในมิลตัน, ดัมบาร์ดัน สก็อตแลนด์ ที่มันได้ชื่อฉายานี้เพราะอดีตที่ผ่านมามีสุนัขหลายตัวไปฆ่าตัวตายโดยการโดด จากสะพานแห่งนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่การศึกษาพบว่าสุนัขในแถบนั้นนั้นเริ่มมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายโดยโดดจากสะพาน เริ่มในช่วง 1950 หรือ 1960 เฉลี่ยหนึ่งตัวต่อหนึ่งเดือน(อาจสิบตัวต่อหนึ่งเดือน) โดยจุดที่กระโดดนั้นนำไปสู่ความสูงกว่าสิบห้าฟุตทำให้สุนัขตายทันที แม้สุนัขบางส่วนรอดก็จริงแต่มันก็กลับมากระโดดฆ่าตัวตายอีก และที่น่าสนใจคือสุนัขที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์ที่จมูกยาว(บนโลก จะมีสุนัขกี่ตัวที่จมูกสั้นหว่า??) ทำให้หลายคนเชื่อว่าสะพานนี้มีผีสิง และอาจเป็นคำสาปของเด็กคนหนึ่งที่ถูกโยนตกสะพานในปี 1994(และคนโยนก็มีพฤติกรรมอยากฆ่าตัวตายด้วย) และนอกจากนี้ยังมีคนเชื่อว่าสะพานแห่งนี้เป็นที่กั้นระหว่างโลกคนเป็นกับคน ตายซึ่งเป็นสายตรงหากจะข้ามไป ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ได้ส่งคนเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าบริเวณนั้นเป็นผู้อยู่อาศัยของหนูและตัวมิงเยอะ จากการตรวจสอบพบว่าพวกมันมีกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ และนี้คือสาเหตุที่ทำให้สนุขมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือไม่นั้นก็ไม่สามารถ ตรวจสอบได้ มีแม้กระทั้งสารคดี
YouTube - Dog Suicide Bridge Scotland 'TV documentary'





อันดับ 6

An Unfinished Race

เป็น ตำนานการหายตัวของเจมส์ โวสสัน(James Worson ) โดยตามตำนานเล่าว่าเขาเป็นช่างทำรองเท้าอยู่ใน Leamington Spa , Warwickshire , อังกฤษ โดยมีพยานสำคัญสองคนคือแฮมเมอร์สัน เบิร์นส และบาร์แฮม ไวส์ เป็นคนรู้เห็นการหายไปของเขาครั้งนี้และไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกัน แน่? วันนั้นเป็นวันที่ 3 กันยายน 1873 ชายสองคนดังกล่าวเป็นพยานให้แก่เจมส์ที่บอกว่าเขาสามารถวิ่งไม่หยุดจาก Leamington Spa ไปโคเวนทรีที่อยู่ห่างระยะทางประมาณ 9 ไมล์โดยไม่เหนื่อยได้ โดยเขาขอพิสูจน์โดยการวิ่งในระยะทางดังกล่าว เขาเริ่มวิ่งพร้อมกับผู้ติดตาม(ขี่ม้าหลายคน)เพื่อตามมาดูดังกล่าว(เห็นว่า มาพร้อมช่างกล้องด้วย) ระหว่างแข่งเจมส์สะดุดล้มลง และจู่ๆ เขาก็ร้องไห้กรีดร้องอย่างน่ากลัว(พยานในเหตุการณ์วันนั้นบอกว่ามันเป็น เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยได้ยิน) และเขาหายไปอย่างลึกลับโดยไม่ยืน และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย มีการจัดกำลังค้นหาเจมส์หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่พบร่องรอยของเจมส์เลย




อันดับ 5

Devil’s Footprints

ใน ช่วงเช้าวันที่ 8-9 ในช่วงฤดูหนาวเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1855 มลฑลเดวอน ประเทศอังกฤษ เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อแถบบริเวณแม่น้ำเอ็กซ์ มีรอยเท้าประหลาดปรากฏอยู่ท่ว มันเป็นรอเท้าที่พึ่งเหยียบมาใหม่ รูปร่างเหมือนรอยเท้าของลา ขนาดของมัน 4 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วเศษ ลักษณะของรอยเท้านั้นมีทั้งด้านซ้ายและด้านขวาขนานกันไป รอยเท้าเดี๋ยว ๆ เท้าข้างหนึ่งเดินตามรอยของเท้าอีกข้างหนึ่งซึ่งเป็นแถวเดี่ยว ระยะห่างของรอยเท้าแต่ละรอยก็เท่ากันหมด และรอยประหลาดเหล่านี้จะผ่านเส่นตรงกว่า 100 ไมล์ โดยผ่านไปยังสวนหลังบ้าน หลังคาบ้าน หรือลอมฟาง และกำแพงสูง โดยอุปสรรค์แต่ละเส้นทางที่เจ้าของรอยเท้านี้ผ่านไปต้องกระทบกระเทือนเลย และไม่ทำให้ระยะห่างของรอยเท้าแต่ละก้าวเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย มันเดินราวกับว่ากำแพงที่ขวางกั้นนั้นไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเดินทาง แม้กระทั้งรั้วกั้นสูงๆ ประตูที่ปิดกุญแจไว้ มันก็สามารถทะลุผ่านได้ ทำให้หลายคนขนาดมันว่ารอยเท้าของปีศาจ ส่งผลทำให้คนในพื้นที่นั้นหวาดกลัวกันมาก ทำให้เวลานั้นพวกพ่อค้าและคนอื่นๆ ต่างพาถือปืนและไม้พลองออกลาดตระเวณแกะรอยเท้าประหลาดนี้เพื่อหาเจ้าของรอย เท้า แต่ผลสุดท้ายก็ไม่พบ และเมื่อเร็วๆ นี้ในคืน 12 มีนาคม 2009 ก็ปรากฏรอยเท้าแปลกๆ อีกครั้ง(ภาพข้างบน) กลับมาอีกครั้งในเดวอนและเช่นเคยไม่มีใครอธิบายคำตอบนี้ได้ว่ามันคืออะไรกัน แน่




อันดับ 4

FeliciaFelix-Mentor

เฟลิก เซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์เป็นเธอผู้หญิงชาวไฮติที่เชื่อว่าถูกทำให้เป็นซอมบี้ ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 โดยจากรายงานอย่างเป็นทางการระบุว่าเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1907 หลังจากเจ็บป่วยกะทันหันโดยเชื่อว่าเป็นคำสาปของหมอผีชาวไฮติที่ทำให้คนกลาย เป็นซอมบี้ ในปี 1936 มีคนพบเธออยู่ท้องถนน(ในรายงานไม่ระบุว่าเธอเปลือยหรือใส่เสื้อผ้ามอมแมม เพราะหลายเว็บตามระบุเรื่องเหล่านี้ไม่ตรงกันเลย) เธอเดินทางไปฟาร์มของพ่อโดยเธอยืนยันว่าเธอคือเฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์ที่เสียชีวิตเมื่อปี 1907 เนื่องจากสุขภาพไม่ดีเธอเลยถูกส่งไปโรงพยาบาลของรัฐ และจากการตรวจสอบพบว่าเธอมีพฤติกรรมที่ประหลาดคือเธอไร้อารมณ์ความรู้สึก และบ่อยครั้งมากที่เธอพูดถึงตนเองหรือบุคคลที่สามโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ และค่อนข้างชาชินกับโลกและสิ่งรอบตัวของเธอ



อันดับ 3

Chupas

Chupas คือวัตถุลึกลับที่คล้ายยูเอฟโอที่ถูกหลายคนอ้างว่าสามารถพบได้ในตอนกลางคืน ที่ป่าตะวันออกของบราซิล(ส่วนใหญ่) พวกเขาอธิบายว่ามันเป็นวัตถุที่มีลักษณะคล้ายโลหะขนาดเล็กและบินได้ มันทำเสียงฟู่เหมือนตู้เย็นหรือหม้อแปลงไฟฟ้า เนื่องตากประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่แถบนั้นมักออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเพื่อ ล่ากวางเป็นอาหาร ดังนั้นพวกเขามักปีนบนต้นไม้เพื่อรอเหยื่อของพวกเขา และมันมักโผล่มาในเวลานี้ โดยมันจะเปล่งแสงสีขาวสว่างและพวกเขาชื่อว่าแสงนี้อาจทำให้พวกเขาตาย และบางคนเกิดอากรปวดทุกอย่างทั้งวัน(หรือบางคนทั้งปี) ในขณะที่นักล่าส่วนใหญ่พยายามยิงสิ่งนั้นแต่ปรากฏว่ามันไม่มีผลกับมันใดๆ ทั้งสิ้น




อันดับ 2

SS Ourang Medan

ในเดือน กุมภาพันธ์ 1948 มีได้รับข้อความช่วยเหลือจากบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ Ourang Medan ที่ลอยเหนือน่านน้ำอินโดนีเซีย ในสภาพเรือแตก โดยมีข้อความ SOS คือ “All officers including captain are dead lying in chartroom and bridge Possibly whole crew dead.” แปลว่า “เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งกัปตัน นอนตายอยู่ในห้องนั่งเล่นและสะพานเรือ เป็นไปได้ว่าลูกเรือทั้งหมดตายแล้ว”ข้อความนี้เป็นรหัสมอร์สซึ่งเป็นข้อความ ไม่เข้าใจความหมายสุดท้ายที่น่ากลัว และเมื่อมีคนขึ้นไปเรือดังกล่าวก็พบเรื่องประหลาดเมื่อลูกเรือทั้งหมดและ กัปตันเรือดังกล่าวตายหมดแล้วตาของพวกเขาเปิดโพลงใบหน้ามองไปยังดวงอาทิตย์ แขนยื่นออก(บางคนเอามือชี้ไปยังสิ่งที่มองไม่เห็น)และใบหน้าของเขาแสดงสี หน้าหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่สุนัขบนเรือก็ตายโดยสภาพเหมือนกับว่ามองเห็นศัตรูที่มองไม่เห็น บางอย่างที่ห้องหม้อไอน้ำ ระหว่างที่ช่วยเหลือลูกเรือก็พบว่าหนาวทั้งๆ วันนั้นอากาศร้อน และระหว่างกลับก็มีควันออกจากเรือระหว่างนั้นด้วย ซึ่งจากการสันนิษฐานพบว่าลูกเรืออาจถูกโจมตีโดยยูเอฟโอหรือพื้นที่สาม เหลี่ยมอาถรรพณ์ แต่คนไม่เชื่อก็บอกว่าอาจเกิดพิษคาร์บอนมอนอกไชด์ หรือเรืออาจบรรทุกสินค้าวัสดุอันตรายจำพวกพิษที่ทำให้หายใจไม่ออกและเกิด รั่วขึ้น แต่จนถึงทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือ Ourang Medan และลูกเรือทั้งหมดของเรือยังคงลึกลับ






อันดับ 1

GEF

GEF หมายถึงการพูดคุยหรือการติดต่อสื่อสารกับผีพังพอน(สัตว์ลึกลับ, ผี หรือเรื่องหลอกลวง)ได้ โดยรายงานนี้มาจากครอบครัวที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดาลบีที่เกาะแมน(Isle of Man) ในเดือนกันยายน ครอบครัวเออร์วิง—ที่ประกอบด้วยเจมส์ มากาเร็ต และลูกสาว Voirrey (อายุ 13 ปี) อ้างว่าได้ยินเสียงข่วนประหลาด ซึ่งเป็นเสียงกรอบแกรบหลังบ้านสวนของพวกเขาที่พุ่มไม้และด้านหลังโรงนาที่ทำ ด้วยไม้ของพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นหนู หากแต่เมื่อเห็นก็พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและ มันทำท่าทางเหมือนจะคาย หรือคุ้ยเขี่ย ชอบคำรามเหมือนสุนัข และกลั้นคอเหมือนทารก นอกจากนี้มันยังสามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย!! โดยมันแนะนำว่าตนเองเป็นพังพอน ชื่อ GEF อ้างว่าเกิดที่นิวเดลี อินเดีย ในปี 1852 โดย Voirrey เป็นบุคคลเดียวที่เห็นเจ้าพังพอนนี้ชัดที่สุด(และติดต่อกับมันสนิทที่สุด) โดยมันมีขนาดเล็กเท่าหนู มีขนสีเหลือง และหางเป็นพวงขนาดใหญ่(ความจริงพังพอนอินเดียมีขนาดใหญ่กว่าหนูและไม่มีหาง เป็นพวง) เจ้าพังพอนตนนี้ยังคงเป็นมิตรต่อครอบครัวของเด็กสาว และเจมส์ได้เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับพังพอนนี้ไว้ระหว่างปี 1932-1935 ซึ่งปัจจุบันนี้บรรทุกที่ว่าอยู่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยลอนดอน และเจ่าพังพอนนี้ก็กลายเป็นที่นิยมที่ช่วยเรียกนักข่าวและฝูงชนไปยังเกาะ แห่งนี้เพื่อดูสัตว์ดังกล่าว แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง เนื่องจากเพื่อนบ้านออกมาสัมภาษณ์ว่าพวกเขาไม่เคยหรือได้ยินพังพอนที่ ว่า(แต่เพื่อนบ้านบางคนบอกว่าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ รอบบ้านของพวกเขาเหมือนกัน) และนอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายบางส่วนที่เป็นร่องรอยของพังพอน ส่วน Voirrey เด็กหญิงที่เห็นพังพอนดังกล่าวได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2005 และในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง




ที่มา http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1358


ploy58
#24
26-08-2011 - 18:09:04

#24 ploy58  [ 26-08-2011 - 18:09:04 ]






อันดับที่ 10 Dover Demon เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รองจากบอสตัน ในมลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977 รูปร่างคล้ายมนุษย์ต่างดาว สูงประมาณ 4 ฟิต ผิวขรุขระ หัวรูปร่างคล้ายแตงโม ตาเปล่งแสงสีส้มปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกันในท้องถิ่น ต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก อันดับที่ 9 Jersey Devil เจอร์ซี เดวิล นับว่าเป็นสัตว์ลึกลับอีกชนิดนึ่งที่มีความโด่งดังอยู่พอสมควร ซึ่งชื่อของมันได้มาจากแหล่งหรือบริเวณที่พบเห็นตัวของมันที่บริเวณป่าสน Pine Barrens ของรัฐ New Jersey ทางอมริการูปร่างลักษณะของมัน เจ้าอสูรกายเจอร์ซีย์สูงประมาณ 4-6 ฟุต ลำตัวใหญ่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำ มีหัวค่อนข้างคล้ายกับม้า ฟันเหลือง มีเขางอกออกมาจากหน้าผาก 2 อันและมีปีกอันใหญ่อยู่ทางด้านหลัง 2 ปีก และหาง 2 แฉก แต่บ้างก็ว่าเหมือนลูกศร มันดูเหมือนซาตานของทางฝั่งยุโรปด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ได้ฉายาว่า Devil (ซาตาน) Jersey อันดับที่ 8 Flatwoods Monster สัตว์ประหลาดแห่งแฟลตวู้ด เป็นสัตว์ประหลาดที่มีรายงานการค้นพบที่เมืองFlatwoodsในBraxton Country ที่West Virginia ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่12กันยายนปีค.ศ.1952 จากการรายงานสัตว์ประหลาดชนิดนี้สูงถึง 10 ฟุตมีใบหน้าสีแดง และมีร่างกายเป็นสีเขียว ผู้พบเห็นได้กล่าวไว้ว่ามันมีตารูปร่างคล้าย หัวใจหรือใบโพธิ์ หรืออาจมีตาอยู่บนลายรูปหัวใจ และมีหัวขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ซึ่งมีผ้าคลุมสีดำ และต่อมาได้สรุปว่าเป็นสีเขียว บางคนก็บอกว่ามันมีไม่แขน หรือ มีแต่ขนาดเล็ก และสรุปว่ามันมีกรงเล็บยาวคล้ายนิ้ว ซึ่งยื่นออกมาข้างหน้า อีกหนึ่งลักษณะที่ว่า มีรูปร่างคล้ายลูกบอลกลมมีแสงสีแดง ซึ่งลอยอยู่เหนือพื้นดิน หรือ ลอยนิ่งกับพื้น นักยูเอฟโอวิทยา (Ufologists) เชื่อว่า มันอาจเป็นยานบินของมนุษย์ต่างดาวก็ได้ อันดับที่ 7 Owlman มนุษย์นกฮูก เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีผู้อ้างว่าพบเห็นในประเทศอังกฤษ ในยุคทศวรรษที่ 70 ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผสมกับนกฮูกหรือนกเค้าแมวขนาดใหญ่ ถูกพบเห็นครั้งแรกในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1976 โดยเด็กผู้หญิงอายุ 12 ที่ชื่อ จูน เมลลิ่ง (June Melling) และน้องสาวของเธออายุ 9 ขวบ วิคกี้ (Vicky) จากแลงคาสเตอร์ เด็ก ๆ กลัวและวิ่งไปหาพ่อทันที แต่แทนที่ ดอน เมลลิ่ง (Don Melling) พ่อของเด็ก ๆ จะนำความนี้ไปบอกแก่สื่อมวลชน เขากลับนำไปบอกแก่นักสืบสวนเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ แอนโทนี 'ด็อก' ชิลด์ (Anthony 'Doc' Shiels) ซึ่งชิลด์ก็ได้นำเรื่องทั้งหมดนี้ เขียนเป็นบันทึกและนำไปสู่การล่าหาสัตว์ประหลาดตัวนี้ ชิลด์มีแต่ภาพสเก็ตในวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งชิลด์นั้นเป็นนักหลอกลวง อาจจะประกาศตัวเอง เพื่อแกล้งทำภาพถ่ายจำนวนมากและถ่ายวีดีโอสร้างเรื่อง มนุษย์นกฮูก นี้ขึ้นมาเอง และไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอีกเลย อันดับที่ 6 Lizard Man of Scape Ore Swamp มีการกล่าวถึงอาศัยอยู่ในพื้นที่ swampland มีการเห็นล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ มีการอธิบายสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ว่า สูง 7 ฟุต 2 นิ้ว ผิวหนังเป็นเกล็ดสีเขียว มีตาสีแดงกล่ำ เท้าแต่ละเท้ามี 3 นิ้ว และมือแต่ละมีก็มี 3 นิ้วเช่นกัน ปลายนิ้วมือมีแผ่นเป็นวงกลมเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ชอบเกาะตามกำแพง ชอบทำความเสียหายแก่รถของผู้โชคร้ายเพราะมันมีความแข็งแรงมาก อันดับที่ 5 Bunyip Bunyip บันยิพ มีตำนานหรือเรื่องเล่าที่ยังคงกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้ของชนเผ่าอะบอริจินส์ของออสเตรเลีย กล่าวไว้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นจิตวิญญาณจะอาศัยอยู่ตาม แม่น้ำลำคลอง บึง ทะเลสาบ พอเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนมันกลายเป็นสัตว์ประหลาด นิสัยค่อนข้างขี้โมโห ดุร้าย ถ้าใครบุกรุกถิ่นของมันจะถูกมันทำร้าย อาจถูกลากลงน้ำไปเป็นอาหารของมัน รูปร่างประหลาด มี 4ขา แต่ละขามี 3เล็บ รูปร่างใหญ่ ตัวด้านหน้ามีเกล็ดปกคลุมครึ่งหลังเป็นขน หน้าตาคล้ายสุนัขบ้างก็ว่าเหมือนสัตว์อื่นๆ อันดับที่ 4 Sigbin Sigbin เป็นสิ่งมีชีวิต ฟิลิปปินส์กล่าวไว้ว่ามันจะออกมาเวลากลางคืนเพื่อดูดเลือดจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ มันคล้ายแพะและมีหูที่ใหญ่และมีหางยาวที่สามารถใช้เป็นแส้ได้ และยังสามารถปล่อยกลิ่นเหม็นๆได้ มีสองขาเหมือนขาตั๊กแตน นักวิทยาศาสตร์พบสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะดูคล้ายๆกันแต่ก็ยังไม่อาจมีข้อสรุปถึงสัตว์ที่เชื่อมโยงเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันได้ อันดับที่ 3 Canvey Island Monster Monster Island Canvey คือชื่อของซากสิ่งมีชีวิตบนชายฝั่งของเกาะแคนเวย์ในอังกฤษ ในเดือนพฤศจิกายน 1954 ซึ่งมีการค้นพบสิ่งประหลาดขึ้น ในเดือนสิงหาคม ปี 1955 จำนวน 1,954 ชิ้น ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีผิวสีน้ำตาล มีเหงือกสีแดงและตาปูดโปน ขาหลังเท้ารูปเกือกม้าห้าส่วนมีโค้งเว้าเหมาะสำหรับเดิน 2 เท้า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และยังไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการกับซากสิ่งมีชีวิตที่พบ อันดับที่ 2 Pope Lick Monster ในบันทึกส่วนใหญ่ Pope Lick Monster จะปรากฎเป็นร่างมนุษย์ผสมแพะโดยร่างเป็นชายผู้หนึ่ง มีพละกำลังมากปกคลุมไปด้วยเส้นขนแพะ ตาเหมือนนกอินทรี เขาคมยื่นออกมา ตามตำนานมีอยู่มากมาย ตำนานหนึ่งบอกว่ามันจะมีวิธีทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมันด้วยการสะกดจิตหรือใช้เสียงเพื่อล่อ และอีกตำนานบอกว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะถูกโจมตีด้วยขวาน อันดับที่ 1 Goatman โกทแมนเป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแพะลึกลับที่โด่งดังมากในเขต เมือง Prince George รัฐ แมรีแลนด์ การพบเห็นครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในปี 1957 ทาง ตอนบนของเมือง Marlboro และเมือง Forestville ท่อนล่างของร่างกายขาและเท้ามีกีบเหมือนแพะ ท่อนบนของร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะมีเขาแพะ ผิวหนังบนร่างกายปกคลุมไปด้วยขน สูงประมาณสองเมตร หนักกว่า 130 กิโลกรัม หลายคนเชื่อว่าโกท แมนน่าจะเป็นญาติห่างๆกับบิ๊กฟุต หรือมีความได้โกทแมน เกิดขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อพันธุกรรมของคนและแพะเข้า ด้วยกันโดยศูนย์ค้นคว้าและวิจัย beltsville แห่งเมือง prince george อันเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานโกทแมน แต่อย่างไรก็ตาม ตามแบบฉบับสิ่งมีชีวิตลึกลับมักจะไม่ค่อยให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่า เชื่อถือซึ่งแสดงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของมัน


ploy58
#25
26-08-2011 - 18:09:39

#25 ploy58  [ 26-08-2011 - 18:09:39 ]






ใครอยากให้หาไร บอกน่ะค่ะ


lovemiku
#26
26-08-2011 - 18:18:21

#26 lovemiku  [ 26-08-2011 - 18:18:21 ]






ไม่อาววววววววววววววววนะ เกมส์ไอ้เดอะโฮมหยองแค่อ่านฉากแรกคำเดียวแล้ว
นะจะมี ปล.ขวัญอ่อนห้ามเข้านะจ้ะ


ploy58
#27
26-08-2011 - 19:18:22

#27 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:18:22 ]






ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ ( Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบที่มีพลังปีศาจ แม้ว่าผีดูดเลือดจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ เพราะผีดูดเลือดนั้นมาจากคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลง เกิดใหม่ในร่างเก่าของตน
ดูดเลือดสิ่งมีชีวิตเป็นอาหารและโอสถทิพย์ สังคมทุกสังคมรู้จัก "แวมไพร์" ตำนานกล่าวว่า แวมไพร์ คือผู้ที่ปรารถนาชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าในวันพิพากษาที่จะมาประทานให้ทั้งคนเป็นได้มีชีวิตนิรันดร์และผู้วายปราณจะคืนชีพและเกิดใหม่ในฐานะมีชีวิตนิรันดร์ เช่นกัน แต่ อนิจาด้วยความโลภและใจเร็วเกินมนุษย์กลุ่มหนึ่งพยายามมีชีวิตเป็น นิรันดร์ ด้วยคัมภีร์เวทมนต์ กัมบาลา บางคนสำเร็จบ้างแต่บางคนสำเร็จแต่ต้องลงเอย ในรูปแวมไพร์ เสียส่วนมากพวกสำเร็จจริงๆเป็นส่วนน้อยครับ

สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือด ผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน

ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน


ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามแวมไพร์ ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คือ อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) เปาเล ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็น แวมไพร์ ไปด้วย เปาเล ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ


ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของ แวมไพร์ ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด



บันทึกในปี พ.ศ.2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม การเป็นแวมไพร์ นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจและก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปิศาจหรือเวทมนตร์ แม่มดเท่าใดนัก แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย ผู้บริสุทธิ์ก็เป็น แวมไพร์ ได้โดยตกเป็นเหยื่อของพวกมัน



บุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นและมีการตายอย่างประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า จะเป็นแวมไพร์ อย่าง แน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้าย แวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัด แวมไพร์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล


ปลายพุทะศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ

ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย


ploy58
#28
26-08-2011 - 19:19:31

#28 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:19:31 ]






ประวัติความเป็นมาของ ลัทธิแม่มดนั้น แต่เดิมในยุโรปสมัยโบราณ ผู้หญิงเป็นผู้ที่ควบคุมพลังทางจิตวิญญาณของสังคม เนื่องจากผู้หญิงเป็นทั้งผู้ให้กำเนิด และเลี้ยงดูเด็กทารกให้เจริญวัย เป็นผู้ปรุงยาสมุนไพรเพื่อการรักษาโรค ดูแลเกษตรกรรม และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพื้นดิน ผู้หญิงจึงเป็นผู้นำของ ภูมิปัญญาท้องถิ่น(wicca) อย่างแท้จริง มีการบูชาธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ และต้นไม้สีเขียวทั้งหลาย เป็นต้น ในสมัยนั้นประชาชนนิยมบูชา เทพธิดา หรือเทพเจ้าที่เป็นเพศหญิง(goddess) มากกว่าเทพเจ้าเพศชาย นับเป็นศาสนาของสังคมในยุคก่อนที่ผู้ชายจะเป็นใหญ่(pre-patriarchal)

ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เกิดขึ้นและแพร่หลายไปในยุโรป บาทหลวงซึ่งเป็นเพศชายเริ่มต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางจิตวิญญาณนั้นจากเพศหญิง บาทหลวงผู้ชายเริ่มกล่าวหาและประณามผู้หญิงซึ่งเป็นผู้นำของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ปรุงยาสมุนไพร รักษาโรค และทำหน้าที่ผดุงครรภ์เหล่านั้นว่า แม่มด คำว่า แม่มด(witch) จึงเป็นคำที่ใช้กล่าวอ้างเพื่อที่จะประณาม ปราบปราม หรือทำลายผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของภูมิปัญญาและผู้ควบคุมพลังจิตวิญญาณของสังคมในขณะนั้น



ในยุโรปยุคกลางหรือแม้แต่ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทั้งในยุโรปและอเมริกา มีการออกตามล่า แม่มด กันอย่างขนานใหญ่ ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น แม่มด จะถูกจับมัดติดกับเสา และถูกเผาไฟทั้งเป็น หรือมิฉะนั้นก็จะถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ชีวิต นับเป็นการปราบปรามพลังแห่งจิตวิญญาณและสติปัญญาของเพศหญิงอย่างขนานใหญ่ในยุโรป เพื่อที่จะสถาปนาสังคมที่มีผู้ชายเป็นใหญ่(patriarchy)ขึ้นมาแทนที่ นับต่อจากนั้นศาสนาที่ผู้ชายเป็นใหญ่ จึงได้เข้าแทนที่ศาสนาที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ

ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป็นผู้หญิงชนิดพิเศษ แบ่งออกเป็นแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว คำว่าดำ - ขาว เนี่ย ไม่ได้หมายถึงสีผิวหรอก แต่เป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่บรรดาแม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่ต่างหาก

แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลย

ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ ( Supreme being ) หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม

นี่แหละ คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก บางคนอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ มีเหมือนกัน พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน
คำว่า " Witch " หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า " wit " ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง หยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ ( ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่เลือกวิธี และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต

แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ - ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอก แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปซะอย่างนั้นเอง

ถึงเป็นแม่มดก็ยังต้องกินข้าว แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง

แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆสิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่และทรมานเป็นส่วนใหญ่

การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเ่...่ยวเฉาและเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคต( ที่ร้ายๆ ) พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็นสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย

ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตสมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน โดยปฏิญาณตนด้วยท่าว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คน เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่วัน Candlemas(2 ก.พ.) วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายวึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีน

ตำนานของชาวยุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์

แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ครับ ยาที่ว่าคือขนเพชรของมัมมี่ รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย

กล่าวกันไปแล้วในตอนต้น ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ " เชือด " เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น

ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักซานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย

เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า " สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต " -Thou shlt not a suffer a witch to live จึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆที่จะนึกออกได้ ใครที่ทนการทรมานไม่ไหวก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือการเผาทั้งเป็น ! !

ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกคือ Pagan ที่แปลกันตรงๆก็คือ นอกรีต สาเหตุก็มาจากการล่าแม่มดในช่วงยุคกลางนั่นแหละ แต่ความจริงอีกนัยหนึ่งแล้วเพแกนคล้ายๆกับศาสนาทั่วๆไป เพียงแต่ไม่ได้รับการยอมรับ Pagan มีหลายกลุ่มอยู่ที่ความเชื่อและแนวทางปฏิบัติ เช่น

วิคคา wicca นับเป็นสังคมที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเพแกน โดยที่เน้นการเข้าสู่ธรรมชาติ เข้าใจในธรรมชาติ นับถือเทพเจ้า เทพี หลักความเชื่อถูกบัญญัติอยู่ในวิคคารีด พวกนี้จะให้ความเคารพเทิดทูนผู้หญิงมาก และที่สำคัญพวกนี้มีความเชื่อว่าหากทำอะไรลงไปแล้วจะได้กลับคืนมาเป็น 3เท่า เหมือนๆกับกฎแห่งกรรม สัญลักษณ์ของวิคคาคือดาว 5 แฉก มีวงกลมล้อมรอบ แสดงถึงชีวิต เรียกว่า แพนตาเคิล

ลองเอาวิคคารีดมาให้อ่านกันครับ

Wiccan Rede

Bide ye Wiccan laws ye must in perfect trust
Live and let live, fairly take and fairly give
Form the circle thrice about to keep all evil spirits out
To bind ye spell every time, let ye spell be spake in rhyme
Soft of eye, light of touch, speak ye little, listen much
Deosil go by the waxing moon, singing out ye Witches' Rune
Widdershins go by the waning moon, chanting out ye Baneful Rune
When the lady's moon is new, kiss your hand to her times two
When the moon rides at her peak ,then ye heart's desire seek
Heed the North wind's mighty gale, lock the door and trim the sail
When the wind comes from the South, love will kiss thee on the mouth
When the wind blows from the West, departed souls may have no rest
When the wind blows form the East, expect the new and set the feast
Nine woods in ye cauldron go, burn them fast and burn them slow
Elder be ye Lady's tree, burn it not or cursed ye'll be
When the wheel begins to turn, soon ye Beltaine fire'll burn
When the wheel hath turned to Yule, light a log the Horned One rules
Heed ye flower, bush and tree, by the Lady blessed be
Where the rippling waters flow, cast a stone and truth ye'll know
When ye have and hold a need, harken not to others greed
With a fool no season spend, nor be counted as his friend
Merry meet and merry part, bright tha cheeks and warm the heart
Mind ye threefold law ye should, three times bad and three times good
When misfortine is anow, wear the blue start upon thy brow
True in love ye must ever be, lest thy love by false to thee
In these eight words the Wiccan Rede fulfill, 'An ye harm none, do what ye will.


อีกพวกที่อยู่ Pagan คือ ชาแมน Shaman เรียกได้ว่าเป็นพวกหมอผีเลยก็ว่าได้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ที่จะเป็นมาแต่กำเนิดคือมองเห็นและติดต่อกับมิติคู่ขนานของเรา ชาแมนจะมีการติดต่อกับเทพเจ้า ติดต่อกับผีเพื่อขอพลังในการรักษา ทำนาย สาปแช่ง นับเป็นกลุ่มที่โบราณและเก่าแก่ที่สุด

ยุคมืดของแม่มด

ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ หรือดีเลวอย่างไรก็ตาม ประมาณต้นศตวรรษที่ 6-11 แถบยุโรปเคยมีแม่มดและมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่พอศตวรรษที่ 15-17 หรือยุคกลางของยุโรป ที่เรียกกันว่า ยุคมืด นั้นมีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะโยนบาปก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และมักเป็นแพะรับบาป พร้อมหลักฐานจำนวนหนึ่ง บางทีหลักฐานก็ดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างมั่วว่า สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต ( "Thou shlt not a suffer a witch to live" )

ฉะนั้นจึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีนานาที่จะนึกออกได้ ใครจะทนการทรมานไหว ก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือ การเผาทั้งเป็น!


อีกตัวอย่างเหตุการณ์ของการจับแพะแม่มดที่สำคัญโด่งดังคือ กรณีเซนต์โจนส์แห่งตำบลอาร์ค (โยนส์ออฟอาร์ค) เพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่คอยมีใครรู้ที่มาที่ไป และนำทัพปฏิวัติให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากอังกฤษ อย่างเหลือเชื่อ การเมืองไม่เข้าใครออกใคร จะด้วยอิจฉาหรือกลัวถูกแย่งประชานิยมหรือรักษาตัวรอดตามเกมการเมืองก็ตาม ผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสสมรู้กันมอบเธอให้อังกฤษ เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เธอต่างหากที่ปลดปล่อยฝรั่งเศสให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และมีกษัฅริย์ของตนเอง เธอถูกตัดสินว่า ผิดจริงโดยใช้พลังของแม่มดในการเมืองการสงคราม และถูกเผาทั้งเป็น แต่ภายหลังเป็นร้อยปี ก็ได้มีการรื้อคดีมาทำใหม่ และประกาศว่าการพิพิากษาครั้งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วเธอได้รับยกย่องให้เป็น หนึ่งใน นักบุญ (เซนต์)


snowdy
#29
26-08-2011 - 19:19:31

#29 snowdy  [ 26-08-2011 - 19:19:31 ]




ฮ่าๆ
เกมส์ thehome มันสุดยอดดดด หุหุ
ไม่น่ากลัวถ้าปิดเสียงเล่น ฮ่าๆ
พลอยซังแต่ละเรื่องน่ากลัวจัง
เรื่อง พังพอนน่ากลัวจัง


ploy58
#30
26-08-2011 - 19:21:33

#30 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:21:33 ]






quote :
ฮ่าๆ
เกมส์ thehome มันสุดยอดดดด หุหุ
ไม่น่ากลัวถ้าปิดเสียงเล่น ฮ่าๆ
พลอยซังแต่ละเรื่องน่ากลัวจัง
เรื่อง พังพอนน่ากลัวจัง

อิอิอิ
ของชอบ ของโนจังอ่ะดิ


ploy58
#31
26-08-2011 - 19:26:12

#31 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:26:12 ]






เรื่องของเผ่ากินคน


อันว่า มนุษย์กินคน จ้าวแห่งนักล่านั้น มีมานานแล้วนับแสนนับล้านปี


ปัจจุบันเราเรียกคนกินเนื้อคนพวกเดียวกันเองว่า Cannibalism ซึ่งแปลว่า "มนุษย์กินคน"


มีคำถามว่า "พวกมนุษย์กินคนยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อยู่หรือไม่"

คำตอบคือ ยังมีอยู่ครับ แถมยังอยู่ในทุกทวีปทั่วโลกซะด้วย และที่สำคัญ พวกนี้มิได้อยู่ไกลจากเราเลยครับ


ชนเผ่า อาปาเช่ ซึ่งได้ อพยพมาจากแคนาดาตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณพันกว่าปีมานี้เอง และชนเผ่านี้เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดประเพณี การล่าหัวมนุษย์ต่างเผ่า ซึ่งสร้างความกลัวให้แก่คนผิวขาวมานานเนิ่นภายหลังเผ่าอาปาเช่ ได้ผู้นำเก่ง "เจอโรนิโม" ทำสงครามกองโจรกับสหรัฐฯ และเม็กซิโก ต่ออีกหลายปี เจอโรนิโม ได้นำนักรบอาปาเช่ ต่อสู้กับสหรัฐ จนถึงปี ค.ศ. 1885 เป็นชนพื้นเมืองเผ่าสุดท้ายที่ต่อต้านผู้รุกรานชนผิวขาว

ว่ากันว่า หากพวกเขาจับชาวผิวขาวได้ จะนำมีดเชือดสัตว์ ปาดตอ แล้วถลกหนังศีรษะกันสดๆเลยครับ ส่วนเนื้อช่วงลำคอจะนำไปกินกันบ้าง เพราะเขาเชื่อว่า หากบริโภคสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตาม จะได้รับคุณสมบัตินั้นๆของตัวเหยื่อ

จนกระทั่งอเมริกายึดครองพื้นดินแถบนั้นได้หมด ทำให้ประเพณีดังกล่าวนี้หมดไปโดยสิ้นเชิง


ชนเผ่าซึ่งอาศัยในป่าดงดิบลึกๆ ชนเผ่านี้คาดคะเนไม่ได้ว่าพวกเขาอยู่เผ่าอะไร และกระจายไปตามทั่วโลก ชาวเผ่าเผ่านี้จะกินเนื้อเพื่อเป็นพิธีทางศาสนาและไสยศาสตร์เท่านั้น และที่ร้ายๆคือ ชนป่ากลุ่มนี้ยังมีอยู่ในเขตป่าดิบชื้ออย่างป่าสาละวิน ตอนเหนือของพม่าอินเดียขึ้นไป ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศไทยเราซะด้วย ซึ่งเราอาจเรียกพวกเขาว่า "พวกล่าหัว"

และหากว่าพวกเขาเจอมนุษย์จากสังคมภายนอกเข้ามาหลงทางในป่า พวกเขาจะออกตามล่าทันที ซึ่งมนุษย์ภายนอกจะต้องหนี ซึ่งพวกนี้จะไล่ต้อนจนกระทั่งประสาทเสีย ก่อนที่จะจับได้ หากเป็นผู้หญิงจะถูกข่มขืนเรียงคิว ทั้งหมู่บ้านมีเท่าไหร่ก็ออกมาเรียงคิวเท่านั้น พอข่มขืนเสร็จก็นำก้อนหินทุบเข้าที่ศีรษะจนกระโหลกบิดบู้บี้ และนำหินที่ลับจนคม หั่นคอทั้งเป็น และเฉือนเนื้อมาทำอาหารกันสดๆ

เผ่าเลกุลุ ในนิวกินี ซึ่งจะจับเชือดคอเหยื่อ ตัดหัวทั้งเป็น โดยส่วนมาก เผ่านี้จะนำเนื้อส่วนเอ็นมาบริโภคอย่างเอร็ดอร่อย แบบต้มเเซ่บ และกินเนื้อส้วนภายนอกของร่างกายเท่านั้น แต่ทว่า พวกเขา จะไม่แตะต้องส่วนของสมองและเครื่องใน ตับ ไต ไส้ พุง เพราะมีความเชื่อว่า เป็นแหล่งสะสมพิษ






ต่อมาทางการได้ตัดถนนเข้าไปในป่า ทำให้ประเพณีเช่นนี้เริ่มหมดไปจากคนป่าเผ่านี้ คงเหลือแต่เศษซากหัวกระโหลกและกระดูกมนุษย์ที่ คนป่าเผ่าเลกุลุ นำมาเป็นเครื่องรางของขลัง






ชนเผ่า อัชติ อยู่แถวแอฟริกาใต้ โดยขั้นตอนการบริโภคของมนุษย์กินคนเผ่านี้จะเน้นไปที่ความมีสามัคคีร่วมครับ เพราะจะมีการผ่าอกกันแบบสดๆเพื่อควักเอาหัวใจมาให้แก่หัวหน้าเผ่า ซึ่งหัวหน้าเผ่าก็จะสวาปามไปซะเดี๋ยวนั้นเลย ส่วนเนื้อและหนังที่แล่ออกมาได้จะนำไปแจกจ่ายทุกคนเพื่อนำไปบริโภค กินกันไปกระดูกก็ยังไม่ทิ้ง แต่จะนำไปขัดมันเพื่อให้หมอผีประจำเผ่าทำเครื่องรางของขลัง ส่วนหนังมนุษย์จะนำไปทำเครื่องนุ่งห่ม

บุคคลรายสุดท้ายที่คาดว่าน่าจะเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายจากเผ่านี้ ถูกบริโภคคือ เซอร์ชาร์ลส์ แม็คคาธี่ นักสำรวจ กิตติมาศักดิ์ จากเมืองผู้ดี อังกฤษ นั่นเองครับ โดยถูกเผ่านี้ชำแหละดังว่า และทางการได้ส่งกองกำลังทหารมากวาดล้างหมดแล้ว แต่ไม่แน่ว่า พวกเขาจะหมดไป เพราะป่าในเขตคองโกนั้นกว้างใหญ่มาก

ชนชาติ แอซเทค ซึ่งเป็น 1ใน10อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดนับจากอดีต แต่นอกจากอาณาจักรนี้จะมีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่แล้ว พวกเขายังมีประเพณีกินเนื้อคนและนำไปบูชายัญด้วย ซึ่งวัตถุดิบในการทำ ส่วนมากจะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์เท่านั้น และจะจัดแต่งองค์ทรงเครื่องของหญิงสาวคนนั้นให้สะอาดแล้วเชิญให้นอนบนแท่น จากนั้นผู้ประกอบพิธีหลายคนจะยืดแขนและศีรษะของเหยื่อ จากนั้นหมอผีจะทำการคว้านหัวใจออกมา เผ่าเคารพต่อเทพเจ้า บางทีหัวหน้าเผ่าก็จะนำมากินกันเอง เพราะเชื่อว่า จะทำให้เวทย์มนต์มายาของตนนั้นสูงส่งขึ้น


เผ่ากินคนในป่าดิบชื้น"คองโก" หากท่านได้พิจารณาหนังเรื่อง เปรตเดินดิน กินเนื้อคน จะได้รูปแบบมาจากคนป่าในแถบนี้ เพราะนอกจากเผ่านี้ไม่มีชื่อเรียกเป็นของตนเองแล้ว ยังมีพฤติกรรมประหลาดๆคือ เป็นชนนเผ่าที่เรียบง่าย และต้อนรับขับสู้คนนอกเผ่าดี ดูไม่น่าจะมีปัญหานะครับ

แต่......ใครจะรู้ หากทำอะไรขัดใจ หรือไม่เป็นที่พอใจเขา จะจัดการชำแหละร่างอย่างในภาพยนตร์ที่เราดูทันที หากเป็นสตรีนั้น อาจถูกข่มขืนเรียงคิวทั้งเผ่าพันธุ์เลยก็ได้ จากนักเดินทางสำรวจหญิงผู้โชคดีรายหนึ่งกล่าวไว้ว่า เธอได้หลงทางจากป่า และบาดแผลที่ได้จากกับดักช้าง เธอได้รับการช่วยเหลือจากคนป่าเผ่าดังกล่าว หญิงนักสำรวจรายนี้ได้รับการต้อนรับในกระโจมของหัวหน้าเผ่าอย่างดี แต่ภายในกระโจม เต็มไปด้วยหัวกระโหลกของมนุษย์ กระดูก และหนังของมนุษย์แขวนอยู่ ซึ่งคืนนั้นเธอก็นอนไม่เต็มตานัก แต่พอรุ่งเช้าเธอก็กลับได้อย่างปลอดภัย


ชาวเกาะลูซอน ประเทศ ฟิลิปปินส์ เพื่อนบ้านเรานี้เองครับ ซึ่งหากหลายท่านมองสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา

หลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวว่า "ไม่จริง" เพราะชาวเกาะนี้จะแต่งกายดี นุ่งเสื้อเชิ้ต มีเครื่องแต่งกายที่ดูแล้วเป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนชนชาวชนบทธรรมดา และไม่ได้มีเผ่าเดียวเท่านั้น แต่จะกระจายตามส่วนต่างๆของเกาะ และรบราฆ่าฟันกันโดยอ้างว่าเพื่อการชิงอำนาจ

โดยการรบนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บางครั้งอาจยกพวกทั้งเผ่าประทะกัน บางครั้งจะลอบฆ่าทีละคน เมื่อฆ่าศัตรูได้ พวกเขาก็นำมีดมาตัดที่คอเหยื่อ แล้วมัดมือมัดขา เอาสอดเข้าที่คานแล้วแบกไป เสมือนกับขั้นตอนการเชือดหมูและไก่อย่างไรอย่างนั้น

แต่ทว่าเขาไม่ตัดหัวเพื่อนำไปทิ้ง แต่ทว่าหัวนั้นเป็นอาหารชั้นดี หัวหน้าเผ่าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้ลิ้มลอง

ขั้นตอนการบริโภคนั้นเอาอีโต้ เฉาะ และตอกกระโหลกเหมือนเฉาะผลมะพร้าว เปิดประโหลก ซึ่งจะมองเห็นสมองที่มีเลือดปนเยิ้มๆ แล้วนำไปให้แก่หัวหน้าเผ่ากินทันที แต่หากมีหลายศพ หัวหน้าเผ่าก็ต้องกินได้ไม่เกิน 3 หัวเท่านั้น เพราะต้องแบ่งให้ลูกบ้านบ้าง มิฉะนั้นอาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งผู้นำ และถูกบริโภคแทนเองก็ได้

แต่ทว่า.....เผ่าที่ถูกล่านั้นใช่ว่าจะยอมแพ้กันง่ายๆ หลายครั้งมีการยกพวกมาแก้แค้น เพื่อนำศพของผู้พ่ายแพ้ของตนกลับมาทำพิธีศพตามหลักความเชื่อ






เผ่าดยัค เผ่าอีฟูเกาส์ เผ่า อิเตตาพาน ชื่อไพเราะ เพราะเสนาะหู แต่ขอประทานโทษครับเจ้านาย ดุผิดมนุษย์มนาจริงๆ

ที่สำคัญเผ่าทั้ง3เผ่านี้ไม่ได้กระจุกอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แต่กรจายออกไปตามชายป่าต่างๆทั่วๆเกาะฟิลิปปินส์

สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กล่าวไว้ว่า ทหารญี่ปุ่นแตกทัพจากการโจมตีของทหารชาวมะกัน ได้เข้าไปหลบในเขต มินดาเนา แต่ทว่าต้องพบจุดจบทั้งกองทัพจากการจู่โจมของมนุษย์กินคนทั้ง 3 เผ่าพันธุ์ ดุดีไหมครับ

การบริโภคของเผ่านี้จะนำหินทุบเข้าที่ศีรษะจนหมดสติ จากนั้นก็นำหลาวไม้แหลมๆเสียบเข้าที่รูทวาร จนทะลุออกมานอกปาก และนำไปย่างและแจกจ่ายบริโภคกัน แต่ภายหลัง ได้มีการใช้ปืนผาหน้าไม้ในเผ่า ทำให้เกิดความสะดวกขึ้นครับ แต่ประเพณีบ้าๆนี้ก็ยังมีอยู่จนทุกวันนี้





 928394


Chen are not alone
#32
26-08-2011 - 19:26:31

#32 Chen are not alone  [ 26-08-2011 - 19:26:31 ]




นั้งอ่านอยู่ดีๆ ขนลุกเลยครับ

thebattlebegan

ploy58
#33
26-08-2011 - 19:29:12

#33 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:29:12 ]






ในปี ค.ศ.1975 (หรือ พ.ศ.2518 สามสิบปีก่อนนี้เอง) ณ หุบผาสปิติแห่งทิเบต อันเป็นพรมแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ได้เกิดแผ่นดินถล่ม เจ้าหน้าที่อินเดียสองคนได้เข้าไปซ่อมแซมทางที่เสียหาย และบนเขาสูงลิ่วจากพื้นดินถึง 4,000 เมตรนั้น เขาก็ได้พบร่างของมัมมี่ชาวทิเบตฝังอยู่ เป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์ในลักษณะนั่งสมาธิ ใกล้กันนั้นมีม้วนคัมภีร์โบราณอยู่ด้วย หากทว่าผุพังเปื่อยสลายก่อนที่จะทันได้เอาไปศึกษา ข้อมูลอันน่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลจึงสูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย
มัมมี่ร่างนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ หมู่บ้านทาโบ ซึ่งเป็นชุมชนโบราณมานานนับพันปี และโดดเดี่ยวห่างไกลความเจริญ วิถี ชีวิตของผู้คนเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะมีก็เพียงโบสถ์ใหม่หลังเล็กที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อนำร่างมัมมี่มาไว้บูชา เพราะพวกเขาถือว่าการที่ร่างมัมมี่นี้ ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา ก็ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของร่างมัมมี่นี้ก็ตาม
ความลึกลับของมัมมี่ทิเบตนี้ ทำให้นักโบราณคดี วิกเตอร์ แมร์ สนใจใคร่ศึกษา เขาจึงรวบรวมทีมงานราว 10 คนขึ้น และขออนุญาตทางการอินเดียเข้าไปดำเนินการ สำรวจร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียด ซึ่งอินเดียก็โอเค แต่ให้เวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง! ทั้งนี้เพราะเป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับเขตจีน ซึ่งมีกรณีพิพาทกันเนืองๆ
ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้องปฏิบัติการอย่างรวบรัดสุดๆ
พวกเขาเดินทางระหกระเหินไต่เขาอันสูงลิ่ว ผ่านชะง่อนผาต่างๆซึ่งมีรอยเจาะเป็นถํ้า สำหรับภิกษุทิเบตใช้พำนักเรียกกันว่า ภูผาแห่งวิหาร กระทั่งในที่สุดก็ถึงหมู่บ้านทาโบ ทีมงานไม่รอช้า ขอเข้าพบหลวงพ่อสมภารผู้ดูแลโบสถ์ ซึ่งเก็บรักษามัมมี่ และจากการซักถาม ก็พบว่าท่านรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัมมี่น้อยมาก
ดังนั้น วิกเตอร์จึงขออนุญาตศึกษาสภาพของมัมมี่กันเลย
จากการชันสูตรเบื้องต้น มัมมี่ร่างนี้ก็คล้ายกับมัมมี่อียิปต์ คือมีวิธี การทำโดยควักเอาอวัยวะภายใน เช่น ลำไส้ออก แล้วยัดเกลือหรือยางไม้ไว้แทนที่ ซึ่งก็มีพระทิเบตองค์สำคัญๆ ได้รับการเก็บรักษาศพไว้ด้วย วิธีนี้ บางองค์ถึงกับแช่ลงในอ่างที่มีเนยเหลว โดยเฉพาะองค์ดาไล ลามะ นั้น กล่าวกันว่ามัมมี่ของท่านมีการปิดทองด้วย
วัตถุประสงค์ของการทำมัมมี่ ก็ด้วยเหตุที่ถือกันว่า ลามะศักดิ์สูงนั้น ร่างของท่านศักดิ์สิทธิ์ การบูชาร่างของท่านย่อมนำมา ซึ่งสวัสดิมงคลนั่นเอง
ถัดมาเป็นการสำรวจสภาพ ภายนอกของศพ พวกเขาพบว่าผิวหนังมีร่องรอย เสียหายหลายแห่ง และมีรากับ ตะไคร่ขึ้นเป็นคราบ ดวงตาข้างหนึ่งยังมีลูกตา ซึ่งหดเล็กอยู่ภายในเบ้า ส่วนดวงตาอีกข้างหนึ่งนั้น หนังตาหรี่ปิดครึ่งหนึ่ง และยังมีขนตาติดอยู่ ซึ่งนับเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง
อย่างไรก็ดี ไม่พบว่ามีการใช้สารเคมี ในการรักษาสภาพศพแต่อย่างใด และนี่เองที่ทำให้การชำรุด เสียหายไม่เท่ากันตลอดร่าง กระนั้นก็ยังจัดว่าสภาพศพส่วนใหญ่ดีมาก เนื้อและขนยังอยู่ครบ
ที่รอบคอของมัมมี่และใต้ต้นขา ปรากฏวัตถุคล้ายแถบผ้าคล้องอยู่ มีร่องรอยถูกมอดแทะ ปัญหามีว่าแถบผ้านี้ใช้ใน วัตถุประสงค์อันใด? เกี่ยวข้องกับการตายของเขาหรือไม่ เพราะถ้าหากร่างนี้เหยียดขาออกไป มันจะรัดคอเขาแน่น
ด้วยเหตุที่มีเวลาจำกัดมาก ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้อง ใช้วิธีเก็บตัวอย่าง ที่จำเป็นจากร่างมัมมี่ เช่น เส้นผม แล้วนำกลับไปวิเคราะห์ ในห้องแล็บในเมือง
จากนั้น พวกเขาได้พยายามหาความหมาย ของสภาพศพที่อยู่ในลักษณะนั่งตัวงอ ซึ่งไม่น่าจะสบายนัก การนั่งนานๆในลักษณะนี้จะทำให้ กระดูกสันหลังโค้ง และอาจเป็นสาเหตุของการตาย เขาคงจะนั่งสมาธิติดต่อกันนานมาก และแต่ละชั่วโมงก็ได้พรํ่าท่องมนต์ในพุทธศาสนา
หรือว่าพระองค์นี้ได้ฝึกท่าโยคะ โดยอาศัยแถบผ้าเหนี่ยวรั้งร่างกายไว้ให้ดำรงอยู่ ในลักษณะดังกล่าวได้? ถ้ากระนั้นท่านอาจเป็นฤษี?
ภายในเวลาเพียงหกชั่วโมง วิกเตอร์กับทีมงานของเขาเก็บ รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆไว้ อย่างรวดเร็ว แล้วลงจากหมู่บ้านทาโบ จากนั้นก็แยกย้ายกันนำข้อมูลไปวิเคราะห์
มาร์กาเร็ต ค็อกซ์ นำเส้นผมของมัมมี่เดินทางไปกว่า 6,000 ไมล์ ยังมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แล้วเอาเส้นผมนั้นเข้าเครื่อง เรดิโอคาร์บอน เพื่อหาอายุของมัมมี่ทันที
ตัวอย่างเส้นผมหนักเพียง 8 มิลลิกรัม ถูกเผาในตู้อบ มันปล่อยรังสีไอโซโทป ของคาร์บอนและไนโตรเจน ออกมาในรูปแก๊ส อัตราส่วนระหว่างสองธาตุนี้ จะชี้ให้เห็นถึงโภชนาการของมัมมี่ตนนี้ และจากการที่เส้นผมนี้งอกขึ้นมาในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของชีวิต มันพิสูจน์ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของร่าง ได้อดอาหารในช่วงเวลาก่อนสิ้นชีพนานไม่น้อยกว่า 3 เดือน
ภายในห้องแล็บ เถ้าจากเส้นผมถูกนำมายิงด้วยอนุภาคที่มีพลังงานสูง ทำให้อะตอมแตกตัวและพุ่งออกมาด้วยความเร็ว 50 ล้านไมล์ ต่อชั่วโมง มันพุ่งไปในแนวที่ควบคุมด้วยสนามแม่เหล็ก และแยกอะตอมของคาร์บอน 14 ออกมา สายอะตอมนี้จะผ่านเครื่องนับอะตอมแล้วปรากฏ ตัวเลขบนจอ ผลที่ได้คือ
มัมมี่ตนนี้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1475 หรือ 529 ปีมาแล้ว! ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา
งานถัดมาคือการวิเคราะห์หาสาเหตุการตายของเจ้าของร่างมัมมี่
งานนี้ทำให้วิกเตอร์ แมร์ ต้องบินไปญี่ปุ่นเพื่อหาข้อมูล เกี่ยวกับมัมมี่ญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า บูกาอิ ซึ่งอยู่ในลักษณะนั่งงอคล้ายกัน กับมัมมี่ทิเบต และมีสภาพสมบูรณ์ มีราขึ้นบริเวณคางและกราม แสดงถึงว่าไม่มีการใช้น้ำมันเชลแล็ก ในการรักษาสภาพ ไม่มีการใช้ สารเคมีช่วย ในการดองศพแต่อย่างใด
ถ้ากระนั้น มัมมี่บูกาอิคงสภาพมัมมี่ได้ อย่างไร?
พระภิกษุท้องถิ่นประจำวัด อธิบายให้วิก-เตอร์ฟังว่า ภิกษุมัมมี่เริ่มการอดอาหารนาน 3 ปี โดยฉันแต่เปลือกไม้และถั่ว จากนั้นจึงได้เข้าไปทำสมาธิอยู่ในหีบไม้นานถึง 60 วัน เมื่อเปิดหีบออกก็พบว่าท่านได้กลายสภาพเป็นมัมมี่ไปแล้ว
เป็นการทำมัมมี่ด้วยตนเอง!
จากการอดอาหารอันยาวนานของบูกาอิประกอบกับการทำสมาธิ ทำให้เกิดพลังจิตอันแรงกล้า อวัยวะและกล้ามเนื้อจะค่อยๆหดตัวลง จุลินทรีย์ในลำไส้ถูกทำลายไป เมื่อไม่มีแบคทีเรียเหลืออยู่ เนื้อหนังของศพจึงไม่ถูกกัดกิน และคงสภาพไว้ได้ แต่อายุของมัมมี่บูกาอินั้นเพียงแค่ 100 กว่าปี
เป็นไปได้ไหมว่า มัมมี่ทิเบตเกิดขึ้นจากวิธีการนี้เช่นกัน
เพื่อค้นหาความจริงให้ประจักษ์ วิกเตอร์ เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านทาโบ ณ ที่นี้เป็นวัดของภิกษุมัมมี่ทิเบต วิกเตอร์เดินก้าวตามรอยเท้าที่ท่านเคยเหยียบย่ำ เพื่อหาข้อมูลได้อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ได้สืบเสาะกับผู้คนท้องถิ่นแล้ววิกเตอร์ ก็สันนิษฐานสรุปได้ว่า
ภิกษุมัมมี่ได้อุปสมบทเมื่ออายุราว 18 ครั้นแล้วก็ได้เกิดทุพภิกขภัย ชาวบ้านอดอยากไม่มีอะไรกิน ท่านจึงตัดสินใจสละชีพเพื่อ ช่วยเหลือชาวบ้าน ด้วยการเปลี่ยนร่างของท่าน ให้เป็นมัมมี่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับ ผู้คนกราบไหว้บูชา เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ที่กำลังถดถอยลง และพลังอำนาจจากบารมีครั้งนี้ อาจดลบันดาล ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ท่านจึงเริ่มทำสมาธิกำหนด ลมหายใจเข้าออก ในการนี้ท่านได้นำเอาแถบผ้า มาคล้องคอและโยงไว้ใต้น่อง เมื่อเหยียดน่องออก ผ้าก็จะรัดคอทีละนิด เพื่อลดปริมาณออกซิเจนที่หายใจเข้า ไป การอดอาหาร และลดออกซิเจนจะทำให้ ขบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกายลดลง การใช้พลังงานในร่างกายก็จะมีเพียงน้อยนิด ร่างกายจะอยู่ในสภาพสงบนิ่ง เป็นการทำ สมาธิที่ลึกล้ำ จวบจนกระทั่งท่านได้หยุดการหายใจไปอย่างสิ้นเชิง
การเสียสละชีพของท่าน
ทว่า ท่านก็มิได้ปฏิบัติอย่างโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียวหรอก วิกเตอร์ได้ค้นพบข้อ เท็จจริงอีกว่า ในอดีตนั้นมีมัมมี่ทิเบตจำนวนนับร้อยปรากฏอยู่ทั่วบริเวณขุนเขาหิมาลัย แต่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ได้มีคำสั่งจากทางการให้ทำลายมัมมี่ทุกตนที่ค้นพบ ชนทิเบตเกรงว่าร่างมัมมี่อันศักดิ์สิทธิ์จะหมดสิ้นสูญไป จึงมีการทำสมาธิและอดอาหาร เพื่อสร้างมัมมี่ด้วยตนเองเกิดขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งก็โดนทำลายไปจนแทบหมดสิ้นอีกเช่นเคย ยกเว้นแต่มัมมี่ที่ทาโบที่ยังคงอยู่ได้ เพราะเหตุว่าอยู่ ในเขตชายแดนของอินเดียนั่นเอง


ploy58
#34
26-08-2011 - 19:30:21

#34 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:30:21 ]






quote :
นั้งอ่านอยู่ดีๆ ขนลุกเลยครับ

อ่านต่อ.........สิค่ะ


ploy58
#35
26-08-2011 - 19:32:03

#35 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:32:03 ]






เรื่องผีถ้วยแก้วนั้น ครั้งข้าพเจ้าก็ไม่ได้เกิดความสนใจอะไรเพราะไม่เคยทราบมาก่อน
แต่คืนวันหนึ่งโดยในขณะนั้นข้าพเจ้ามีอายุ 18-19 ปี ยังอาศัยอยู่กับเจ้าคณะรักษ์สงฆ์รูปหนึ่ง ที่วัดเบญจมบพิตร และกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมที่ 8 โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และมีเพื่อนฝูงหลายคนที่อาศัยวัดเดียวกันแต่เรียนอยู่คนละโรงเรียน ปกติทุกคืนเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งซึ่งเรียนชั้นมัธยมปีที่ 8 อยู่ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตรนั่นเอง ก็จะมาคุยกับข้าพเจ้าเสมอโดยยืนเกาะลูกกรงหน้าต่างอยู่ข้างนอก เรื่องที่คุยกันมักเป็นเรื่องวิชาความรู้ที่เรียนในขณะนั้น แต่มักจะคุยกันค่ำๆ

ในคืนหนึ่งเพื่อนข้าพเจ้าคนนี้ก็โผล่มาคุยกับข้าพเจ้าราวๆ สามทุ่ม

ในลักษณะยืนเกาะลูกกรงเช่นเดิม ข้าพเจ้าเห็นเขามาผิดเวลาก็ถามว่าไปไหนมา เขาตอบว่ามัวแต่ไปเล่นผีถ้วยแก้วมา ข้าพเจ้าได้ฟังก็ผลันเกิดความสงสัยจึงได้ซักถามต่อไปว่า เล่นผีถ้วยแก้วอย่างไร เขาเล่าให้ฟังว่าเอาถ้วยมาวางกลางโต๊ะ แล้วตัดกระดาษแข็งเขียนตัวอักษรวางบนโต๊ะนั้น แล้วเชิญวิญญาณของผู้ตายให้มาเข้า แล้วผู้เล่นหลายๆคนก็เอานิ้วกดลงไปเบาๆ ที่ก้นถ้วยแก้วซึ่งคว่ำอยู่ ถ้าวิญญาณมาเข้าแล้ว ถ้วยแก้วก็จะวิ่งวนไปที่กระดาษตัวอักษรผสมอ่านได้ข้อความตามที่ถามจากผีถ้วยแก้วนั้น

เพื่อนของข้าพเจ้าเล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า

เมื่อเล่นในคืนนั้นได้อันเชิญพระวิญญาณพระพุทธเจ้าหลวง พอข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งและสนใจอย่างยิ่ง จึงถามต่อโดยเร็วว่าแล้วท่านได้เข้าไหม เขาตอบว่าเข้า แต่พระองค์พาถ้วยแก้ววิ่งไปตามตัวอักษร และผสมกันอ่านได้ความว่า "คนอย่างพวกเอ็ง ไม่สมควรมาเล่นกับคนอย่างข้า" แล้วแก้วก็หยุดหมุนซึ่งหมายความว่าเสด็จออกไปแล้ว พวกที่เล่นอยู่ จึงได้อันเชิญพระวิญญาณทรงล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ดูบ้างแต่รัชกาลที่ 6 พระทัยดีหน่อย พาถ้วยแก้วหมุนไปตามอักษรผสมกันได้ความว่า "บ้า บ้า บ้า" แล้วเสด็จออกไป

เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้น พร้อมกับนิ่งคิดไปพลางก็นึกเชื่อทันที

เพราะคำพูดที่ว่า "คนอย่างพวกเอ็งไม่สมควรมาเล่นกับคนอย่างข้า" ของรัชกาลที่ 5 กับคำว่า "บ้า บ้า บ้า" ของรัชกาลที่ 6 นั้นเป็นถ้อยคำที่มีเหตุผลน่าเชื่อ คือ ฟังดูแล้วช่างเหมาะกับนิสัยของพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์จริงๆ คือ รัชกาลที่ 5 นั้นทรงมีพระนิสัยดุ เจ้าระเบียบและเฉียบขาด ข้างพระนิสัยรัชกาลที่ 6 นั้น ทรงครื้นเครงและมีพระนิสัยดี ช่างถูกตรงกับที่ได้แสดงออกมาเป็นตัวหนังสือ ตามที่เพื่อนข้าพเจ้าเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าจึงสนใจเรื่องผีถ้วยแก้วขึ้นมาทันที บอกกับเพื่อนว่าอยากเล่นไปด้วย

ครั้งคืนต่อมาราวทุ่มเศษเพื่อนคนนั้นก็มาเรียกข้าพเจ้าไปที่กุฎิหนึ่ง

เมื่อไปถึงเห็นพวกนักเรียนที่เป็นลูกศิษย์พระอยู่กันหลายคน และเตรียมการก็คือใช้โต๊ะตัวหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีพื้นราบ และเรียบด้วยแล้ว จะได้วิ่งสะดวกไม่กระโดกกระเดก มีกระดาษแข็งตัดเป็นชิ้นสำหรับเขียนตัวอักษร สระวรรณยุกต์ พยัญชนะ แผ่นละหนึ่งตัวอักษรและต้องเขียนหลายชุดเพื่อการผสมคำจะได้ครบครันและเพียงพอเช่น หากถ้วยแก้วจะผสมคำว่า "กรรมการ" ก็ต้องวิ่งไปที่ตัว ก. แล้ววิ่งไปที่ตัว ร. แล้วก็ต่อไป ร. อีกตัวหนึ่งจากนั้นก็วิ่งไปที่ตัว ม. ตัว ก. ตัว า และตัว ร. แต่ก่อนที่จะแตะก้นแก้วนั้นต้องมีการเชิญวิญญาณเสียก่อน จะเชิญใครก็ได้ที่ตายไปแล้ว และต้องเชิญเพียงวิญญาณเดียว

คืนนั้นเพื่อนฝูงให้ข้าพเจ้าเป็นคนเชิญวิญญาณ

จึงคิดว่าน่าจะเชิญวิญญาณของผีเฮี้ยนๆดีกว่า ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องที่แม่เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมีไอ้เชยนักโทษถูกประหารชีวิตคดีปล้นฆ่า นิสัยดุร้ายมาก ครั้งถูกประหารชีวิตแล้ว ก็ยังเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านแถวนั้น ข้าพเจ้าทำปากมุบมิบๆ บอกกล่าวไอ้ผีร้ายตนนี้ และขอเชิญมาเข้าถ้วยแก้ว ครั้นเชิญแล้วเราก็ไปล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะ พากันเอาปลายนิ้วแตะไว้ที่ก้นถ้วยแก้ว สักประเดี๋ยวแก้วก็วิ่งไปพวกเราถามประโยคแรกว่า "ใครมาเข้าถ้วยแก้วนี้" ถ้วยแก้ววิ่งไปตามตัวอักษรทีละตัวเมื่อผสมกันแล้วอ่านได้ว่า "เชย" ตอนนี้พวกเพื่อนๆ มองข้าพเจ้าข้าพเจ้าถามต่อว่า "ตายเพราะอะไร"ถ้วยแก้ววิ่งอ่านได้ความว่า "ตายเพราะถูกประหารชีวิตที่สุพรรณบุรี" ข้าพเจ้าขนลุก เพื่อนๆ ถามว่าถูกไหม ข้าพเจ้าบอกว่าถูก

หลังจากนั้นเพื่อนๆ ก็ถามคำถามอื่นอีก แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้เสียแล้ว

ตอนกลับจากเล่นผีถ้วยแก้วคืนนั้น เพื่อนคนที่พาข้าพเจ้าไปเล่นได้บอกกับข้าพเจ้า "เขาว่าผีถ้วยแก้วที่มันวิ่งได้นั้นเพราะกระแสไฟฟ้าในตัวคน มันไปผสมกันเลยบังคับให้แก้ววิ่งได้" ต่อมาไม่ช้าข้าพเจ้าไปที่จังหวัดสุพรรณบุรี ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง และชวนเล่นดูก็เลยเล่นกันตอนกลางคืน ตอนนั้นไม่ได้เจาะจงเชิญวิญญาณใคร ได้แต่บอกว่าใครก็ได้ที่วิญญาณอยู่ใกล้แถวนั้นแล้วก็เชิญเล่น ปรากฏว่าถ้วยแก้ววิ่งไปมาได้ แสดงว่ามีวิญญาณมาเข้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ถามออกไปว่า "วิญญาณใครมาเข้าถ้วยนี้" ถ้วยแก้ววิ่งไปตามตัวอักษรได้คำว่า "นางไก" เมื่อถามว่าตายเพราะอะไร ก็ผสมคำออกมาได้ความว่า "ผัวตีตาย" ถามต่อไปว่าที่ไหนก็ผสมคำออกมาว่า "บ้านม้า" ถามว่าศพอยู่ที่ไหนก็ตอบว่า "ยังอยู่กลางทุ่ง" เมื่อถามว่าอดอยากไหม ก็ได้คำตอบว่า "อดอยากมากเหลือเกิน" แม่ของข้าพเจ้าถึงกับอุทานด้วยความสงสาร และรับปากว่าจะทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ จากนั้นก็ได้ถามอะไรๆ อีกหลายประโยค

คืนต่อมาก็เล่นกันอีก จากการผสมอักษร

ปรากฎว่าเป็นวิญญาณของ "นพศักดิ์" อยู่อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นไข้ตาย ข้าพเจ้าได้ถามถึงผลการสอบไล่ของข้าพเจ้ากับน้อง นพศักดิ์ตอบว่าข้าพเจ้ากับน้องสุดท้องจะสอบได้ คนกลางจะสอบตก ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อถึงกำหนดประกาศผลสอบ ปรากฎว่าข้าพเจ้าสอบได้คนเดียว น้องสองคนสอบตก ส่วนคำทำนายอื่นๆ ก็ผิดหมด ทำให้ข้าพเจ้าหมดความเชื่อถือในผีถ้วยแก้ว ก็คงต้องหลอกคนบ้างตามธรรมเนียมผี

เรื่อง "ผีถ้วยแก้ว" นี้มีข้อน่าแปลกใจก็คือ

เรื่องถ้วยแก้ววิ่งได้ บางคนบอกว่าวิ่งเพราะแรงคนแตะวิ่งไป แต่ไม่น่าจะจริง เพราะผู้เล่นไม่รู้ว่าถ้วยแก้วจะวิ่งไปที่อักษรใด จึงวิ่งไปตามแรงแตะคนใดคนหนึ่งไม้ได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องขืนมือกันตายเลย ท่านผู้อ่านจะลองชวนพรรคพวกเล่นดูก็ได้ แต่คำบอกเล่าทำนายของผีถ้วยแก้วนั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแล้วแต่ความรู้สึกของตัวท่านเอง


snowdy
#36
26-08-2011 - 19:35:45

#36 snowdy  [ 26-08-2011 - 19:35:45 ]




แหม่ๆ
ถลกหนังกินกันสดๆเลย แหวะ
ตอนนี้ ก็ยังมี มนุษย์กินศพอยู่!!!!!!!!
ต้องระวังตัวสะแล้ววว


ploy58
#37
26-08-2011 - 19:36:05

#37 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:36:05 ]






ถ่ายติดวิญญาณ



หญิงผู้ดีถ่ายติดวิญญาณ"ผีเด็ก"บ้านพ่อจิตทมิฬออสเตรียข่มขืนลูกสาว (มติชนออนไลน์)

อึ้ง หญิงผู้ดี ถ่ายติดวิญญาณ บ้านพ่อจิตทมิฬออสเตรีย คล้าย ผีเด็ก เจ้าตัวบอกรู้สึกขนลุก ตอนถ่ายรู้สึกเหมือนถูก ผี จ้องมอง

"ออสเตรีย ไทมส์" รายงานเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ว่า เกิดเหตุเหลือเชื่อนางแอนเน็ตต์ ว็อลคเกอร์ แม่อังกฤษวัย 31 ปี ได้เดินทางไปยังออสเตรียเพื่อเยี่ยมญาติ และได้เยี่ยมเยือนบ้านพักสยองของนายโจเซฟ ฟริตเซิล พ่อจิตทมิฬผู้ก่อเหตุข่มขืน น.ส.อลิซาเบธ ลูกสาว เป็นเวลา 24 ปี และ มีลูกด้วยกัน 7 ราย ขณะที่อีก 2 ราย เสียชีวิตในบ้านหลังนั้น ซึ่งเธอได้บันทึกภาพบ้านหลังดังกล่าว ก่อนจะต้องตะลึง เมื่อพบว่า ภาพที่เธอถ่ายนั้น ปรากฎเหมือนมีภาพลางๆ เหมือน วิญญาณ ติดมากับภาพถ่ายด้วย

นางแอนเน็ตต์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เธอรู้สึก ขนหัวลุก แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนชอบคิดเรื่องผีสางมาก่อน โดยจังหวะที่ถ่ายรูป ขณะที่เธอจ้องมองที่กระจกบ้านหลังนั้นเป็นเวลาหลายนาที แม้จะไม่เห็นใคร แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมอง ขณะที่รายงานระบุว่า ภาพดังกล่าวดูเหมือนเป็นใบหน้าเด็กกำลังจ้องดูนางแอนเน็ตต์อยู่

อย่างไรก็ตาม สำหรับประวัติบ้านพ่อจิตทมิฬรายนี้ เป็นที่รู้กันว่า เคยมีเด็กตาย 2 ราย ซึ่งเป็นลูกของนางอลิซาเบธที่ท้องกับพ่อจิตโหด โดยรายหนึ่งแท้ง และ อีกรายหนึ่งถูกนายโจเซฟนำไปเผาในเตาเผาในบ้าน


ploy58
#38
26-08-2011 - 19:37:26

#38 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:37:26 ]






เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อ อายุได้ 10 ขวบ (18 ปีที่แล้วค่ะ) ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม 4 โรงเรียนประถมในตอนนั้นเป็นอาคารสองชั้น และห้องเรียนฉันก็อยู่ชั้น 2 ติดกับบันได จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันแรกของการเลื่อนชั้น พวกเราพากันจัดโต๊ะและทำความสะอาดห้อง จนกระทั่งได้เวลากลับบ้าน นักเรียนก็พากันทยอยกลับกัน แต่ฉันยังอยู่ช่วยคุณครูสองคนจัดห้องอนุบาลชั้นล่าง เมื่อเสร็จแล้วฉันก็จะกลับบ้านซึ่งตอนนั้นตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ในตัวอาคารค่อนข้างมืด ฉันวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋าที่ห้อง ซึ่งครูก็ยืนคุยกันอยู่ที่ห้องอนุบาลด้านล่าง ฉันก็วิ่งขึ้นบันไดไป ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นมีนักเรียนผู้หญิงเดินเข้าห้องเรียน ป.4 ซึ่งเป็นห้องเรียนเดียวกับฉัน ซึ่งอยู่ห้องแรกติดบันได ฉันรู้สึกดีใจที่ยังมีเพื่อนเพราะชั้นสองเริ่มมืด เนื่องจากภารโรงยังไม่ได้เปิดไฟ ฉันจึงค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดไปเพื่อที่จะแกล้งเพื่อนเพื่อให้ตกใจ เมื่อมาถึงประตูฉันก็รีบผลักประตูเสียงดังและกระโดดเข้าไป แต่ฉันแทบช็อคเมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องเลย ห้องมืดมาก เพื่อให้แน่ใจฉันซึ่งก้มมองดูที่พื้นก็ไม่พบใคร เป็นไปไม่ได้ที่จะโดนแกล้งเนื่องจากอาคารชั้นสองสูงมาก หากกระโดดลงไปขาหักแน่และอาจเสียชีวิตได้ ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นทันใดนั้นประตูหน้าต่างซึ่งปิดอยู่ตรงมุมห้องก็เปิดออกเสียงดังมากและเปิดแค่บานเดียวเท่านั้น โดยในห้องไม่มีลมแม้แต่นิดเดียว ฉันตัวชาและก้าวขาไม่ออก ได้แต่จ้องไปที่มุมห้องนั้น ฉันหลับตาและท่อง นะโม ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รู้อีกครั้งเมื่อขาเริ่มขยับได้ ฉันก็รีบวิ่งลงบันได ไปหาครูทันที แต่ปรากฎว่า ครูกลับบ้านไปหมดแล้ว ฉันรีบวิ่งจากโรงเรียนไปบ้านโดยไม่หันหลังไปมองเลย จนกระทั่งถึงบ้านแม่ตกใจมากที่เห็นฉันหน้าซีด ฉันจึงเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ปลอบฉันว่าไม่เป็นไร ตาฝาดและฉันคงเหนื่อยจากการจัดห้องทำให้เห็นภาพ แต่ไม่จบแค่นั้น คืนนั้นฉันฝันว่าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นอีกครั้งและยืนก้าวขาไม่ออกฉันมองไปที่มุมห้องนั้นเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ ผมสั้น ร่างกายผอมมากใส่ชุดนักเรียนเก่ามาก มีรอยปะเต็มไปหมด ยืนร้องไห้อยู่ บอกว่าหิวข้าว ทันใดนั้นฉันก็ได้กลิ่นเหม็นสาปแรงมาก จนทำให้ฉันรู้สึกอยากอาเจียน ฉันพยายามขยับขาวิ่งแต่ก้าวขาไม่ออก ฉันจึงก้มลงไปดูปรากฎว่าเด็กคนนั้นมาจับขาฉันไว้ และรู้สึกได้ว่ามือนั้นแห้งกร้าน ฉันกรีดร้องออกมาเสียงดังมาก จนกระทั่งมารู้ตัวเมื่อแม่มาเขย่าตัวฉันให้ตื่น ฉันรีบโผเข้ากอดแม่และร้องไห้ และอาเจียนออกมาเนื่องจากกลิ่นนั้นยังติดที่จมูกฉันอยู่ พ่อกับแม่ฉันตกใจมากจึงเอาพระมาห้อยคอและพาฉันสวดมนต์และบอกว่าพรุ่งนี้จะไปทำบุญให้อย่ามารบกวนเลย จนกระทั่งเช้า แม่ก็ไม่ให้ฉันไปโรงเรียนจึงไปลาครูที่โรงเรียนและเล่าให้ครูฟัง ครูตกใจมาก เนื่องจากเมื่อวานครูคิดว่าฉันกลับบ้านไปแล้วเพราะขึ้นไปดูที่ห้องก็ไม่พบฉันครูจึงกลับบ้านไป ครูจึงเล่าให้แม่ฉันฟังว่า ห้องนั้นเคยมีเด็กผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างเหมือนอย่างที่ฉันฝัน เสียชีวิตในห้องป.4 จริง เนื่องจากขาดสารอาหาร เด็กคนนี้ครอบครัวอยากจนมาก มักจะขโมยข้าวเพื่อนกินและแอบเอาข้าวใส่กระเป๋าเสื้อ กลับบ้านเพื่อเอาไปให้แม่ที่บ้านจนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้เสียชีวิตตรงมุมห้อง เนื่องจากเป็นลม และในมือเธอก็ยังถือข้าวไว้กำหนึ่งแน่น

อีกวันถัดไปทางโรงเรียนจึงนิมนต์พระมาสวดทำบุญห้องเพื่อส่งวิญญาณของเด็กคนนั้นให้สู่สุขคติ ฉันและครอบครัวก็ไปทำบุญแผ่กุศลให้เด็กคนนั้นด้วย นับแต่นั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องนั้นอีกเลย จนกระทั่ง 7 วันผ่านไป มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงดังจากมุมห้องว่า "เฮ้! ใครเอาข้าวขึ้นรามาทิ้งไว้ตรงซอกมุมห้องนี้ว่ะ" เพื่อนๆ ก็พากันวิ่งมาดู ซึ่งสิ่งที่เห็นคือข้าวซึ่งมีลักษณะถูกบีบแน่นตกอยู่ตรงซอกเสามุมห้อง สภาพแห้งและดำมาก ซึ่งพากันเชื่อว่าเป็นข้าวที่อยู่ในกำมือของเด็กที่เสียชีวิตคนนั้น และครูก็บอกว่าในวันเผาศพเด็กคนนั้นก็ยังกำข้าวอยู่ในมือไว้แน่นและก็ได้เผาไปพร้อมกับเธอ!!!!!!!!! วันต่อไปเด็กห้อง ป.4 ก็ขาดเรียนเกือบครึ่งห้อง หนึ่งนั้นก็ มีฉันด้วย อิอิ


ploy58
#39
26-08-2011 - 19:49:17

#39 ploy58  [ 26-08-2011 - 19:49:17 ]






เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อ อายุได้ 10 ขวบ (18 ปีที่แล้วค่ะ) ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม 4 โรงเรียนประถมในตอนนั้นเป็นอาคารสองชั้น และห้องเรียนฉันก็อยู่ชั้น 2 ติดกับบันได จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันแรกของการเลื่อนชั้น พวกเราพากันจัดโต๊ะและทำความสะอาดห้อง จนกระทั่งได้เวลากลับบ้าน นักเรียนก็พากันทยอยกลับกัน แต่ฉันยังอยู่ช่วยคุณครูสองคนจัดห้องอนุบาลชั้นล่าง เมื่อเสร็จแล้วฉันก็จะกลับบ้านซึ่งตอนนั้นตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ในตัวอาคารค่อนข้างมืด ฉันวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋าที่ห้อง ซึ่งครูก็ยืนคุยกันอยู่ที่ห้องอนุบาลด้านล่าง ฉันก็วิ่งขึ้นบันไดไป ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นมีนักเรียนผู้หญิงเดินเข้าห้องเรียน ป.4 ซึ่งเป็นห้องเรียนเดียวกับฉัน ซึ่งอยู่ห้องแรกติดบันได ฉันรู้สึกดีใจที่ยังมีเพื่อนเพราะชั้นสองเริ่มมืด เนื่องจากภารโรงยังไม่ได้เปิดไฟ ฉันจึงค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดไปเพื่อที่จะแกล้งเพื่อนเพื่อให้ตกใจ เมื่อมาถึงประตูฉันก็รีบผลักประตูเสียงดังและกระโดดเข้าไป แต่ฉันแทบช็อคเมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องเลย ห้องมืดมาก เพื่อให้แน่ใจฉันซึ่งก้มมองดูที่พื้นก็ไม่พบใคร เป็นไปไม่ได้ที่จะโดนแกล้งเนื่องจากอาคารชั้นสองสูงมาก หากกระโดดลงไปขาหักแน่และอาจเสียชีวิตได้ ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นทันใดนั้นประตูหน้าต่างซึ่งปิดอยู่ตรงมุมห้องก็เปิดออกเสียงดังมากและเปิดแค่บานเดียวเท่านั้น โดยในห้องไม่มีลมแม้แต่นิดเดียว ฉันตัวชาและก้าวขาไม่ออก ได้แต่จ้องไปที่มุมห้องนั้น ฉันหลับตาและท่อง นะโม ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รู้อีกครั้งเมื่อขาเริ่มขยับได้ ฉันก็รีบวิ่งลงบันได ไปหาครูทันที แต่ปรากฎว่า ครูกลับบ้านไปหมดแล้ว ฉันรีบวิ่งจากโรงเรียนไปบ้านโดยไม่หันหลังไปมองเลย จนกระทั่งถึงบ้านแม่ตกใจมากที่เห็นฉันหน้าซีด ฉันจึงเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ปลอบฉันว่าไม่เป็นไร ตาฝาดและฉันคงเหนื่อยจากการจัดห้องทำให้เห็นภาพ แต่ไม่จบแค่นั้น คืนนั้นฉันฝันว่าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นอีกครั้งและยืนก้าวขาไม่ออกฉันมองไปที่มุมห้องนั้นเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ ผมสั้น ร่างกายผอมมากใส่ชุดนักเรียนเก่ามาก มีรอยปะเต็มไปหมด ยืนร้องไห้อยู่ บอกว่าหิวข้าว ทันใดนั้นฉันก็ได้กลิ่นเหม็นสาปแรงมาก จนทำให้ฉันรู้สึกอยากอาเจียน ฉันพยายามขยับขาวิ่งแต่ก้าวขาไม่ออก ฉันจึงก้มลงไปดูปรากฎว่าเด็กคนนั้นมาจับขาฉันไว้ และรู้สึกได้ว่ามือนั้นแห้งกร้าน ฉันกรีดร้องออกมาเสียงดังมาก จนกระทั่งมารู้ตัวเมื่อแม่มาเขย่าตัวฉันให้ตื่น ฉันรีบโผเข้ากอดแม่และร้องไห้ และอาเจียนออกมาเนื่องจากกลิ่นนั้นยังติดที่จมูกฉันอยู่ พ่อกับแม่ฉันตกใจมากจึงเอาพระมาห้อยคอและพาฉันสวดมนต์และบอกว่าพรุ่งนี้จะไปทำบุญให้อย่ามารบกวนเลย จนกระทั่งเช้า แม่ก็ไม่ให้ฉันไปโรงเรียนจึงไปลาครูที่โรงเรียนและเล่าให้ครูฟัง ครูตกใจมาก เนื่องจากเมื่อวานครูคิดว่าฉันกลับบ้านไปแล้วเพราะขึ้นไปดูที่ห้องก็ไม่พบฉันครูจึงกลับบ้านไป ครูจึงเล่าให้แม่ฉันฟังว่า ห้องนั้นเคยมีเด็กผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างเหมือนอย่างที่ฉันฝัน เสียชีวิตในห้องป.4 จริง เนื่องจากขาดสารอาหาร เด็กคนนี้ครอบครัวอยากจนมาก มักจะขโมยข้าวเพื่อนกินและแอบเอาข้าวใส่กระเป๋าเสื้อ กลับบ้านเพื่อเอาไปให้แม่ที่บ้านจนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้เสียชีวิตตรงมุมห้อง เนื่องจากเป็นลม และในมือเธอก็ยังถือข้าวไว้กำหนึ่งแน่น

อีกวันถัดไปทางโรงเรียนจึงนิมนต์พระมาสวดทำบุญห้องเพื่อส่งวิญญาณของเด็กคนนั้นให้สู่สุขคติ ฉันและครอบครัวก็ไปทำบุญแผ่กุศลให้เด็กคนนั้นด้วย นับแต่นั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องนั้นอีกเลย จนกระทั่ง 7 วันผ่านไป มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงดังจากมุมห้องว่า "เฮ้! ใครเอาข้าวขึ้นรามาทิ้งไว้ตรงซอกมุมห้องนี้ว่ะ" เพื่อนๆ ก็พากันวิ่งมาดู ซึ่งสิ่งที่เห็นคือข้าวซึ่งมีลักษณะถูกบีบแน่นตกอยู่ตรงซอกเสามุมห้อง สภาพแห้งและดำมาก ซึ่งพากันเชื่อว่าเป็นข้าวที่อยู่ในกำมือของเด็กที่เสียชีวิตคนนั้น และครูก็บอกว่าในวันเผาศพเด็กคนนั้นก็ยังกำข้าวอยู่ในมือไว้แน่นและก็ได้เผาไปพร้อมกับเธอ!!!!!!!!! วันต่อไปเด็กห้อง ป.4 ก็ขาดเรียนเกือบครึ่งห้อง หนึ่งนั้นก็ มีฉันด้วย อิอิ



snowdy
#40
26-08-2011 - 21:23:59

#40 snowdy  [ 26-08-2011 - 21:23:59 ]




"บ้านผีสิง"ที่ดังที่สุดในไทย
(ใครอยากลองไปเที่ยวมั้งนะ)




1 . สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี
สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัดเปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ
ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย
บ้างก็เป็นโรคร้ายจนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมายจนเราเรียกได้ว่าเป็น 'สุสานโสเภณี'ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้นมักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเช้าไปดูก็ไม่พบใครเลย
---------------------------------------------------



2. บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี
คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมากจะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมากจึงทำให้ ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวนวันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้านจนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากจากยังมีศพชาวกะเหรี่ยง 9 ศพที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้
------------------------------------------------------



3. บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี
หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายที่ละคนโดยไม่
ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้างชาวบ้านบริเวณนั้นนึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้ว จึงเข้าไปดูในบ้านปรากฏว่าเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน
--------------------------------------------------------



4. โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง
ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน
ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลงกลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุดในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนก็เข้าไปเห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้
กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน
--------------------------------------------------------




5. สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี
ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ถูกนำมาขุดหลุมฝัง
เป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพันขุดเรียงรายกันเป็นทิวแ ถว ยาวหลายๆคนเล่ากันว่าเป็น ฮวงซุ้ยที่เฮี้ยนมาก
----------------------------------------------------------




6. บ้าน 4 ศพ จ.ชลบุรี
ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก 2 คนเดินทางไปท่องเที่ยว แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด
บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้างแต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ
และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา
และมีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้างหลังนั้น
-------------------------------------------------------------

เอาแค่นี้ไปก่อนละกัน นะ ไม่รู้จะซ้ำ หรือเปล่า



ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 19th November 2024 18:43

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ