โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ปริศนต่างๆ
jerrysoft
#21
01-01-2010 - 16:25:56

#21 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:25:56 ]




15 พฤศจิกายน 1966


สองคู่หนุ่ม-สาวแต่งงาน David และ Linda Scarberry และ Steve และ Mary Mallette กำลังเดินทางตอนกลางคืนในเวสท์เวอร์จิเนียตะวันตก และผ่านโรงงาน และสถานีสัตว์ป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นดวงไฟสีแดงสองดวงในเงามืดใกล้ประตูรั้วโรงงาน เลยเกิดสงสัย จึงหยุดรถ, และพบสิ่งที่เหลือเชื่อเข้า เมื่อพบว่าดวงไฟสีแดงสองตัวนั้นคือสัตว์ประหลาดที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต "รูปร่างเหมือนผู้ชาย สูงประมาณหก หรือเจ็ดฟิท มีปีกใหญ่ที่พับน่ากลัวมาก” พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เห็นเลยขับรถหนี แต่มันก็พยายามไล่กวาดรถด้วยการบิน ความเร็ว 100 ไมล์เหนือกว่าต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตามพอถึงระยะเวลาหนึ่งมันก็หายไปกลับความมืดแล้ว



24 พฤศจิกายน1966

พยานสี่ผู้คนอ้างว่าเห็นสิ่งมีชีวิตปริศนาบินอยู่เหนือพื้นที่ทดสอบวัตถุระเบิดแรงสูง



วันที่ 25 พฤศจิกายน 1966

ในตอนเช้า วันที่ 25 พฤศจิกายน 1966 Thomas Ury กำลังขับมาถึงเส้นทาง 62 ต้องทิศเหนือ ของเวสท์เวอร์จิเนีย เขาเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดหนึ่งบินอยู่ข้างรถของเขา และไล่กวดอย่างน่ากลัว



วันที่ 26พฤศจิกายน 1966

นาย Ruth Foster Charleston, ที่ เวอร์จิเนีย ตะวันตกเห็น ม็อทแมน ยืนอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้าน



วันที่ 27พฤศจิกายน 1966

ตอนเช้าของวันที่ 27 พฤศจิกายนหนุ่มสาวพบเห็นม็อทแมนใกล้ตึกเขตก่อสร้าง เวอร์จิเนียตะวันตก และ มีรายงานอย่างอีกครั้งในตอน กลางคืนวันเดียวกันโดยเด็กสองคน


jerrysoft
#22
01-01-2010 - 16:26:07

#22 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:26:07 ]




วันที่ 27พฤศจิกายน 1966 ที่สะพานซิลเวอร์

เพียงไม่กี่เดือนก่อนการถล่มของสะพานซิลเวอร์ ในเวลานั้นพอยท์ พลีเซนท์ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียนอกจากมีรายงานการพบเห็นม็อทแมนแล้ว ยังมีรายงานการพบจานบินยูเอฟโอ (UFO) มากมาย หรือการถูกก่อกวนโดยมนุษย์ประหลาดตัวสีเขียว ทำให้รู้สึกว่ากำลังมีสัญญาณเตือนบางอย่างพวกเขารู้

จนกระทั้ง........

สะพานซิลเวอร์เป็นสะพานที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ด้วยการที่มันถูกยึดโยงไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ มันมีอายุใกล้จะ 40 ปี

ในวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานนี้ก็เริ่มเก่าลงตามกาลเวลา เหมือนใกล้ถล่ม แต่ก็ไม่มีโอกาสซ่อมแซมเพราะยังใช้งานหนักในการจราจรอันหนาแน่นช่วงเทศกาลคริสต์มาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไฟควบคุมการจราจรที่อยู่บนปลายด้านหนึ่งของสะพานไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งสาเหตุที่มันใช้งานไม่ได้กลับไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณา.ให้มีการแห้ไขแต่อย่างใด

และวันก่อนที่จะเกิดเหตุมีคนพบเห็นสิ่งลึกลับประหลาดหนึ่งเกาะอยู่บนสะพานซิลเวอร์ จึงได้ถ่ายรูปไว้ก่อนที่มันจะบินหายไปอย่างลึกลับ



ตอนเย็นของวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานซิลเวอร์ก็ถล่มลงมาในช่วงที่การจราจรกำลังหนาแน่น ชาวเมืองจำนวน 46 คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะครั้งนี้ ทันทีที่รถยนต์ของพวกเขาจมลึกลงไปในแม่น้ำโอไฮโออันเย็นเฉียบก่อนจะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินเพียงเล็กน้อย มันเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองพอยท์ พลีเซนท์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนพลเมืองน้อยกว่า 6,000 คน

หนึ่งในผู้โชคดีที่รอดชีวิตซึ่งขับรถขึ้นไปบนสะพานก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุหายนะเพียงไม่นาน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "มีความรู้สึกมั่นใจมากๆว่ามีบางอย่างที่ไม่สู้ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้" เธอตัดสินใจกลับรถและถอยหลังออกมาจากสะพาน และได้เห็นในวินาทีต่อมาว่าสะพานได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ บางทีอาจเป็นเพราะม็อทแมน (Mothman) มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเด็กๆ ซึ่งล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ ว่า เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด

ถึงแม้จะมีบางคนที่ยืนยันว่าเป็นเพราะเหล็กที่ใช้สร้างสะพานเกิดหักอย่างกะทันหัน แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือสะพานก่อนหน้าที่มันจะถล่ม


jerrysoft
#23
01-01-2010 - 16:26:15

#23 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:26:15 ]




เชอร์โนบิล


เดือนเมษายนปี 1986 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่พนักงานทุกระดับของโรงงานไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เมืองยูเครน (Ukraine) พนักงานทั้งชายและหญิงหลายคนต่างก็รายงานว่าได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมักจะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงกับฝันร้ายติดต่อกันหลายครั้ง บางคนก็ได้รับโทรศัพท์ข่มขวัญคุกคามอยู่บ่อยๆ อย่างน้อย 4 คนได้เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็พูดกันว่าเป็นมนุษย์ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ปราศจากศีรษะ ทว่ามีปีกมหึมาติดอยู่ด้านหลังและมีดวงตาสีแดงเพลิง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุนั้น ข่าวลือทั้งหลายต่างก็ต้องหยุดลงเมื่อถึงเวลาการทดสอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 (Reactor 4) ตามตารางที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยได้มีการเตรียมพร้อมรับกับระดับพลังงานลดลงที่จะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่า อาจเกิดเหตุหายนะบางอย่างขึ้นในโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้

ตอนเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลก็เกิดระเบิดขึ้น มีคนจำนวน 30 คนที่เสียชีวิตในเช้าวันนั้น และมากกว่า 10 คนที่ได้รับผลกระทบจากการแผ่กระจายของกัมมันตภาพรังสี แร่กราไฟท์ (graphite) ในเตาปฏิกรณ์นั้นต้องใช้เวลาในการเผาไหม้นานถึง 9 วัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เกิดความเสียหายจากการแผ่รังสีไปทั่วพื้นที่แถบนั้น และในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนรอบๆบริเวณเพื่อโปรยทรายจำนวน 500 ตัน รวมทั้งดินเหนียว, ตะกั่วและสารเคมีอื่นๆลงบนกองเพลิง

เหล่าพนักงานที่รอดชีวิตต่างก็จ้องมองด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ว่าได้เห็นนกยักษ์สีดำขนาด 20 ฟุตกำลังบินวนเวียนอยู่ในกลุ่มควันจากเปลวไฟแห่งนั้น


jerrysoft
#24
01-01-2010 - 16:26:32

#24 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:26:32 ]




จีน

ในปี 1926 หนึ่งในเหตุการณ์หายนะทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นบริเวณเทือกเขาทางแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งหนึ่งในเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ทว่าใหญ่เป็นอันดับสองของเขื่อนในประเทศจีน) คือ เขื่อนเซี่ยวเต (Xiaon Te) เขื่อนนี้ได้พังลงมาในตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ 19 มกราคม 1926 ส่งผลให้น้ำจำนวนกว่า 40 พันล้านแกลลอนไหลทะลักลงสู่บริเวณพื้นที่เพาะปลูกอันสงบเงียบทางด้านใต้เขื่อน ประชาชนจำนวนกว่า 15,000 คนเสียชีวิต ขณะที่เมืองทั้งเมืองจมลงสู่กระแสอุทกภัยอันเชี่ยวกราก อย่างไรก็ตาม บ้านหลายหลังซึ่งถูกกระแสน้ำพัดกวาดไปไกลเป็นไมล์ๆกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ในบรรดาผู้รอดชีวิตแทบทุกรายต่างก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการได้เห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับ "มนุษย์มังกร" ผู้มีร่างสีดำ ซึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในบริเวณโดยรอบของที่เกิดเหตุ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้ให้คำอธิบายถึงความหายนะครั้งนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก เนื่องจากบันทึกทางสถิติของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป เมื่อครั้งที่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ได้เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน
 71710


jerrysoft
#25
01-01-2010 - 16:26:55

#25 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:26:55 ]




เบอร์มิวด้า

วันที่ 3 มิถุนายน 1983 อัลลิสัน แม็คคาร์รี่ย์ (Alison McCarrey) วางแผนที่จะทำตามฝันของตนและสามี เอริค (Eric) ในการไปเที่ยวชายหาดเบอร์มิวด้า ก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน เธองีบหลับไปพักหนึ่งและตื่นขึ้นมาเพื่อรับโทรศัพท์ประหลาดๆ ซึ่งเธอบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนรหัสมอร์ส (Morse Code) ส่งเสียงกรีดแหลมแสบแก้วหูและเต็มไปด้วยคลื่นแทรกรบกวน เธอคิดที่จะอัดเสียงจากโทรศัพท์นี้ให้สามีซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับรหัสมอร์สได้ฟัง แต่สายโทรศัพท์กลับถูกตัดไปเสียก่อน เธอจึงกลับไปงีบต่อและตื่นขึ้นมาในตอนเย็นจึงรู้ว่าได้เผลอหลับไปนานถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นเธอก็มัวแต่คิดถึงความฝันอันรบกวนจิตใจเกี่ยวกับร่างมนุษย์สีเทาที่มีปีกสีดำกำลังจ้องมองเธออยู่ ขณะที่เธอกำลังจมลงสู่ใจกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล สามีของเธอกลับถึงบ้านไม่นานหลังจากนั้น และเธอก็ไม่ได้เอ่ยถึงความฝันนั้นออกมาเลย

คืนเดียวกันนั้น เธอนอนไม่หลับและได้ยินเสียงสุนัขพันธุ์สก๊อตต์เทอร์เรียร์ของเธอเอาแต่ส่งเสียงคำราม และพยายามตะกุยพื้นหน้าประตูชั้นล่างอย่างแรง เธอจึงลงไปดูให้รู้และเมื่อมองออกไปนอกบ้าน เธอเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า "ฉันอยากจะหัวเราะด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ฉันก็หัวเราะไม่ออก มันเหมือนกับมีมือมาบีบคอฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวมาก" บนสนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ ปรากฏร่างของชายรูปร่างสูงใหญ่มีปีกซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่เธอเห็นในฝันกำลังยืนอยู่ แล้วชายผู้นั้นก็บินตรงมายังหน้าต่างที่เธอมองออกมา "เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลย เขาแค่ลอยมาใกล้ๆฉันอย่างทันทีทันใดก็เท่านั้น" แล้วด้วยเสียกรีดร้องอันเต็มไปด้วยความสยองขวัญของเธอก็ปลุกให้สามีเธอตื่นขึ้นมา และเขาก็มาพบเธอกำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงโถงทางเดินของบ้าน เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟังพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย จนกระทั่งในวันถัดไปเธอก็ยังไม่หายจากอาการตัวสั่น สามีของเธอจึงตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป

พวกเขาได้พบในเวลาต่อมา เมื่อเพื่อนๆได้โทร.มาหาด้วยความประหลาดใจที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เนื่องด้วยเครื่องบินที่คาดว่าทั้งสองจะโดยสารไปด้วยนั้น ได้หายสาบสูญไปในพายุที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และไม่มีใครได้ยินข่าวคราวจากมันอีกเลย



ชิคาโก้

ในปี 1951 มีสิ่งแปลกประหลาดหลายประการเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งความตื่นตระหนกต่อสีแดง, ความหวาดกลัวระเบิด และการตามล่าแม่มด ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวั่นไหวเล็กๆน้อยๆกับระยะเริ่มต้นของสงครามเย็น และเมืองชิคาโก้ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ หลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนที่กำลังล่องเรือในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ต่างให้การว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สีดำหรือ "นกพิราบจากอเวจี" กำลังบินอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้าของชิคาโก้ ส่วนพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาบนตึกสูงก็รายงานว่ามองเห็นแสงไฟกระพริบวิบวับอยู่เหนือทะเลสาบมิชิแกนเช่นกัน ในวันเกิดแผ่นดินไหวคือวันที่ 5 พฤษภาคมก็มีรายงานหลายฉบับกล่าวถึงสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งตรงมาเคาะประตูบ้านของพวกเขา หรือที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือมาเคาะประตูตู้เสื้อผ้าหรือห้องส่วนตัวเลยทีเดียว หรือนี่จะเป็นความพยายามของ ม็อทแมน ที่จะปกป้องคุ้มภัยให้แก่พวกเขา? คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เปิดประตูหน้าบ้านมาเผชิญหน้ากับร่างสีเทาขนาดใหญ่ ได้ก้าวเท้าออกมาจากบ้านอย่างไม่มีสติอยู่กับตนเองตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ละแวกใกล้เคียง โดยมีดวงตาสีแดงของเจ้าสัตว์ประหลาดคอยบงการ และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากการตกอยู่ในภวังค์ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างแรง อพาร์ทเมนท์หลังที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดนั้นก็ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิตในซากตึกนี้ถึง 12 คนซึ่งเป็นจำนวนของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้
 71712


jerrysoft
#26
01-01-2010 - 16:27:07

#26 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:27:07 ]




สงครามคาบสมุทรไครเมีย


หนึ่งในเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่พอจะเชื่อมโยงกับม็อทแมน ก็คือหนึ่งในเรื่องราวเก่าแก่เรื่องนี้ ระหว่างเกิดสงครามคาบสมุทรไครเมีย การสู้รบนองเลือดครั้งดำเนินความรุนแรงนานถึง 6 วัน จนกระทั่งกองทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็พบว่าในวันถัดไปคือวันที่ 15 มีนาคม อันเป็นวันสำคัญตามปฏิทินโรมัน (The Ides of March) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์อย่างรุนแรงพอๆกัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้นำกองทัพต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะกำหนดวันสงบศึก อย่างไรก็ตาม มีทหารรัสเซียจำนวน 5 คนได้วางแผนการดักซุ่มโจมตีศัตรูเพื่อให้การรบครั้งนี้เสร็จสิ้นไป โดยพวกเขาได้ออกมาวางแผนการล่วงล้ำเข้าสู่แดนข้าศึก โดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงจากค่ายพักของตนเอง กลางสนามรบที่จู่ๆอากาศก็เกิดอับทึบขึ้นอย่างกะทันหัน ทหารทั้ง 5 ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้าและเห็นนกยักษ์กำลังบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา (หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้การว่ามันคืออีกา ซึ่งทำให้เรื่องนี้ถูกจัดเข้าไว้ในหมวดตำนานเกี่ยวกับอีกา ทว่ารายละเอียดอีกมากมายจากพยานคนอื่นๆกลับระบุไปที่ม็อทแมน และพวกเขาต่างก็จ้องมองมันดุจต้องมนตร์เลยทีเดียว แล้วเมื่อพวกเขาหันกลับมามาไปด้านหลังก็พบว่าพวกตนได้ก้าวล้วงเข้ามาในเขตศัตรูเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่พวกเขาเชื่อในฐานะกองทหารศัตรู พวกเขาก็ถูกทหารรักษาการณ์สาดกระสุนเข้าใส่อย่างฉับพลัน เสียชีวิตทันทีถึง 3 คน ส่วนรายที่สี่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนร่วมทีมและค่อยๆเสียเลือดจนตาย เหลือเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ร่างกายของเพื่อนๆเป็นเกราะกำบัง

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีความแปลกพิสดารมาจากคำให้การของทหารรักษาการณ์ฝ่ายรัสเซียที่เห็นเหตุการณ์ ทุกคนต่างก็สบถสาบานว่าทหารทั้ง 5 นายนั้นเป็นทหารฝ่ายชาวเติร์ค (Turkish) ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกศีรษะแบบแขกและเสื้อคลุมยาว กำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ และตามติดมาด้วย ฝูงค้าวคาวยักษ์นับพันตัว เวลาเที่ยงคืนชาวเติร์คผู้โกรธเกรี้ยวกระทำแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คือภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ของการสู้รบอันนองเลือดครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ เยอรมันนี



เยอรมันนี

อีกกรณีหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนเรื่องราวของม็อทแมนคือเหตุการณ์ที่เขาช่วยชีวิตคนอย่างน้อย 21 คน กรรมกรที่มารายงานตัวตามหน้าที่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1978 ที่เหมืองถ่านหินในเมือง ฟรายบูร์ก (Freiburg) ประเทศเยอรมันนี เพื่อค้นหาทางเข้าสู่อุโมงค์เหมืองที่ถูกปิดด้วยฝีมือของร่างลึกลับสีดำน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง กรรมกรหลายคนพยายามจะเข้าไปใกล้ตัวสัตว์ประหลาดและเข้าไปภายในเหมือง ด้วยความคิดแค่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงวิญญาณที่มาปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถอยหนีกันออกมา เมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเกิดส่งเสียงกรีดแหลม "เหมือนเสียงกรีดร้องของมนุษย์ 50 คน" หรือ "เสียงเบรคของรถไฟ" ออกมา หลังจากการรอคอยผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เหล่ากรรมกรก็เริ่มจัดการปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณภายนอกของเหมือง ด้วยความหวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะหนีไป

เวลาประมาณ 8.00 น. พื้นดินบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิดใต้ดิน และแล้วม็อทแมน ได้จากไป คงเหลือไว้ซึ่งเปลวไฟที่พวยพุ่งเป็นลำออกมาจากปากทางเข้าเหมือง ซึ่งเปลวไฟที่อาจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทันทีถ้าพวกเขายังอยู่ที่นั้น


jerrysoft
#27
01-01-2010 - 16:27:16

#27 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:27:16 ]




ไม่ไหวละเล่นเกมดีกว่า


jerrysoft
#28
01-01-2010 - 16:27:28

#28 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:27:28 ]




อ่านไหวก็อ่านไปนะ อิอิ


jerrysoft
#29
01-01-2010 - 16:28:07

#29 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:28:07 ]




แม่มด หมายถึง ... ชายหรือหญิงผู้ใช้เวทมนตร์ประกอบพิธีอันลี้ลับเหนือธรรมชาติ...

ในปี ค.ศ. 1590 พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ทรงทราบแผนของเอิร์ลแห่งโบทเวลล์ ซึ่งต้องการลอบปลงพระชนม์โดยใช้เวทมนตร์ของแม่มด พระเจ้าเจมส์จึงบัญชาให้จับผู้ร่วมก่อการนั้นทั้งหมดมาทรมานเพื่อให้สารภาพ...จากนั้นทั้งหมดก็ถูกประหารโดยการเผา นี่คือจุดเริ่มต้นของการไล่ล่าแม่มดที่ถูกเล่าขาน "หญิงสาวหรือหญิงชราที่อยู่ตามลำพังคนเดียวตามลำพังมักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด"...และเชื่อกันว่าแม่มดสามารถเหาะได้และชอบชุมนุมเพื่อร่ายเวทมนตร์หรือต้มยาต่างๆ ผู้ที่ถูกเชื่อว่าเป็นแม่มดจะ" ถูกแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น " ซึ่งมีจำนวนนับแสนคนเลยทีเดียว...


แมตทิว ฮอปกินส์ นักล่าแม่มดชื่อดังในยุคนั้น ได้เเขวนคอแม่มดไปถึง 60 คนในปีเดียว...

กระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่ 17 เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ประกาศยกเลิกการประหารแม่มดแต่กว่าจะยุติการประหารแม่มดได้ทุกประเทศก็เกือบปลายศตวรรษ และถือว่าเป็นการยุติยุคของพ่อมดแม่มดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

แต่เมื่อปลายศตวรรษที่ 20 พ่อมดแม่มดก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งจากเรื่อง... "พ่อมดน้อยแฮรี่ พอตเตอร์" ของ เจ. เค. โรว์ลิ่งนั่นเอง...


" การทดสอบความเป็นแม่มด "

การล่าเเม่มดเริ่มต้นด้วยการทดสอบง่ายๆคือ...

- จับโยนลงน้ำถ้าลอย ( ลอยแบบว่าลอยขึ้นมาเหนือน้ำอ่ะ...แบบว่าตัวไม่โดนน้ำ )แสดง
ว่าเป็น " แม่มด " ถ้าจมแล้วคนช่วยไม่ทันก็ตาย

- เปลือยกาย โกนขนทั้งตัว (คิดลึกกันรึป่าวเนี่ย ? ?)เพื่อค้นหาเครื่องหมายของซาตาน

ซึ่งบางครั้งปานหรือไฝฝ้าก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องหมายซาตาน

- ลนไฟที่ข้อมือถ้าไม่เป็นแผลแสดงว่าเป็นแม่มด แต่ถ้าเป็นแผลแสดงว่าเป็นไม่แม่มด

จะเห็นได้ว่า..คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ไม่มีทางผ่านการทดสอบได้เลย ...
หรือต่อให้ผ่านก็ต้องบาดเจ็บหรือตายนั่นเอง เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักแม่มดกันดี ภาพลักษณ์ของแม่มดที่ติดตาเรามักเป็นหญิงแก่ แต่งกายด้วยชุดดำ มีความน่ากลัวและลี้ลับอยู่ในตัวเอง ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป็นผู้หญิงชนิดพิเศษ สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถา ขี่ไม้กวาดเหาะไปมาได้ แถมยังแบ่งแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว ซึ่งเป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่แม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่

แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลย

ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ ( Supreme being ) หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม

นี่แหละ คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ ก็มีเหมือนกัน พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน พ่อมดเฒ่าที่ปรึกษาของพระเจ้าอาร์เธอนั่นเอง คำว่า " Witch " หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า " wit " ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง -To know หรือหยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ ( ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่เลือกวิธีและไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต

แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ - ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอก แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปอย่างนั้นเอง

แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง


แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆนะครับ สิ่งที่ต้องแลกกันก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำตัวอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่และทรมานเป็นส่วนใหญ่


jerrysoft
#30
01-01-2010 - 16:28:26

#30 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:28:26 ]




ตาลายยัง


jerrysoft
#31
01-01-2010 - 16:28:36

#31 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:28:36 ]




การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเยียวเฉาและเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคต( ที่ร้ายๆ ) พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็นสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย

ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตสมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน โดยปฏิญาณตนด้วยท่าดังภาพประกอบ ว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คนครับ เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่วัน Candlemas(2 ก.พ.) วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีน


jerrysoft
#32
01-01-2010 - 16:28:51

#32 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:28:51 ]




ตำนานของชาวยุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์

แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ชะงัดนักครับ สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นพวกเธอทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ครับ ยาที่ว่าคือขนเพชรของมัมมี่ ( ไปเอามาได้ยังไง? ) รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย

กล่าวกันไปแล้วในตอนต้น ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ " เชือด " เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น

ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักซานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย

เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า " สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต " -Thou shlt not a suffer a witch to live” ก็โชคร้ายน่ะสิคราวนี้ มีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆที่จะนึกออกได้ ใครที่ทนการทรมานไม่ไหวก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือการเผาทั้งเป็น !!


jerrysoft
#33
01-01-2010 - 16:29:08

#33 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:29:08 ]




เมื่อวันที่ 27-29 มิถุนายน 2540 บริษัทเดอะสแตลเลี่ยน อินโฟมีเด๊ย จำกัด ผู้ผลิตรายการ"เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ" ซึ่งออกอากาศทุกคืนวันจันทร์เวลา 23.20 น. ร่วมกับห้างสรรสินค้าเดอะมอลล์และ ITV จัดงานสัมมนาครั้งแรกของประเทศไทยในหัวเรื่อง"มนุษย์ต่างดาว" ณ ห้อง Convention Center เดอะมอลล์บางกะปิ โดยงานจะแบ่งเป็นส่วนคือส่วนของนิทรรศการและ สมมนามนุษย์ต่างดาว
การสัมมนาจัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายน เริ่มงานเวลา 13.00 น. โดยมีนายปราโมทย์ ตรีวัฒนานนท์ เจ้าของรายการเป็นพิธีกร การสัมมนาครั้งนี้มีการฉาย VTR แสดงหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว จากทั่วทุกมุมโลก ฟิล์มการผ่าตัดศพมนุษย์ต่างดาว พร้อมเจาะลึกทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องจากนักวิชาการผู้ทรง คุณวุฒิ 6 ท่านสลับกับการให้ผู้ชมได้ซักถามข้อสงสัยการแสดงความคิดเห็นหรือเล่าประสบการณ์ที่เคยพบเห็น จานบินจนกระทั่งปิดการสัมมนาเวลาประมาณ 19.00 น.
ข้อมูลจากการสัมมานาครั้งนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิในวงการวิทยาศาสตร์ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องมนุยษ์ต่างดาว ให้ผู้สนใจจำนวนมากฟัง
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าวตอนหนึ่งว่า 14 ครั้งที่ผมเคยเห็นจานบินมีลักษณะแตกต่างกันไปบ้างมีอยู่ครั้งเดียวที่เห็นเป็นจานกลมๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์นอกนั้นจะอยู่ไกลซึ่งมองเห็นไม่ชัดด้วยตาเปล่า ยกเว้นที่จังหวัดขอนแก่น ผมเห็นลักษณะเหมือนไข่สีส้มๆมีแสงสว่างของมันเอง วิ่งไปช้าๆ แต่ที่แปลกก็คือ มันมีแสงสว่างเล็กๆ 5 ดวงวิ่งไปวิ่งมารอบๆรูปไข่ที่กำลังวิ่งไป แสงนั้นเป็นแสงสีขาวๆเหลือง ๆ ไม่เหมือนยานแม่รูปไข่ นอกนั้นผมจะเห็นแสงสว่างเหมือนดาวมากกว่า คือเล็กมาก วิ่งในลักษณะไม่เหมือนกับดาว เพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วก็เปลี่ยนทิศทางเป็นมุมฉาก 90 องศา โดยไม่มีการโค้งหรือช้าลงเลย
ผมฝึกสมาธิ 40 กว่าปีแล้ว ทุกครั้งผมเห็นจากบินผมจะรู้สึกมีความสงบ ความสุข ไม่ได้เกิดความวิตกกังวลความกลัวเลย มันมีพลังบางอย่างที่ผมเชื่อว่าดี
ผมจะชี้แจงว่าทำไมเขาถึงมาโลกนี้ เขากำลังจะมาบุกโลกอีก 25 ปี เขาจำเป็นต้องมาสำรวจแผนที่ในโลกนี้ว่า มีกองทัพอยู่ที่ไหน อะไรต่างๆ และเขาถึงกับวางแผนว่า มนุษย์ดาวอังคารจะบุกมาแถบเอเชีย ส่วนดาวศุกร์จะไปแถบอเมริกาและยุโรป ที่เขาจำเป็นต้องรอถึง 25 ปีเพราะขณะนี้เขายังไม่พร้อมเขาจะบุกเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
รศ.ดร. พิชัยกล่าวว่ามนุษย์ต่างดาวมีจิตวิญญาณค่อนข้างสูง โดยปกติแล้วเขาจะไม่รุกรานใคร แต่ใครอย่ามารุกรานเขา
การที่จะติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ ทางจิตวิญญาณและจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและข้อมูลที่ได้รับมาอาจจะแตกต่างกัน การที่เราได้ข้อมูลมากแค่ไหนก็อยู่ที่พลังจิตของผู้นั้นว่า ส่งจิตวิญญาณไปถึงเขาและเขาจะต้อนรับอย่างไร


jerrysoft
#34
01-01-2010 - 16:30:12

#34 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:30:12 ]




วันนี้จะเล่าเรื่อง "เงือก" ให้ฟัง!

ตำนานฝรั่งเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรเป็นเงือกผู้ชาย คอยช่วยเหลือเรือน้อยใหญ่ให้แล่นฝ่าคลื่นฝืนลมบ้าคลั่งไปได้โดยตลอดรอดฝั่ง

"โพไซดอน" คือนามเทพเจ้าองค์นั้น มีหลายรูปทรงหรือ "หลายปาง" อย่างพระอุมา-ชายาพระศิวะ ที่มีทั้งปางสวยงามและปางน่าเกลียดน่ากลัวคือ "ทุรคา" หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ "เจ้าแม่กาลี" นั่นปะไร

นักเที่ยวบอกว่าโพไซดอน ถนนรัชดาฯ มีแต่สาวๆ สวยๆ ประเภทสูงยาวเข่าดี กับขาวสวยหมวยอึ๋มทั้งนั้นเลย ไม่เชื่อก็ขึ้นลิฟต์ไปดูที่ชั้น 3 รับรองว่าหูตาลายทุกคน... เป็นงั้นไป!

แต่บางคนกลับบอกว่า พวกผีทะเลที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ชอบเข้าไปสิงสู่อยู่ในสัตว์น้ำ เช่น ฉลามหรือเงือก ทำให้ดุร้ายกระหายเลือดผิดปกติ ทำให้เรืออับปางบ้าง เข้ามาลากคนไปกินบ้าง

เรียกว่า "ฉลามผีสิง" กับ "เงือกกินคน" ไปโน่นเลย

เงือกบางชนิดมีรูปร่างคล้ายปลา เรียกว่า "ปลาพะยูน" ลำตัวกลมยาว เลี้ยงลูกด้วยนม บางคนเรียก "หมูน้ำ" หรือ "วัวทะเล" ก็มี

สัตว์คล้ายปลาชนิดนี้ชอบหากินสาหร่ายทะเลอยู่แถวชายฝั่ง มีทั้งด้านทะเลอันดามัน แถวกระบี่และพัทลุง กับฝั่งอ่าวไทยแถวสุราษฎร์ธานี ส่วนมากมักจะหากินเพียงลำพัง ไม่นิยมรวมฝูงเหมือนปลาทั่วๆ ไป

หมอไสยศาสตร์เชื่อว่า "น้ำตาพะยูน" นำมาทำน้ำมันพราย หรือน้ำมันเสน่ห์วิเศษนัก ยิ่งได้น้ำตาตอนที่พะยูนถูกเฆี่ยนตีจนถึงกับร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด จะเข้มขลังยิ่งกว่าน้ำตาจากพะยูนที่ตายแล้ว จึงมักซื้อหากันในราคาแพงลิบลิ่วเพราะเป็นของหายากหาเย็นเป็นที่สุด

เชื่อกันว่าเงือกหรือสัตว์ชนิดนี้มีอาถรรพณ์ ชาวประมงส่วนใหญ่จะกลัวกันนัก ไม่ต้องการแตะต้องเพราะเชื่อว่าจะนำโชคร้ายมาให้ ถ้าเกิดติดแหติดอวนขึ้นมาเป็นรีบปล่อยลงน้ำทันที!

เพื่อนฝูงที่สุราษฎร์ธานีเคยเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่เชื่อว่ามีอาถรรพณ์ก็เพราะถ้าใครจับปลาพะยูนได้แล้วยังไม่รีบปล่อยทิ้งไป จะเคลิบเคลิ้มเห็นปลานั้นเป็นสาวสวยนอนเปลือยกายอยู่ที่ท้องเรือ ยั่วยวนชวนชมอย่างโจ่งแจ้ง

ถ้าหน้ามืดตามัวเข้าไปกอดรัด ร่วมรสเสน่หาด้วย รับ รองว่าต้องเรือล่มจมน้ำตายอย่างแน่นอน

มีเรื่องจริงไม่ได้อิงนิยายมาเล่ายืนยันอีกด้วยครับ

ที่หมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง พี่ชายกับน้องสาวลงเรือเล็กไปจับปลาด้วยกัน เคราะห์หามยามร้ายเกิดได้ปลาพะยูนติดอวนมาด้วยโดยไม่นึกฝัน

น้องสาวรู้ฤทธิ์เดชของเงือกทะเลชนิดนี้ดี จึงขอร้องให้พี่ชายปล่อยพะยูนไปเสียเถิด แต่พี่ชายไม่ยอม อ้างว่าปลาประหลาดนี่หายากหาเย็นออกจะตาย ไปถึงฝั่งมีหวังขายให้หมอไสยศาสตร์ที่ต้องการนำไปทำเสน่ห์ได้ราคางามแน่ๆ แล้วจะซื้อทองหยองและผ้าผ่อนสวยๆ งามๆ ให้น้องสาวชนิดไม่อั้น

ไม่ว่าจะอ้อนวอนแค่ไหนก็ไร้ผล เพราะอาถรรพณ์ดลบันดาลให้เป็นไป!

ยังไม่ถึงฝั่ง พี่ชายก็หูตาลาย มองเห็นเงือกพะยูนกลายเป็นสาวสวยนอนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่กลางเรือ เกิดตัณหาหน้ามืดจะเข้าไปกระทำมิดีมิร้ายให้สาสมใจ น้องสาวรู้ดีว่าขืนปล่อยให้พี่ชายทำแบบนั้นมีหวังตายโหงด้วยกันทั้งคู่

ลงทุนบอกพี่ชายให้มาระบายความใคร่กับตน รีบปล่อยเงือกอาถรรพณ์ลงน้ำไปเสียเถิด

เมื่อเห็นพี่ชายไม่เชื่อฟังแน่แล้วจึงโถมเข้ายื้อยุดฉุดแขน ไม่ให้ลงมือประกอบกรรมบัดสีกับเงือกหงอนได้ง่ายๆ ฝ่ายพี่ชายกำลังหน้ามืดตามัวด้วยพิษตัณหา จึงใช้กำลังทุบตีผลัก ไสจนน้องสาวกระเด็นตกเรือ

ตัวเองปราดเข้าร่วมภิรมย์สมสู่กับเงือกสาวไม่ช้าที!

อาถรรพณ์แผลงฤทธิ์ เกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำ เรืออับปางลงกลางทะเล...พี่ชายจมน้ำตาย น้องสาวตะเกียก ตะกายจนรอดชีวิตเข้าฝั่ง...หลั่งน้ำตาเล่าเรื่องสยดสยองให้เพื่อนบ้านฟัง เป็นที่โจษขานเล่าลือกันมาจนถึงทุกวันนี้... เงือกกินคน!

อ่านทำไม อ่านไม่ออก ( ตากลม ตากลม )



jerrysoft
#35
01-01-2010 - 16:30:27

#35 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:30:27 ]




เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง
บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา)

ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง

ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกุลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล


jerrysoft
#36
01-01-2010 - 16:30:38

#36 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:30:38 ]




แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา)
โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบน
บก

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยงกันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนางเงือกมีควา
มแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น

เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตจิตใจ และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป ไม่คิดจะกลับคืนสู่ท้องทะเลอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง


jerrysoft
#37
01-01-2010 - 16:30:48

#37 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:30:48 ]




เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่มีอำนาจเหนือธรรมชาติอันอาจทำให้เป็นอมตะ และสามารถทำนายอนาคตได้ นอกจากนี้แล้วมันจะเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และขี้อิจฉาริษยา

ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือกเป็นเรื่องซับซ้อนเกินเข้าใจในเมื่อสายพันธุ์ทั้งสอง
่างก็ประทับใจในความงามของร่างกายของแต่ละฝ่าย เรื่องราวความรักระหว่างเงือกกับมนุษย์มักจะมีให้ฟังเสมอ แต่ความที่บุคลิกและการดำรงชีวิตกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ความสัมพันธ์แต่ละครั้งมักจะจบลงด้วยความเศร้า นางเงือกไม่สามารถทนอยู่กับมนุษย์ผู้ชายได้นาน ด้วยความที่รักอิสระเสรี เธอจะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นบนบกเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยาก นางเงือกจะไม่ทำงานบ้าน สิ่งเดียวที่เธอทำก็คือ นั่งส่องกระจก หวีผม และลองทำผมทรงใหม่ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รักจืดจาง (ก็มนุษย์ผู้ชายยกงานบ้านให้ผู้หญิงหมดนิ) เธอจะเริ่มรู้สึกชิงชังการพูดซุบซิบนินทาของมนุษย์จนต้องหนีลงทะเลและเข้าร่วมกลุ่มก
ับเพื่อนเก่า หวีผมและร้องเพลงกันที่ริมหาดเหมือนเดิม




เชื้อสายของนางเงือกและมนุษย์จะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วยทำให้ว่ายน้ำได้คล่องแคล่ว แต่ก็เล่นเกมอื่นไม่เก่ง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆละทิ้งฝั่งไปรวมกับสังคมเดิมในเวลาต่อมา

เป็นที่ทราบกันดีว่านางเงือกนั้นจะทำการแก้แค้นอย่างโหดร้ายทารุณ หากถูกขัดขวางหรือดูถูก ชาวประมงที่เคยมีเมียเป็นเงือกไม่ควรออกทะเลอีกต่อไปหลังจากที่หล่อนจากไปแล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันจับปลาได้อีกเลย ยิ่งกว่านั้นทั้งเรือและตัวเขาเองอาจถูกทำลายทิ้งกลางทะเลด้วยหากยังดื้อดึงที่จะออก
ทะเลต่อไป (เพราะพวกเธอถือว่าที่ชีวิตคู่ไปกันไม่รอด เป็นความผิดของอีกฝ่าย)

ชุมชนประมงชายฝั่งมักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนางเงือก เพราะรู้ว่านางเงือกมีอำนาจการหยั่งรู้ พวกนี้เลยต้องการให้เธอช่วยทำนายอนาคตให้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของอากาศ หรือแหล่งที่มีปลาชุกชุม ส่วนค่าจ้างของนางเงือกไม่ได้ว่ากันเป็นเงิน แต่เธอจะทำงานแลกกับหวีทองและกระจกทองเท่านั้น

ในบางกรณีพวกเงือกแสดงตนเชื่อมโยงกับลูกมนุษย์โดยสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี พวกนี้พร้อมที่จะลงโทษใตรก็ตามที่รบกวนเด็กให้ได้รับความเจ็บไข้ทุกรูปแบบ

แต่บางตำนานก็เล่ากันว่านางเงือกคือนางฟ้าฝ่ายอธรรม ที่ใช่เสียงอันไพเราะหลอกล่อให้ชายหลงใหล เมื่อกล่อมจนหลับแล้ว เธอก็จะฉีกเนื้อของพวกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยฟันอันแหลมคม กินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้น


jerrysoft
#38
01-01-2010 - 16:31:02

#38 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:31:02 ]




มัมมี่ (Mummy) คือศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษในประเทศอียิปต์ พันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพเพื่อรอการกลับคืนร่างของวิญญาณผู้ตาย ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า "มัมมี่" มาจากคำว่า "มัมมียะ" (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา

ในอียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและรักษาสภาพของร่างเดิม โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาบีทูมิน ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุผังไปตามกาลเวลา

[แก้] วิธีการทำมัมมี่
นำศพของผู้ตายมาทำความสะอาด ล้วงเอาอวัยวะภายในออกโดยการใช้ตะขอที่ทำด้วยสำริดเกี่ยวเอาสมองออกทางโพรงจมูก แล้วใช้มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟซึ่งมีความคมมาก กรีดข้างลำตัว เพื่อล้วงเอาตับ ไต กระเพาะอาหาร ปอดและลำไส้ออกจากศพ โดยเหลือหัวใจไว้

สาเหตุที่ไม่เอาหัวใจออกจากร่างด้วยเพราะเชื่อกันว่าหัวใจเป็นศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณ อวัยวะภายในเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยวัสดุประเภทขี้เลื่อย เศษผ้าลินิน โคลน และเครื่องหอม จากนั้นอวัยวะทั้งหมดจะถูกนำไปล้างด้วยไวน์ปาล์ม เสร็จแล้วก็จะถูกนำลงบรรจุในภาชนะสี่เหลี่ยม มีฝาปิด ที่รู้จักกันในชื่อของคาโนบิค ส่วนร่างของผู้ตายจะถูกนำไปดองโดยใช้เกลือประมาณ 7-10 วัน

เมื่อศพแห้งสนิทแล้ว ก็จะถูกนำมาเคลือบด้วยน้ำมันสน จากนั้นจะมีการตกแต่งและพันศพด้วยผ้าลินินสีขาวชุบเรซิน มัมมี่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วจะถูกนำบรรจุลงในหิบศพ พร้อมกับเครื่องรางของขลังต่างๆ และมัมมี่บางตัวยังมีหน้ากากที่จำลองใบหน้าของผู้ตายวางไว้ในหิบศพของมัมมี่อีกด้วย


jerrysoft
#39
01-01-2010 - 16:32:12

#39 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:32:12 ]




Please Wait ..โพสท์จัง > Women > ทำไมผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย
ทำไมผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย
ลงโฆษณาตำแหน่งนี้





นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าผู้หญิงมีอายุยาวนานกว่าผู้ชาย 5 ปี เนื่องจากผู้ชายมีระบบที่ยุ่งยากกว่า

พวกเขาพบยีนส์ในผู้ชายเป็นสาเหตุของอายุที่สั้นลง ในความเป็นจริงแล้ว ยีนส์ของมนุษย์ทำให้มนุษย์ต่างกัน และตามทฤษฎีแล้วผู้หญิงจะมีอายุยืนกว่าผู้ชาย 3 เท่า

นักวิทยาศาสตร์จากประเทศญี่ปุ่น ได้ทดลองสร้างหนูที่เกิดจากยีนส์ของแม่หนู 2 ตัว ปรากฏว่า หนูตัวดังกล่าวมีอายุยยืนกว่าหนูทั่วไปที่เกิดจากยีนส์ของหนูตัวผู้ผสมกับหนูตัวเมีย โดยมีอายุยืนกว่า 178 วัน โดยตามปกติ หนูจะมีอายุราว 600-700 วัน

ศ.โทโมฮิโระ โคโน จากมหาวิทยาลัยเกษตรโตเกียว ผู้ทำการวิจัยกล่าวว่า “เราพอจะทราบอยู่บ้างว่าผู้หญิงมักจะมีอายุยืนกว่าผู้ชาย แต่เหตุผลของความแตกต่างดังกล่าวนั้นไม่ชัดเจน และเราก็ไม่รู้ว่า อายุที่เพิ่มขึ้นดังกว่าเกิดจากยีนส์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือ ทั้งสองฝ่ายรวมกัน”

แต่เมื่อถามว่าเราสามารถสร้างมนุษย์ที่เกิดจากยีนส์ของผู้หญิงเพียงอย่างเดียวเพื่อให้มีอายุที่ยืนยาวมากขึ้นได้หรือไม่

ดร.โคโนะ กล่าวว่า “มันไม่เป็นความจริงหรอก”



Gold
#40
01-01-2010 - 16:49:33

#40 Gold  [ 01-01-2010 - 16:49:33 ]





ได้รับความรู้เยอะดี ขอบคุณครับบ...



ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ