โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
มาหาข้อมูลกัน [แจกดาวด้วย ปิดแล้ว!!]
simsmy
#21
28-09-2011 - 16:02:13

#21 simsmy  [ 28-09-2011 - 16:02:13 ]






10 อันดับยอดสัตว์อันตรายสำหรับมนุษย์


1. ยุง (ร้ายกว่าเสือ)
บางชนิดก็แค่กัดเจ็บๆ ครับ แต่บางชนิดที่แหละร้ายชนิดร้ายกาจต้องพยายาม
เลี่ยงเอาไว้ เพราะมันสามารถเป็นพาหะนำโรคร้ายสู่มนุษย์ ซึ่งปีหนึ่งๆ พบว่า คนเรา
ตายเพราะยุงเนี่ยได้คร่าประชากรโลกกว่าสองล้านคนทีเดียว

2. กบพิษ"พันธุ์ดารต์"
เจ้ากบที่เห็นเนี่ยไม่เหมาะสำหรับไปจูบมันแน่ๆ ก็เพราะว่า มันสามารถผลิตสาร
พิษร้ายแรง เพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากการถูกคุกคามของสัตว์อื่นๆ เขาบอกว่ากบ
ประเภทนี้แค่ตัวเดียวมีพิษขนาดทำให้คนตายได้ถึง 10 คน!

3. งูเห่าเอเชีย
แม้ว่าดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพิษ แต่จริงๆ แล้วมันเนี่ยแหละอันตรายกว่างูสายพันธุ
อื่น โดยสถิติคนถูกงูกัดตาย 5 หมื่นคนต่อปี ก็ถือว่าอันตรายสำหรับมนุษย์แล้ว


4. แมงกระพรุนออสเตรเลีย
พิษของมันถือว่าอันตรายสุดๆ ด้วยหนวดที่มีเป็นจำนวนมาก ยาวกว่า 15 ฟุต
เชื่อไหมว่าหนวดแต่ละเส้นสามารถคร่ามนุษย์ได้กว่า 60 คน


5. ฉลามขาว
อันตรายสุดๆ ถ้าเผชิญหน้ากับมัน คุณมีสิทธิจะโดนเขี้ยวฉลามที่ว่ากันว่ามี
ถึง 3 พันซี่ขย้ำจนเหลือแต่กระดูก หากไปเที่ยวว่ายน้ำในทะเลแล้วเปิดโอกาสให้มัน
ได้กลิ่นเลือดละก้อ


6. สิงโตแอฟริกา

ถือว่าเป็นสุดยอดของนักล่าของสัตว์บก เพราะทั้งใหญ่โต ว่องไว ฟันก็คมกริบ
ว่ากันว่าแค่แมวตัวใหญ่ก็เกือบจะเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบได้เหมือนสิงโตเลย ทีเดียว


8. ช้างแอฟริกาดัมโบ้
แม้ใครจะคิดว่าช้าง เป็นมิตรกับมนุษย์ก็ตาม แต่เจ้าพันธ์ดัมโบ้ นี้ เขาว่ามัน
ดุร้ายอันตรายใช่ย่อย เพราะปีหนึ่งมีคนตายเพราะเจ้าช้างพันธุ์นี้กว่า 500 คนทั่ว
โลก เพราะน้ำหนักมันถึง 16,000 ปอนด์ เรียกว่ามันเป็นสัตว์หนักที่สุดที่ทับมนุษย์



9. หมีขั้วโลก

แน่ละว่าจริงๆ แล้วมันอาจดูน่ารัก(เหมือนหมีแพนด้า?)ถ้าอยู่ในสวนสัตว์ แต่ใน
ป่าหรือในขั้วโลก บ้านของมันแล้ว มันจะกินลูกแมวน้ำเป็นอาหาร และถ้าสนุกขึ้นคิด
จะเล่นกันลูกแมวน้ำแล้ว ถือว่าอันตรายสุดๆ เพราะมันสามารถพุ่งเข้าชนเรา ก่อนจะ
ใช้อุ้งเท้าตบ



10. วัวพันธุ์แอฟริกา
ถ้ามันเจอผู้รุกรานก่อน ก็จะพุ่งจะชาร์จก่อนทันที เอาแค่ว่ามันมีน้ำหนักตัว
1,500 ปอนด์ และมีเขาแหลม 1 คู่ถ้าเจอแค่ตัวเดียวอาจเคราะห์ดีรอดชีวิตได้ แต่ถ้า
โชคร้ายคือ มันกรูกันมาเป็นฝูงแล้ว รับรองว่าจะโดนเหยียบขย้ำร่างจนเละเท่านั้น


ดูรูปที่นี่ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1213704

142954455


บุคคลล้านด้อม สิบล้านผัว
Fornky
#22
28-09-2011 - 16:06:05

#22 Fornky  [ 28-09-2011 - 16:06:05 ]





Arthur Ignatius Conan Doyle



อาร์เธอร์ อิกเนเชียส โคนัน ดอยล์ (อังกฤษ: Arthur Ignatius Conan Doyle) เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1859 ในเมืองเอดินบะระ แคว้นสกอตแลนด์ แห่งสหราชอาณาจักร และถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 เป็นนักเขียนเรื่องสั้น นวนิยาย ประวัติศาสตร์ และแพทย์คนสำคัญของสกอตแลนด์ แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุด คือนิยายรหัสคดีชุด "เชอร์ล็อก โฮล์มส์"

โคนัน ดอยล์ได้รับการศึกษาจากคณะเยซูอิต ที่วิทยาลัยสโตนีเฮิสต์ และจบการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ เมื่อปี ค.ศ. 1881 แล้วประกอบอาชีพแพทย์ตามที่ได้ร่ำเรียนมา ขณะเดียวกันก็ได้เริ่มงานเขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ เรื่องสั้นเรื่องแรกของเขาได้รับตีพิมพ์ในวารสารแชมเบอร์ (Chambers) เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1879 และเขียนสารคดีเรื่องแรก ในวารสารการแพทย์ "British Medical Journal" ในเดือนเดียวกัน

เรื่องที่ไม่ได้ตีพิมพ์เรื่องหนึ่งในช่วงนั้น แสดงถึงการทดลองด้วยคุณลักษณะ 2 อย่าง คือ การใช้ตัวเอกที่มีความรู้ในศาสตร์ลับ และคนเล่าเรื่องที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านใด แต่พัฒนาการของแนวคิดดังกล่าวก้าวถึงจุดสูงสุดเมื่อปี ค.ศ. 1886 และสร้างสีสันมีชีวิตชีวามาก จากเรื่อง "A Study in scarlet" เป็นเรื่องของนักสืบชื่อเชอร์ล็อก โฮลมส์ และเพื่อนชื่อหมอวัตสัน ด้วยการสร้างบทสนทนาที่สนุกสนาน น่าติดตาม ทำให้เรื่องของเขาเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง และตีพิมพ์เป็นเรื่องสั้นกว่า 56 เรื่อง และนวนิยาย 4 เรื่อง โดยได้รับแนวคิดจาก "Socrates and his disciples" ของเพลโต และ "Don Quixote" ของเซอร์บันเตส เป็นต้น

โคนัน ดอยล์ยังถือว่าเป็นหนี้ความรู้ของเอ็ดก้าร์ แอลลแลน โป (Edgar Allan Poe) บิดาแห่งรหัสคดี แต่การสร้างสรรค์เรื่องของโคนัน ดอยล์ทำให้นวนิยายชุดเชอร์ล็อก โฮล์มส์มีความแตกต่างจากนิยายสืบสวนทั่วไป และกลายเป็นนิยายรหัสคดียิ่งใหญ่ในชั่วเวลาไม่นาน เขาให้เขียนให้โฮล์มส์เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1893 เพื่อจบนิยายชุดนี้ แต่ต้องแต่งเรื่องให้โฮล์มส์กลับมาอีกครั้ง ตามคำเรียกร้องของบรรดานักอ่านของเขา
เรื่องยาวของโคนัน ดอยล์ได้แก่เรื่องเล่าสมัยกลาง เกี่ยวกับทหารในคริสต์ศตวรรษที่ 14 การปฏิวัติรัฐประหารในประเทศต่าง ๆ แต่ดูเหมือนเรื่องสั้นของเขาจะเป็นที่รู้จักและนิยมกันมากกว่า งานของเขายังมีเรื่องราวการผจญภัยกึ่งนิยายวิทยาศาสตร์ อย่างเรื่องสั้นชุด "Professor Challenger" เป็นต้น

โคนัน ดอยล์นั้นได้ทำหน้าที่เป็นแพทย์เรื่อยมาตั้งแต่จบการศึกษา และเลิกอาชีพนี้ไปทำงานด้านวรรณกรรมเมื่อปี ค.ศ. 1891 จากนั้นย้ายไปอยู่ที่ลอนดอน และต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองซัสเซ็กซ์ และเอสเซ็กซ์
เมื่อ ปี ค.ศ. 1902 โคนัน ดอยล์ได้รับพระราชทานยศอัศวิน อันเนื่องมาจากการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยเฉพาะในสงครามแอฟริกา
หลังจากบุตรชายของเขาเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 (ซึ่งเขาได้เขียนประวัติเหตุการณ์ต่าง ๆ เอาไว้) เขาเริ่มสนใจเรื่องธรรมะ ซึ่งมีผลต่อเรื่องสยองขวัญของเขาด้วย โคนัน ดอยล์เสียชีวิตเมื่อปี 1930 อายุได้ 71 ปี ผ่านการสมรส 2 ครั้ง และมีบุตร 5 คน

ผลงานสำคัญ
A Study in Scarlet (1887)
The Sign of Four
The Hound of Baskervilles
The Valley of Fear
The Adventures of Sherlock Holmes (1892)
The Memoir of Sherlock Holmes
The Return of Sherlock Holmes
The Case Book of Sherlock Holmes (1927)
His Last Bow
The Adventure of the Speckled Band (เรื่องสั้น ไม่ทราบปีที่พิมพ์)
The Lost World (1912)
The Land of Mists (1926)
The Disintegration Machine (1927)
When the World Screamed (1928)
The White Company (1891)
Micah Clarke (1888)
The Refugees (1893)
Uncle Bernac (1897)
Sir Nigel (1906)
This is test

คำพูด
"It is a great thing to start life with a small number of really good books which are your very own"
"การเริ่มต้นชีวิตโดยมีหนังสือที่ดีจริง ๆ ไม่กี่เล่มเป็นของตัวเองนั้นเป็นเรื่องเยี่ยมยอด"


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-09-28 16:21:05
142954455


I'm comeback ? :3
SolSica
#23
28-09-2011 - 16:11:46

#23 SolSica  [ 28-09-2011 - 16:11:46 ]





13 เรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่(เคย)รู้



หลายคนที่เลี้ยงแมวคงจะคุ้นเคยกับอุปนิสัยซุกซนและขี้เล่นของเจ้าเหมียวทั้งหลาย แต่คุณจะรู้ไหมนะว่า เจ้าเหมียวน้อยตาบ้องแบ๊วเหล่านี้ยังมีสิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับตัวพวกมันอีกแยะ บางคนที่เลี้ยงแมวมานานยังเกิดข้อสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไมมันทำแบบนั้น อ๊ะ! มันทำแบบนี้อีกล่ะ วันนี้เรามีเรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่(เคย)รู้ 13 ข้อมาบอกกล่าวผู้เลี้ยงแมวทั้งหลาย รวมทั้งมือใหม่ที่อยากจะเลี้ยงแมวด้วยค่ะ ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย


1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก

สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง

2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย

ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่

3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์

เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง

4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้

แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน

5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?

จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้

6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ

เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง

7. ช็อกโกแลต ของอันตรายสำหรับแมว

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินช็อกโกแลต ก็ขอให้เก็บช็อกโกแลตไว้ให้พ้นสายตาหรือจมูกของเจ้าเหมียวให้ดี เพราะช็อกโกแลตที่แสนอร่อยของเรานั้น กลับเป็นอันตรายต่อแมว เพราะเมื่อแมวกินช็อกโกแลตจะทำให้มันป่วยหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

8. แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว

ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง

9. แมวไม่ชอบสบตาใคร

พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ

10. จังหวะการเต้นของหัวใจน้องเหมียว

โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของแมวจะอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตของมันด้วย ซึ่งยิ่งมันมีอายุน้อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจมันก็จะเร็วกว่าแมวที่มีอายุมากแล้ว

11. แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!

บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ

12. เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน

คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ

13. แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?

ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง

(C) กระปุก


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-09-30 22:33:34
142954455

palmy มานิตา
#24
palmy มานิตา
30-09-2011 - 21:59:50

#24 palmy มานิตา  [ 30-09-2011 - 21:59:50 ]




ดวงจันทร์ เป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลก จัดเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่ลำดับที่ 5 ในระบบสุริยะ มีระยะห่างจากโลกเฉลี่ยนับจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางประมาณ 384,403 กิโลเมตร เทียบเท่ากับ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก จุดศูนย์กลางมวลร่วมของระบบตั้งอยู่ที่ตำแหน่ง 1700 กิโลเมตรใต้ผิวโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของรัศมีของโลก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในเวลาประมาณ 27.3 วัน เมื่อเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29.5 วัน (เรียกว่า คาบไซโนดิก)

เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีค่าประมาณ 3,474 กิโลเมตร[1] หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์มีน้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นผิวของโลก (ประมาณ 1 ใน 4 ของผืนทวีปของโลกเท่านั้น คิดเป็นขนาดใหญ่ประมาณรัสเซีย แคนาคา กับสหรัฐอเมริกา รวมกัน) มวลรวมของดวงจันทร์คิดเป็นประมาณ 2% ของมวลของโลก และแรงโน้มถ่วงเป็น 17% ของโลก

สัญลักษณ์แทนดวงจันทร์คือ ☾ ปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) นีล อาร์มสตรอง และ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศขององค์การนาซา เป็นมนุษย์ 2 คนแรกที่เหยียบลงบนพื้นดินของดวงจันทร์ กฎหมายอวกาศถือว่าดวงจันทร์เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ ตามสนธิสัญญาที่ใช้บังคับกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์ ดวงดาว และวัตถุอวกาศอื่นๆ ค.ศ. 1979



รูปโปร -..- เพราะรักจึงทำร้ายหรอกน้าาหนุ่มกัซ 5555
142954455
#25
30-09-2011 - 22:18:05

#25 142954455  [ 30-09-2011 - 22:18:05 ]






palmy มานิตา
โพสมา 4 ข้อมูลแล้วนะค่ะ
เราระบุไว้ว่าให้โพสคนละ 2 ข้อมูล



Iмagination is more important †han kиowledge :D
simsmy
#26
30-09-2011 - 22:38:48

#26 simsmy  [ 30-09-2011 - 22:38:48 ]






5 สัตว์ที่สวย แต่อันตรายถึงชีวิต

- แมงกะพรุนกล่อง (Box Jellyfish) : เห็นสีสันของแมงกะพรุนชนิดนี้แล้ว ต้องขอบอกสวยมากเลย แต่น้องๆ ชาว Dek-D.com รู้กันบ้างรึเปล่าจ๊ะว่าพิษของมันก็ร้ายแรงเช่นเดียวกัน เพราะแมงกะพรุนชนิดนี้มีเขี้ยวพิษอยู่ในเซลล์จำนวนกว่าล้านเซลล์ ซึ่งผู้ที่ถูกพิศจะมีอาการช็อค และหัวใจวาย วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ ใช้น้ำส้มสายชูราดลงไปที่บริเวณที่ถูกพิษ วิธีนี้จะช่วยเบาเทาพิษได้ หลังจากนั้นรีบหาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
...
- งูจงอาง (King Cobra) : งูชนิดนี้ถือว่าเป็นงูที่มีขนาดลำตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันกินงูอื่น หนู กบ และตะกวดเป็นอาหาร พิษของมันสามารถฆ่าคนตายได้ในระยะเวลาสั้นๆ รวมทั้งช้างตัวเต็มวัยที่สามารถตายได้ภายใน 3 ชั่วโมง น่ากลัวมากเลยใช่ไหมจ๊ะ ผู้ที่โดนงูจงอางกัดจะมีอาการหนังตาตก พูดและกลืนน้ำลายลำบาก แขนขาอ่อ่นแรง หายใจติดขัด และหยุดหายใจในเวลาต่อมา วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ใช้เชือกรัดเหนือบาดแผลประมาณ 5- 15 ซม. อย่ารัดแน่นจนเกินไปพอให้นิ้วมือสอดเข้าไปได้ สาเหตุที่ต้องรัดเชือกนั้นเป็นเพราะเพื่อป้องกันไม่ให้พิษของงูดูดซึมเข้าไปในท่อน้ำเหลือง และเส้นเลือดดำที่จะเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจ นอกจกานี้ยังต้องให้ผู้แวยนอนอยู่นิ่งๆ และจัดท่าบาดแผลให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำสะอาด หรือแอลกอฮอล์ และทิงเจอร์ หลังจากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาล
...
- หอยเต้าปูนลายหินอ่อน (Marbled Cone Snail) : ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า หอยมรณะ เป็นหอยอีกชนิดหนึ่งที่มีสีสันสวยงาม แต่ก็อันตรายสุดๆ เพราะพิษแค่หยดเดียวของมันสามารถฆ่าคนได้มากถึง 20 คน โดยผู้ที่ถูกพิษจะมีอาการ คือ รอบแผลจะซีด บวม เขียวซ้ำ รู้สึกชารอบๆ บาดแผล หลังจากนั้นจะมีอาการบวมแดง ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อาเจียน พูดและหายใจติดขัด เจ็บหน้าอก ทำให้หัวใจ และเสียชีวิตได้ วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำเช่นเดียวกับโดนงูกัด
...
- ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน (Blue Ringed Octopus) : ปลาหมึกชนิดนี้นอกจากจะมีสีสันที่สวยงามแล้ว มันยังมีขนาดเล็กเท่าเพียงลูกกอล์ฟเท่านั้น ผู้ที่ถูกพิษจะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บปวดเท่าไหร่ แต่พิษของมันร้ายแรงมากเพราะจะเข้าไปทำลายระบบประสาท ทำให้รู้สึกอ่อนแอ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบหายใจจะล้มหลว และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มียาแก้พิษชนิดนี้เลย
...
- แมงป่องเดทธ์สตอล์คเกอร์ (Death Stalker Scorpion) : ผู้ที่โดนต่อยจะมีอาการปวด ไข้ขึ้น เพราะพิษของมันจะเข้าไปทำลายระบบประสาท ในกรณีที่ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นเด็กและคนชราจะทำให้เสียชีวิตได้ เพราะมีภูมิต้านทานต่ำ ส่วนในกรณีที่เป็นผู้ใหญ่ก็จะทำให้เป็นอัมพาตได้
...
เครดิต : Dek-D



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-09-30 22:39:53
142954455


บุคคลล้านด้อม สิบล้านผัว
my belovefon
#27
01-10-2011 - 19:58:56

#27 my belovefon  [ 01-10-2011 - 19:58:56 ]




13 เรื่องอาถรรพ์ศุกร์ 13


นี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ชัดเป๊ะๆ ว่าประชาชนถือเอาว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย ไทยรัฐออนไลน์รวม 13 เรื่อง ของวันศุกร์ 13 มาให้อ่านกัน

1. บางตำราเชื่อว่าอาถรรพ์ศุกร์ 13 มาจากตำนานของ "ชาวนอร์ส" ที่อาศัยอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นเรื่องของเทพ 12 องค์ มารวมจัดงานเลี้ยงในห้องโถงเอกีร์ (เทพแห่งมหาสมุทร) แล้วเทพแห่งไฟ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงาน จึงพังประตูรั้วเข้ามาในฐานะแขกคนที่ 13 และให้เทพฮอด (เทพแห่งความมืดมิด เพราะตาบอด) โยนกิ่งพืชกาฝากใส่บาลเดอร์ (เทพแห่งความสุขความยินดี) จนบาลเดอร์เสียชีวิตในที่สุดถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเชื่อชนิดที่คิดกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นวันแห่งความโชคร้าย ซึ่งความเชื่อที่ว่าก็คือถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามจะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อที่อยู่ในบรรดาชาติที่พูดภาษาอังกฤษทั่วโลก และยังขยายไปถึงชาติอื่นๆ อีกด้วย และในประเทศบางประเทศอย่าง กรีซ สเปน ถือเอาวันอังคารที่ 13 เป็นวันโชคร้ายเช่นกัน

โดยหลักๆ แล้วจุดเริ่มต้นความเชื่อเรื่องนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ามีคน 13 คน ร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู (The Last Supper) ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐ (ทั้งนี้ มีการบันทึกเอาไว้ในศตวรรษที่ 18 โดยเชื่อกันว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย) แต่ทั้ง

2. เลข 13 ถือเป็นเลขแห่งความโชคร้าย ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ก็เชื่อกันว่าจะมีแต่ความวิบัติในชีวิต ถือเป็นเลขที่สร้างความหวาดกลัวอย่างมาก จนมีคนคิดบัญญัติศัพท์เลยทีเดียว โดยเรียกคนที่หวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 ว่า Paraskevidekatriaphobia มาจากภาษากรีก 3 คำคือ วันศุกร์ (Paraskevi) สิบสาม (dekatreis) และความหวาดกลัว ( Phobos)

3. ในวันศุกร์ที่ 13 อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินเกือบพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประชาชนจำนวนหนึ่งไม่กล้าเดินทางไปไหน ไม่กล้าทำอะไรไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

4. ความอาถรรพ์ของวันศุกร์ ขจรขจายไปทั่วโลก เช่น วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1869 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอเมริกา วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในออสเตรเลียวันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงครามทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์ วันศุกร์ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังคลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน 13 ศพ วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอร์คแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ “Aphid” พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ค วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส เป็นต้น

5. นอกจากเป็นตำนานอาถรรพ์ที่สร้างความเชื่อจนฝังรากลึกแล้ว หลายครั้งก็มีเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความอาถรรพ์อยู่เรื่อยๆ อย่างการเกิดอุบัติเหตุที่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการทำสถิติเกี่ยวกับอัตราการเกิดอุบัติเหตุไว้ในแต่ละวันศุกร์ ซึ่งวันศุกร์ที่ 13 นั้นจะมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าวันอื่นๆ ถึง 52%

6. ความอาถรรพ์ที่ดูแล้วจะเห็นแต่เรื่องโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างโดยเฉพาะที่สร้างภาพยนตร์เรื่อง “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” หรือ Friday 13 th ออกมาสร้างความหวาดกลัวนั้น ไม่ว่าจะทำภาคไหนก็มีคนสนใจแห่ไปดูกันอย่างไม่น่าเชื่อ

7. อีกเรื่องเล่าที่แปลงมาจากตำนานของชาวสแกนดิเนเวีย บอกว่า การที่มีคนที่ 13 มาร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่จะต้องตายเป็นคนแรกคือคนที่ลุกจากโต๊ะก่อนคนอื่น ไม่ใช่อย่างตำนานในข้อที่ 5

8. เหตุผลที่วันศุกร์เป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เพราะเชื่อกันว่านอกจากการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ตามตำรายังบอกว่า วันศุกร์เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ อีกทั้งยังถือเป็นวัน Tip Top Day หรือว่าวันปีศาจนั่นเอง ชาวประมงส่วนใหญ่จึงไม่นิยมออกทะเลในวันศุกร์กันเลย

9. ในสมัยโบราณชาวตะวันตกมีความเชื่อว่าห้ามตัดเล็บในวันศุกร์ เพราะแม่มดจะขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของกลายเป็นแม่มด

10. ตามตำนานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ อดัมและอีฟได้ละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามของสวนอีเดนในวันศุกร์ จึงถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นวันศุกร์เช่นกัน

11. โรคความหวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 หรือ Paraskevidekatriaphobia มีการประเมินออกมาแล้วว่าคนส่วนใหญ่เป็นโรคนี้ถึง 21 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขายังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่

12. ตามข้อมูลในวิกิพีเดียบอกไว้ว่า ถ้าเดือนใดก็ตามที่เริ่มต้นวันแรกเป็นวันอาทิตย์ เดือนนั้นจะมีวันศุกร์ที่ 13 เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ในแต่ละปีจะเกิดขึ้นไม่เกิน 3 ครั้ง

13. เมืองไทยก็ไม่น้อยหน้า หลายโรงแรมและตึกหลายแห่งก็ไม่มีชั้นที่ 13 เช่น โรงแรมอโนมา สวิสโฮเต็ล เป็นต้น เนื่องจากกลัวความอาถรรพ์ กระทั่งตัวลิฟต์หลายสำนักงานก็จะไม่มีปุ่มกดชั้นที่ 13 เช่นกัน

สุดท้ายคำพูดนี้มักจะใช้ได้เสมอ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่...!

142954455


long time no see ~
my belovefon
#28
01-10-2011 - 19:58:58

#28 my belovefon  [ 01-10-2011 - 19:58:58 ]




13 เรื่องอาถรรพ์ศุกร์ 13


นี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่ชี้ชัดเป๊ะๆ ว่าประชาชนถือเอาว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้าย ไทยรัฐออนไลน์รวม 13 เรื่อง ของวันศุกร์ 13 มาให้อ่านกัน

1. บางตำราเชื่อว่าอาถรรพ์ศุกร์ 13 มาจากตำนานของ "ชาวนอร์ส" ที่อาศัยอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นเรื่องของเทพ 12 องค์ มารวมจัดงานเลี้ยงในห้องโถงเอกีร์ (เทพแห่งมหาสมุทร) แล้วเทพแห่งไฟ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงาน จึงพังประตูรั้วเข้ามาในฐานะแขกคนที่ 13 และให้เทพฮอด (เทพแห่งความมืดมิด เพราะตาบอด) โยนกิ่งพืชกาฝากใส่บาลเดอร์ (เทพแห่งความสุขความยินดี) จนบาลเดอร์เสียชีวิตในที่สุดถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเชื่อชนิดที่คิดกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นวันแห่งความโชคร้าย ซึ่งความเชื่อที่ว่าก็คือถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามจะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อที่อยู่ในบรรดาชาติที่พูดภาษาอังกฤษทั่วโลก และยังขยายไปถึงชาติอื่นๆ อีกด้วย และในประเทศบางประเทศอย่าง กรีซ สเปน ถือเอาวันอังคารที่ 13 เป็นวันโชคร้ายเช่นกัน

โดยหลักๆ แล้วจุดเริ่มต้นความเชื่อเรื่องนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ามีคน 13 คน ร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู (The Last Supper) ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐ (ทั้งนี้ มีการบันทึกเอาไว้ในศตวรรษที่ 18 โดยเชื่อกันว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย) แต่ทั้ง

2. เลข 13 ถือเป็นเลขแห่งความโชคร้าย ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ก็เชื่อกันว่าจะมีแต่ความวิบัติในชีวิต ถือเป็นเลขที่สร้างความหวาดกลัวอย่างมาก จนมีคนคิดบัญญัติศัพท์เลยทีเดียว โดยเรียกคนที่หวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 ว่า Paraskevidekatriaphobia มาจากภาษากรีก 3 คำคือ วันศุกร์ (Paraskevi) สิบสาม (dekatreis) และความหวาดกลัว ( Phobos)

3. ในวันศุกร์ที่ 13 อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินเกือบพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประชาชนจำนวนหนึ่งไม่กล้าเดินทางไปไหน ไม่กล้าทำอะไรไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

4. ความอาถรรพ์ของวันศุกร์ ขจรขจายไปทั่วโลก เช่น วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1869 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในอเมริกา วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในออสเตรเลียวันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงครามทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์ วันศุกร์ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังคลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน 13 ศพ วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอร์คแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ “Aphid” พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ค วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส เป็นต้น

5. นอกจากเป็นตำนานอาถรรพ์ที่สร้างความเชื่อจนฝังรากลึกแล้ว หลายครั้งก็มีเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความอาถรรพ์อยู่เรื่อยๆ อย่างการเกิดอุบัติเหตุที่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการทำสถิติเกี่ยวกับอัตราการเกิดอุบัติเหตุไว้ในแต่ละวันศุกร์ ซึ่งวันศุกร์ที่ 13 นั้นจะมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าวันอื่นๆ ถึง 52%

6. ความอาถรรพ์ที่ดูแล้วจะเห็นแต่เรื่องโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างโดยเฉพาะที่สร้างภาพยนตร์เรื่อง “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” หรือ Friday 13 th ออกมาสร้างความหวาดกลัวนั้น ไม่ว่าจะทำภาคไหนก็มีคนสนใจแห่ไปดูกันอย่างไม่น่าเชื่อ

7. อีกเรื่องเล่าที่แปลงมาจากตำนานของชาวสแกนดิเนเวีย บอกว่า การที่มีคนที่ 13 มาร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่จะต้องตายเป็นคนแรกคือคนที่ลุกจากโต๊ะก่อนคนอื่น ไม่ใช่อย่างตำนานในข้อที่ 5

8. เหตุผลที่วันศุกร์เป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เพราะเชื่อกันว่านอกจากการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ตามตำรายังบอกว่า วันศุกร์เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ อีกทั้งยังถือเป็นวัน Tip Top Day หรือว่าวันปีศาจนั่นเอง ชาวประมงส่วนใหญ่จึงไม่นิยมออกทะเลในวันศุกร์กันเลย

9. ในสมัยโบราณชาวตะวันตกมีความเชื่อว่าห้ามตัดเล็บในวันศุกร์ เพราะแม่มดจะขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของกลายเป็นแม่มด

10. ตามตำนานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ อดัมและอีฟได้ละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามของสวนอีเดนในวันศุกร์ จึงถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นวันศุกร์เช่นกัน

11. โรคความหวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 หรือ Paraskevidekatriaphobia มีการประเมินออกมาแล้วว่าคนส่วนใหญ่เป็นโรคนี้ถึง 21 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขายังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่

12. ตามข้อมูลในวิกิพีเดียบอกไว้ว่า ถ้าเดือนใดก็ตามที่เริ่มต้นวันแรกเป็นวันอาทิตย์ เดือนนั้นจะมีวันศุกร์ที่ 13 เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ในแต่ละปีจะเกิดขึ้นไม่เกิน 3 ครั้ง

13. เมืองไทยก็ไม่น้อยหน้า หลายโรงแรมและตึกหลายแห่งก็ไม่มีชั้นที่ 13 เช่น โรงแรมอโนมา สวิสโฮเต็ล เป็นต้น เนื่องจากกลัวความอาถรรพ์ กระทั่งตัวลิฟต์หลายสำนักงานก็จะไม่มีปุ่มกดชั้นที่ 13 เช่นกัน

สุดท้ายคำพูดนี้มักจะใช้ได้เสมอ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่...!



long time no see ~
rakoey
#29
01-10-2011 - 20:09:53

#29 rakoey  [ 01-10-2011 - 20:09:53 ]




แมว หรือ แมวบ้าน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Felis catus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อยู่ในตระกูล Felidae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับสิงโตและเสือดาว ต้นตระกูลแมวมาจากเสือไซบีเรียน (Felis tigris altaica) ซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร แมวที่เลี้ยงตามบ้าน จะมีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้นและจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งลักษณะบางอย่างของแมวยังคงพบเห็นได้ในแมวบ้านปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแมวพันธุ์แท้หรือแมวพันธุ์ทาง
แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่ค้นพบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากปิรามิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสสิเนียน
 996848

142954455

HaHaHa FoTo
#30
01-10-2011 - 20:12:48

#30 HaHaHa FoTo  [ 01-10-2011 - 20:12:48 ]







นกอพยพ ไกลที่สุดในโลก



นก bar-tailed Godwit ครองตำแหน่งนกที่บินอพยพ โดยไม่หยุดพัก โดยไม่กินอาหาร รวดเดียวเป็นระยะทางถึง 7,258 ไมล์(11,680กิโลเมตร) จากนิวซีแลนด์ ไป อาลาสก้า(Alaska)

142954455


นานๆเข้าที
BETTY BOOM
#31
01-10-2011 - 20:13:50

#31 BETTY BOOM  [ 01-10-2011 - 20:13:50 ]




สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Elizabeth I of England หรือ Virgin Queen หรือ Gloriana หรือ Good Queen Bess -- 7 กันยายน พ.ศ. 2076 -- 24 มีนาคม พ.ศ. 2146) และทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษ และสมเด็จพระราชินีนาถแห่งไอร์แลนด์ ตั้งแต่ วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2101 จนเสด็จสวรรคต บางครั้งพระองค์ก็ทรงได้รับพระฉายานามว่า “ราชินีผู้ทรงพรหมจรรย์” (เนื่องจากการไม่อภิเษกสมรสเลยตลอดพระชนม์ชีพ) สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ทรงเป็นกษัตรีย์พระองค์ที่ 5 และนับเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ทิวดอร์

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ผู้ประสูติที่พระราชวังกรีนิช ทรงเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน พระมเหสีพระองค์ที่ 2 ซึ่งถูกประหารชีวิตโดยการบั่นพระเศียรเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 พระชนมายุได้เพียงเกือบ 3 พรรษา จากนั้นพระองค์ก็ทรงถูกประกาศว่าเป็นพระราชธิดานอกกฎหมาย

เมื่อสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เสด็จสวรรคตราชบัลลังก์อังกฤษก็ตกไปเป็นของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 พระราชโอรสในพระเจ้าเฮนรีและสมเด็จพระราชินีเจน ซีมัวร์ พระมเหสีองค์ที่ 3 เมื่อเสด็จสวรรคตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงมอบราชบัลลังก์แก่เลดี้เจน เกรย์ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดพระเชษฐภคินีต่างพระมารดาสองพระองค์ออกจากสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ แต่ในที่สุดเจ้าหญิงแมรีก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 1 ผู้ทรงเป็นโรมันคาทอลิก ในรัชสมัยของราชินีนาถแมรีเจ้าหญิงอลิซาเบธทรงถูกจำขังอยู่ปีหนึ่งในข้อสงสัยว่าทรงมีส่วนร่วมในการสนับสนุนฝ่ายก่อการโปรเตสแตนต์

หลังจากเสด็จสวรรคตของพระเชษฐภคินีสมเด็จพระราชินีนาถแมรี เจ้าหญิงอลิซาเบธก็เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะปกครองโดยมีที่ปรึกษาราชการผู้มีคุณธรรม[1] พระองค์ทรงไว้วางพระทัยในกลุ่มที่ปรึกษาที่ทรงไว้วางใจที่นำโดยวิลเลียม เซซิล บารอนแห่งเบอร์ลีย์ที่ 1 สิ่งแรกที่ทรงกระทำในฐานะพระราชินีนาถคือการสนับสนุนการก่อตั้งสถาบันโปรเตสแตนต์อังกฤษ ซึ่งมีพระองค์เองเป็น “ประมุขสูงสุด” (Supreme Governor) นโยบายทางศาสนาของพระองค์เป็นนโยบายที่ดำเนินตลอดมาในช่วงรัชสมัยการปกครอง และต่อมาวิวัฒนาการมาเป็น “นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์” ในปัจจุบัน

ในระหว่างที่ครองราชย์ก็เป็นที่หวังกันว่าพระองค์จะทรงเสกสมรส แต่แม้ว่ารัฐบาลจะยื่นคำร้องหลายครั้ง และ การทรงทำความรู้จักกับกับคู่หมายหลายคนพระราชินีนาถอลิซาเบธก็มิได้ทรงทำการเสกสมรสกับผู้ใด สาเหตุที่ไม่ทรงยอมเสกสมรสก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เมื่อทรงมีพระชนมายุสูงขึ้นพระองค์ก็ทรงมีชื่อเสียงจากการเป็น “พระราชินีผู้ทรงพรหมจรรย์” และเกิดลัทธินิยมของผู้ติดตามนโยบายดังว่าที่เฉลิมฉลองกันด้วยภาพเหมือน, เทศกาล และ วรรณกรรมร่วมสมัย

ในด้านการปกครองพระราชินีนาถอลิซาเบธทรงดำเนินนโยบายที่เป็นสายกลางมากกว่าพระราชบิดา พระอนุชา และ พระเชษฐภคินี[2] คำขวัญที่ทรงถืออยู่คำหนึ่งคือ “video et taceo” (ไทย: ข้าพเจ้ารู้แต่ข้าพเจ้าไม่พูด) [3] นโยบายดังกล่าวสร้างความอึดอัดใจให้แก่บรรดาราชองคมนตรี แต่ก็เป็นนโยบายที่ทำให้ทรงรอดจากการสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองและทางการมีคู่ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรมาหลายครั้ง แม้ว่าจะทรงดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างระมัดระวัง และทรงสนับสนุนการสงครามในเนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และ ไอร์แลนด์อย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่ชัยชนะที่ทรงมีต่อกองเรืออาร์มาดาของสเปนในปี พ.ศ. 2131 ก็ทำให้ทรงมีชื่อว่าทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับชัยชนะอันสำคัญที่ถือกันว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ ภายใน 20 ปีหลังจากการเสด็จสวรรคต พระองค์ก็ทรงได้ชื่อว่าเป็นพระมหากษัตรีย์ของยุคทองของอังกฤษ

รัชสมัยของพระองค์เป็นที่รู้จักกันว่า “สมัยเอลิซาเบธ” ที่มีชื่อเสียงเหนือสิ่งใดว่าเป็นยุคเรอเนสซองซ์ของนาฏกรรมของอังกฤษ ที่นำโดยนักเขียนบทละครผู้มีชื่อเสียงเช่นวิลเลียม เชคสเปียร์ และ คริสต์โตเฟอร์ มาร์โลว์, และความเจริญทางการเดินเรือโดยผู้นำเช่นฟรานซิส เดรค นักประวัติศาสตร์บางท่านค่อนข้างจะไม่กระตือรือร้นต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และกล่าวว่าทรงเป็นผู้มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น[4] และบางครั้งก็ทรงเป็นผู้นำผู้ไม่มีความเด็ดขาด,[5] ผู้ทรงได้รับผลประโยชน์จากโชคมากกว่าที่จะทรงใช้พระปรีชาสามารถ ในปลายรัชสมัยปัญหาต่างๆ ทางเศรษฐกิจ และ ทางการทหารก็ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลง จนถึงกับกล่าวกันว่าการเสด็จสวรรคตนำมาซึ่งความโล่งใจของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน

พระราชินีนาถอลิซาเบธทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้นำผู้มีเสน่ห์และเป็นผู้นำให้ประเทศรอดจากภัยพิบัติต่างๆ ในยุคที่รัฐบาลอยู่ในสภาวะที่ปั่นป่วนและสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศเพื่อนบ้านต้องเผชิญกับสถานะการณ์ภายในที่เป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ หลังจากรัชสมัยอันสั้นของพระอนุชาและพระเชษฐภคินีแล้วรัชสมัยอันยาวนานถึง 44 ปีก็เป็นรัชสมัยที่สร้างความมั่นคงให้แก่ราชอาณาจักร และเป็นรัชสมัยที่วางรากฐานของความเป็นชาติของอังกฤษด้วย[2]

เมื่อเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ไทย สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 ทรงครองราชย์ในเวลาเดียวกันกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา


142954455

bupachart
#32
01-10-2011 - 20:18:50

#32 bupachart  [ 01-10-2011 - 20:18:50 ]




ยุง
ยุง เป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกแต่พบมากในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยปกติ ตัวเมียมักจะกินเลือดเป็นอาหาร ส่วนตัวผู้มักจะกินน้ำหวานในดอกไม้ ยุงยังเป็นแมลงที่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรคอีกด้วย เช่น ไข้เลือดออก ยุงทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 3,450 ชนิด แต่พบในประเทศไทยประมาณ 412 ชนิด แต่ที่คุ้นเคยกันดี คือ ยุงก้นปล่อง (Anopheles) และยุงลาย (Aedes)



ตุ่มคันที่เกิดจากยุงกัด
เมื่อยุงดูดเลือดเหยื่อ ยุงจะปล่อยน้ำลายซึ่งมีโปรตีนบางอย่างออกมาด้วย และน้ำลายของยุงยังอยู่ในรอยเจาะ เป็นตัวการทำให้ผิวหนังหลั่งสารฮิสตามีน (histamine) ออกมา ฮิสตามีนจะกระตุ้นเส้นใยประสาทให้ส่งสัญญาณไปที่สมองแล้วทำให้เกิดอาการคัน และโปรตีนในน้ำลายของยุงยังไปกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันอีกด้วย ทำให้บริเวณที่โดนกัด (weal) จะเกิดการบวมแดง แม้ว่าในที่สุดแล้วการบวมจะหายไป แต่อาการคันยังคงอยู่จนกว่าภูมิคุ้มกันจะทำให้โปรตีนนั้นสลายไป

ป.ล.กำลังเคียดแค้นกับยุงอยู่กัดอยู่ได้ขนาดเอามุ้งกางแล้วยังเข้ามานอนเป็นเพื่อนอีกๆๆๆๆๆ แง่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แฮะ


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-10-01 20:20:35
142954455

HaHaHa FoTo
#33
01-10-2011 - 20:39:33

#33 HaHaHa FoTo  [ 01-10-2011 - 20:39:33 ]







ทางเดินกระจก เหนือแกรนด์แคนย่อน



Glass Walkway Over Grand Canyon ทางเดินกระจก เหนือแกรนด์แคนย่อน สถาปัตยกรรม เป็น อาคารรูปเกือกม้า ยื่นออกมาจากหน้าผา 20 เมตร (ก็ประมาณครึ่งสนามฟุตบอล) พื้นเป็นกระจกใสยื่นไปอยู่เหนือแม่น้ำโคโรลาโด้ ด้วยความสูงถึง 1,220 เมตร สถานที่ตั้งอยู่ที่ แกรนด์ แคนย่อน , อริโซน่า , อเมริกา ( Grand Canyon, Arizona, USA )

ข้อมูลเฉพาะ ทางเดินกระจก แห่ง แกรนด์แคนย่อน

-สถานที่ตั้ง : แกรนด์ แคนย่อน , อริโซน่า , อเมริกา ( Grand Canyon, Arizona, USA )
-โครงสร้างสามารถต้านทานแรงลมได้ 100mph (161 km/h)
-ทางเดินสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่า 70 ตัน หรือเทียบได้เท่ากับชายฉกรรจ์ 700 คน แต่ทางโครงการจำักัดจำนวนผู้เข้าชมครั้งละไม่เกิน 120 คน
-โครงสร้างที่ประกอบไปด้วยแ่ผ่นเหล็กหนาเป็นโครงรับ พื้นกระจกเสริมเส้นใยเหล็กหนากว่า 3 นิ้ว ( 7.5 เซนติเมตร ) กระจกกันตกด้านข้างสูง 1.5 เมตร ทำให้มั่นใจในความปลอดภัย








142954455


นานๆเข้าที
cherryjung
#34
01-10-2011 - 20:51:50

#34 cherryjung  [ 01-10-2011 - 20:51:50 ]





เรื่องโดนใจ ที่ไม่มีทางได้เจอที่ไหน นอกจาก "ญี่ปุ่น"



สบตาคนตาย ... ก่อนเค้าจะตาย


บรื๋อ~ อ่านแล้วงงๆ ใช่มั้ยคะว่าคืออะไรยังไง เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ ..... วันก่อนเพื่อนของ พี่เป้ ตั้งสเตตัสเฟสบุคว่า "มีคนกระโดดให้รางรถไฟชินคันเซ็นทับ(อีกแล้ว) แถมก่อนเค้ากระโดด เราดันไปสบตากับเค้าด้วย เฮ้อ "

คือน้องๆ คงเคยได้ยินว่า คนญี่ปุ่นเนี่ยถ้าเค้าจะฆ่าตัวตาย หลายคน(นิยม)กระโดดให้รถไฟทับ ไม่รู้ทำไมถึงเลือกวิธีนี้กัน แต่ให้เดาน่าจะเป็นเพราะว่าคงตายแน่นอน ไม่เหลือซากแน่ๆ ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นเค้าก็มีกฏนะคะว่าถ้าใครกระโดดให้รถไฟทับ ญาติผู้ตายต้องถูกปรับเงิน แต่ก็ยังมีคนเลือกจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้อยู่ดี (ช่วยห่วงคนข้างหลังบ้างเถอะ) ดังนั้นเวลาที่เราไปต่อแถวขึ้นรถไฟเนี่ย อย่าเผลอไปสบตากับคนที่หน้าเศร้าๆ หมองๆ นะคะ เพราะเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจมาโดยสารรถไฟ แต่อยากมาทำอย่างอื่นก็ได้ = =" (นึกถึงสี่แพร่งตอนเหงา) แถมหลังจากที่เค้ากระโดดไปแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บซาก จากนั้นรถไฟก็วิ่งต่อไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ ทุกคนดำเนินชีวิตปกติ ไม่มีใครตื่นเต้นตกใจเพราะเหมือนเป็นเรื่องปกติ เฮ้อ (โดนใจมั้ยเรื่องนี้ ???)


อาชีพแปลกๆ "ยามดัน"


ให้น้องๆ ทายเล่นๆ ว่า "ยามดัน" คืองานอะไร ???? มีเพื่อนคนนึงเคยอยากหางานพาร์ทไทม์ทำ และมีคนญี่ปุ่นแนะนำว่า ให้ไปสมัครตำแหน่ง "ยามดัน" ดูสิ ...... ยามดันคือคนที่เป็นยามในสถานีรถไฟของญี่ปุ่น หน้าที่หลักๆ คือดันคนขึ้นรถไฟค่ะ ! น้องๆ คงเคยเห็นภาพรถไฟญี่ปุ่นที่คนแน่นมากกกก จนต้องมียามคอยผลักคอยดันหรือคอยเอาไม้เขี่ยให้คนเบียดเข้าไปกันให้หมดจนได้ นั่นแหละค่ะ หน้าที่ของยามดัน 5555 ฟังดูน่าสนุกดีเนาะ (เหรอ) ใครคิดจะทำงานนี้ก็คงต้องตัวใหญ่และมีพละกำลังมหาศาลหน่อยนะคะ เพราะต้องดันคนเป็นสิบๆ เข้าไป ดีไม่ดี โดนดันกลับมา เราเนี่ยแหละที่จะน่วมเอง



ตู้อัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง


น้องๆ คงเคยกดน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้จากตู้อัตโนมัติ แต่ที่ญี่ปุ่นเค้าล้ำกว่านั้น คือมีตู้กดอาหาร เช่น ข้าวกะหรี่ ราเม็ง อาจจะตั้งเป็นตู้ตามถนนทั่วไป หรือตั้งอยู่หน้าร้านอาหารค่ะ คือจะสั่งอะไรก็หยอดเงินแล้วกดเมนู จากนั้นจะมีใบเสร็จอกมา เราก็นำใบเสร็จนี้ไปให้พนักงานแล้วรอรับอาหาร เด็ดกว่านั้นคือเวลากดเนี่ย สามารถเลือกได้ว่าจะเพิ่มหมู เพิ่มไข่ ใส่พริก เพิ่มผัก สารพัดจะเพิ่ม จะไฮเทคไปไหนคะเนี่ย

และไม่ใช่แค่อาหารนะคะ ได้ยินว่าเค้ามีตู้ขายร่มด้วย !! คือเวลาฝนตกให้มองหาตู้นี้ไว้ค่ะ หยอดเงินแล้วจะได้ร่มออกมา 5555 ดีอะ หรือแม้แต่เครื่องขายดอกไม้อัตโนมัติ ! หนุ่มๆ คนไหนนัดสาวไว้แต่ลืมพกของติดไม้ติดมือมา หยอดเหรียญไปเลยค่ะ จะมีดอกไม้สวยๆ ออกมา ง่ายจริงๆ ชีวิตคนญี่ปุ่นเนี่ย


พนักงานบริการดีที่สุดในโลก


ถ้าพูดถึงประเทศที่พนักงานมี Service Mind ดีที่สุดในโลก เชื่อเถอะว่าญี่ปุ่นฟาดที่หนึ่งไปครองแบบไร้คู่ต่อสู้ .... วันก่อน พี่เป้ มีโอกาสเข้าไปช้อปปิ้งในร้านเสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดใหม่ที่ไทยร้านหนึ่ง ได้ยินมาว่าพนักงานบริการดีมากกก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด นอบน้อมถ่อมตน เพราะเค้ายึดมาตรฐานแบบเดียวกับที่ญี่ปุ่น (ว้าววว) อย่างเช่นเวลาเราจะไปลองเสื้อผ้าเนี่ย ถ้าเป็นร้านอื่นๆ เค้าก็จะแค่บอกว่า "ห้องลองเบอร์สองค่ะ" แต่ที่ร้านนี้ เค้าจะเดินนำหน้าพาเราไปยังห้องลองแถมยังเปิดประตูให้ด้วยเลยล่ะค่ะ

หรือแม้แต่บนรถไฟก็เถอะ เวลามีคุณป้าขึ้นมาทำความสะอาดรถไฟ คุณป้าแกจะโค้งขออนุญาตผู้โดยสารที่นั่งอยู่ เรียกได้ว่าเดินผ่านผู้โดยสาร 10 คน ป้าแกก็จะโค้ง 10 รอบ ต่อให้ผู้โดยสารนั้นกำลังแคะขี้ฟันหรือนอนกรนอยู่ก็เถอะ เห็นแล้วบอกได้คำเดียวว่า Service Mind แบบนี้ เอาใจไปเลย !!




เครติด

http://www.dek-d.com/content/studyabroad/26218/เรื่องโดนใจ-ที่ไม่มีทางได้เจอที่ไหน-นอกจาก-ญี่ปุ่น.php



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-10-01 20:52:41
142954455


TOMORROW X TOGETHER
cherryjung
#35
01-10-2011 - 20:57:06

#35 cherryjung  [ 01-10-2011 - 20:57:06 ]





7 สุดยอดเทคโนโลยีช่วยไทยรอดภัยน้ำท่วม โดยฝีมือคนไทย...เพื่อคนไทย



ลองนึกภาพว่า ถ้าน้ำท่วมบ้านเราขึ้นมา ไฟฟ้าไม่มี น้ำก็ไม่ไหล โทรศัพท์ก็สัญญาณหาย

จะทำยังไง!!! คงมี 2 อย่างที่พึ่งได้ก็คือ ตัวเอง...และความช่วยจากโลกภายนอก
แต่ 3 สิ่งที่จำเป็น ทั้งไฟฟ้า น้ำ อาหาร มันไม่ใช่จะขนฝ่าน้ำมาหาเราง่ายๆ นะสิ แต่ด้วยภูมิปัญญาไทยนี่แหละ ที่แก้ปัญหานี้ได้ และนี่คือ 7 เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์สุดยอดที่จะช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์โดยความช่วยเหลือของหน่วยงานต่างๆ เป็นผู้คิดค้นขึ้น และส่งไปช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยที่กำลังเดือดร้อน มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง



อันดับที่ 7 ข้าวกระป๋องและแกงสำเร็จรูป

เป็นเทคโนโลยีของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ในการผลิตอาหารบรรจุลงภาชนะปิดสนิทพร้อมรับประทาน ซึ่งจะผ่านกระบวนการสเตอร์ริไลซ์ใช้อุณหภูมิสูงมากกว่า 100 องศาเซลเซียส ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ร่วมกับเทคนิคพิเศษ ไม่ใช่แค่การนำข้าวสุกหรืออาหารสุกไปบรรจุกระป๋องแล้วฆ่าเชื้อ สามารถเก็บไว้ได้นาน 8-12 เดือน เมื่อเปิดกระป๋องรับประทาน ข้าวจะมีลักษณะ สี กลิ่น รส และเนื้อสัมผัสใกล้เคียงกับข้าวสวยที่หุงสุกโดยวิธีปกติ ส่วนการเก็บนั้นถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้อง (20-30 องศาเซลเซส) สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี


อันดับ 6 มุ้งนาโนกันยุง
บ้านใครไม่เคยน้ำท่วม ไม่มีวันรู้ซึ้งถึงความกวนมึนโฮของยุง!!! สิ่งประดิษฐ์อันดับที่ 6 นี้จะมาช่วยขจัดปัญหานั้นได้ภายใน 6 นาที!!
มุ้งนาโนฆ่ายุงนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ซึ่งผสมสาร "เดลตาเมธริน" (Deltamethrin) สารสังเคราะห์เลียนแบบสารในกลุ่ม "ไพเรธรอยด์" (Pyretroid) สารสกัดธรรมชาติจากดอกดาวเรืองและเก๊กฮวย ซึ่งเป็นสารที่ได้รับการแนะนำให้ใช้จากองค์การอนามัยโลก (WHO)
เมื่อตัวรับ (Receptor) ที่ปลายขาของยุง ได้รับสารดังกล่าวจากการชนหรือสัมผัสกับมุ้งที่ผสมสาร จะทำให้ยุงบินช้าลงและตายใน 6 นาที แต่คนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่มีตัวรับสารดังกล่าว จึงไม่ได้รับอันตราย และสามารถทนการซักล้างได้มากกว่า 30 ครั้ง

(ตายจริง ตายเรียบ! ไบก้อนชิดซ้าย!)




อันดับที่ 5 โลชั่นกันยุงนาโน
เป็นผลงานของศูนย์นาโนเทค โดยโลชั่นนี้มีส่วนประกอบจากสมุนไพรที่มีฤทธิ์ไล่ยุง 3 ชนิด คือ น้ำมันตะไคร้หอม น้ำมันแมงลัก และน้ำมันหญ้าแฝก พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีนาโนอีมัลชั่นห่อหุ้มตัวยาดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น คือเมื่อทาแล้วจะมีฤทธิ์ยาวนาน 5 ชั่วโมง ต่างจากยากันยุงทั่วไปที่มีฤทธิ์แค่ 1 ชั่วโมง ที่สำคัญยังสามารถใช้ในเด็กเล็กและทารกได้โดยไม่มีผลข้างเคียง


อันดับ 4 ส้วมกระดาษฉุกเฉิน


เป็นสิ่งประดิษฐ์ทำด้วยวัสดุกระดาษลูกฟูก สำหรับแก้ปัญหาความไม่สะดวกในการใช้ห้องสุขาขับถ่ายในภาวะน้ำท่วม ไม่มีน้ำประปาใช้
ส้วมกระดาษนี้ใช้ง่าย ทนทาน น้ำหนักเบา ราคาถูก แข็งแรง รองรับน้ำหนักกดทับได้ถึง 100 กิโลกรัม เมื่อใช้งานจะต้องมีถุงพลาสติกเป็นส่วนประกอบโดยใส่ไว้ด้านใน เพื่อรองรับของเสียจากร่างกาย ใช้เสร็จแล้วก็เก็บถุงพลาสติกไปทิ้ง เปลี่ยนถุงใหม่


สำคัญสุดๆ คือขนย้ายไปยังที่ประสบภัยง่าย เพราะสามารถพับให้แบนลงได้ตามรูปด้านล่าง


(ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในขณะนั้น
มอบส้วมกระดาษฉุกเฉินให้แก่ผู้ประสบภัยเมื่อครั้งที่น้ำท่วมในปี พ.ศ. 2553)


อันดับ 3 อุปกรณ์ชารจ์โทรศัพท์มือถือแบบพกพา


จากปัญหาอุทกภัยทำให้กระแสไฟฟ้าในพื้นที่ถูกตัดเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างลำบาก โทรศัพท์มือถือเมื่อแบตหมดก็ไม่สามารถชาร์จได้ สวทช. โดยเนคเทค จึงได้ลงพื้นที่เผยแพร่ความรู้แก่ผู้ประสบภัย เรื่องการนำแบตเตอรี่ 12 โวลท์จากรถยนต์มาประยุกต์ใช้ชาร์จมือถือ


อันดับ 2 รถสื่อสารฉุกเฉิน


เมื่อเกิดภัยพิบัติ ระบบการสื่อสารในพื้นที่มักจะถูกตัดขาด เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้า นี่คือปัญหาสำคัญอันดับต้นๆ เลยทีเดียว เพราะการช่วยเหลือจะทันท่วงทีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการติดต่อประสานงานระหว่างคนในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ แม้กระทั่งญาติพี่น้องของผู้ประสบภัยก็คงอยากจะติดต่อเพื่อรู้ความเป็นไป


เนคเทคจึงพัฒนารถสื่อสารฉุกเฉินขึ้น ซึ่งเป็นรถยนต์ที่สามารถเคลื่อนย้ายทางอากาศโดยเฮลิคอปเตอร์ได้ ความสามารถลุยน้ำได้ลึกสุดถึง 70 เซนติเมตร สามารถวิ่งที่ลาดชันด้วยมุมสูงสุด 40 องศา มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและปั่นไฟติดตั้ง ตลอดจนอุปกรณ์แปลงและสำรองไฟในตัวเอง รวม ถึงระบบสื่อสารที่รองรับการเชื่อมชุมสายโทรศัพท์ ทั้งระบบอนาล็อกและดิตอลแบบมีสายและไร้สาย และมีระบบคอมพิวเตอร์พกพาที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย นับว่าเป็นรถยนต์มหัศจรรย์ ทรานส์ฟอร์มเมอร์ของจริง!


อันดับ 1 ข้าวทนน้ำท่วม


จะไม่ยกให้เป็นอันดับ 1 คงไม่ได้ เพราะใน 6 ข้อที่ผ่านมานั้นเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เฉพาะหน้า แต่อันดับ 1 นี้คือการฟื้นฟูหลังน้ำลด ซึ่งก็คือการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่จะทำให้ชาวนาผู้เลี้ยงปากท้องคนทั้งประเทศ 'รอดพ้น' จากภัยน้ำท่วมได้อย่างแท้จริง เพราะภัยที่โหดร้ายที่สุดของน้ำท่วมก็คือ...ความเสียหายที่ตามมาหลังน้ำลดแล้ว
"พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์" คือผลงานของ ไบโอเทค หรือศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ พันธุ์ข้าวดังกล่าวว่าเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ มีคุณสมบัติพิเศษคือทนน้ำท่วมฉับพลันได้นาน 2 สัปดาห์ สามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยไม่จำกัดความลึกของระดับน้ำ อีกทั้งเป็นข้าวที่ไม่ไวแสง สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยในอนาคตจะพัฒนาต่อให้ทนเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ศัตรูตัวฉกาจในนาข้าวเพิ่มเติมด้วย

เห็นแบบนี้แล้วก็ภูมิใจ คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ส่วนพวกเราก็สามาถช่วยกันได้คนละไม้คนละมือ อย่าลืมส่งใจ ส่งแรง หรือส่งเงินตามกำลัง ไปช่วยพี่น้องชาวไทยที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมด้วยนะ!



เครติด

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2277824



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-10-01 20:58:19
142954455


TOMORROW X TOGETHER
Kesara
#36
01-10-2011 - 21:05:26

#36 Kesara  [ 01-10-2011 - 21:05:26 ]




10 พันธุ์พืชที่หายากที่สุดในโลก
1. Amorphophallus titanum ( titan arum) มีขนาดดอกใหญ่ที่สุดในโลกอย่างหนึ่ง รองจากดอกบัวผุด ภายในโคนดอก ประกอบด้วยดอกเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายใน โดยดอกตัวผู้อยู่ด้านบนของดอกตัวเมีย กล่าวได้ว่าดอก Titan Arum เป็นดอกรวมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ดอกเดี่ยวใหญ่ที่สุดในโลก คือดอกบัวผุด) มีต้นใบเดี่ยวใหญ่มากเช่นกัน ดอกของมันจะสูงถึง 3 เมตร กลีบของดอกไม้ศพด้านนอกเป็นสีเขียว ส่วนด้านในเป็นสีแดงอมม่วง มีช่อดอกสูงชะลูดห่อหุ้มเกสร ดอกที่ทั้งใหญ่และเหม็นมากนี้ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ดอกไม้ศพ

2. Dracunculus vulgarisDracunculus vulgaris ต้นและใบลายๆ คล้ายต้นบุกของเราแต่เป็นคนละสายพันธุ์ มีอีกชื่อว่า Voodoo Lily หรือ Dragon Lily เป็นดอกไม้ รูปทรงแปลกๆ อย่างกับใบไม้ยักษ์

3. Nepenthes Tanax เป็นพวกหม้อข้าวหม้อแกง พันธุ์หนึ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes) เป็นพืชกินแมลงประเภทหนึ่ง เนื่องจากเราสามารถพบเห็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ไม่ยากนัก ประกอบกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีสายพันธุ์ (Species) อยู่ประมาณ 90 กว่าชนิด ทั่วโลก ตามเขตโซนร้อนทั่วไป โดยเฉพาะบนเกาะบอร์เนียวพบถึง 30 กว่าชนิด

4. AigretteAigrette มีฉายานกกระสา มีลักษณะต้นและดอกคล้ายดอกหญ้า เพราะดอกของมันดูคล้ายฝูงนกที่กำลังโบยบิน


5. Venus flytrap Venus flytrap ฉายาเทพธิดาดักแมลง เป็นพวกพืชกินแมลง ต้นนี้มีสีสันสวยงามกว่าพันธุ์อื่น เมืองไทยเราเรียก กาบหอยแครง เจ้า venus flytrap นี้ ต้นกำเนิดของมันอยู่ที่อเมริกาเท่านั้น และจะพบมันได้ใน 2 รัฐเท่านั้น คือทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ North carolina และทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ south carolina เท่านั้น venus flytrap จะมีการพักตัวด้วยเมื่อถึงฤดูหนาว วิธีการดักแมลงกันของมัน จะใช้บริเวณกาบนี่แหละที่จะงับแมลงได้ เมื่อแมลงบินมาเกาะที่กาบเพื่อกินน้ำหวานที่ผลิตออกมาจากต่อมน้ำหวาน ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินกับการบริโภคอยู่นั่นเอง ตัวของมันก็จะบังเอิญไปสัมผัสกับขนเล็กๆ ที่อยู่บริเวณด้านในกาบ ในเวลาไม่ถึงวินาที กาบก็จะปิดลงทันที เมื่อแมลงยิ่งดิ้นกาบก็จะงับแน่นขึ้น แน่นขึ้น หลังจากหุบไปหลายวัน เพื่อย่อยเหยื่อ แล้วเจ้ากาบใบนั้นก็จะค่อยๆ เปิดออกเพื่อต้อนรับแมลงตัวใหม่ที่จะมาเยือนอีกครั้ง venus flytrap เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเล่นไม้กินแมลงเมืองไทย


6. Drosera capensis
Drosera capensis เป็นพันธุ์หนึ่งของไม้ประเภท หยาดน้ำค้าง เพราะที่ขนบนใบจะมีตุ่มอยู่บนยอดคล้ายน้ำค้างเกาะ ที่เมืองไทยเราพอมีเลี้ยงกันอยู่จะเป็น species - Drosera binata ที่เรียกกันว่า "หยาดน้ำค้างใบส้อม" หรือ “หยาดน้ำค้างเขากวาง” มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และสามารถทนอุณหภูมิได้ค่อนข้างสูง จนนิยมจัดไว้ในกลุ่มไม้เมืองร้อน โดยไม่ทิ้งใบเลยทั้งปี


7. Rafflesia arnoldii ถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70-80 เซนติเมตร เป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยกินน้ำเลี้ยงจากรากและลำต้นของไม้เถาที่ชื่อว่า ย่านไก่ต้ม ( Tetrastigma papillosumplanch ) จะโผล่เฉพาะดอก

8. Tacca chantrieri Tacca chantrieri เป็นไม้จำพวก Black Lily ที่เรามาประดับบ้าน มีชื่ออื่นๆอีกเช่น ว่านหัวฬา ว่านพังพอน (ยะลา) ว่านนางครวญ (นครศรีธรรมราช) และค้าวคาวดำ ลำต้น เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก ขอบขนานแผ่ใบกว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 20-60 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม ก้านใบค่อนข้างเล็ก กลม ยาวประมาณ 1 คืบ เส้นใบคล้ายใบกล้วย แต่ร่องลึกและแคบกว่า ดอกมีสีม่วงดำคล้ายหัวค้างคาว กลีบเหมือนหูโตๆ ใบประดับกลมยาวเหมือนหนวดแมว สีม่วงดำ 10-25 เส้น เกิดในป่าดงดิบชื้น สูง 500-1500 เมตร


9. Strangler fig

Strangler fig คือกาฝากชนิดหนึ่ง เป็นไม้เถาวัลย์อาศัยดูดซับสารอาหารจากต้นไม้อื่นและเจริญเติบโตขึ้นอย่าง ช้าๆ เหมือนกาฝาก แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก พอๆกับต้นที่มันเกาะอาศัยอยู่ทีเดียว รากของมันไม่ได้แค่เกาะไปกับต้นไม้ที่มันอาศัย แต่จะพันรัดไปรอบทั้งลำต้นเลยทีเดียว จนในที่สุดโอบรัดต้นไม้ใหญ่และสังหารต้นที่มันอาศัยเสีย เมื่อตัวมันเติบโตเต็มที่ ทำให้ได้ฉายา Strangler (สแทรงเกลอร์ฟิก) หรือนักบีบรัด นั่นเอง ที่จริงพฤติกรรมโหดๆแบบนี้ ไม่น่าหายาก หรือใกล้สูญพันธ์เลยนะ


10. Lunaria annua
Lunaria annua มีลักษณะใบที่แปลกกว่าใบไม้อื่นๆ แต่ค้นรายละเอียดไม่ได้เลยครับ ดูแต่รูปไปก่อน ถ้าค้นเจอเมื่อไหร่จะตามมาเล่าให้ฟัง
ครับ

142954455

cherryjung
#37
01-10-2011 - 21:05:41

#37 cherryjung  [ 01-10-2011 - 21:05:41 ]





>>++10 อันดับสัตว์ที่มีอายุสั้นที่สุดในโลก++<<


10. กระต่าย

อายุขัย เฉลี่ย 5 ปี กระต่ายเป็นสัตว์ที่น่ารักของทุกคนตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ และใครล่ะจะไม่ชอบเจ้าสัตว์น่ารักจนฟูน่ากอดอย่างตัวนี้ แต่นับเป็นความโชคร้ายของกระต่ายที่มันไม่สามารถมีความสุขกับเราได้นาน เพราะอายุขัยของมันนั้นยาวประมาณ 5 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นเวลาที่สั้นมาก แต่เพื่อทดแทนอายุที่สั้นของมัน กระต่ายได้พัฒนาความเร็วในการออกลูกออกหลานที่รวดเร็วจนเรามีคำเปรียบเปรยว่า "ออกลูกเร็วเหมือนกระต่าย" เลยทีเดียว ซึ่งความเร็วในการออกลูกของกระต่ายนั้นก็เป็นปัญหาในบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ที่พวกมันถูกนำเข้ามาในประเทศและได้กลายเป็นสัตว์รบกวนตัวฉกาจ เพราะพวกมันไม่มีผู้ล่าตามธรรมชาติแถวนั้น ทางการออสเตรเลียก็ได้พยายามที่จะจำกัดจำนวนของกระต่ายด้วยการนำแมวเข้ามา และช่างโชคร้ายของแดนจิงโจ้เหลือเกินที่ต่อมาแมวก็ได้กลายเป็นสัตว์รบกวนล้นจำนวนอีกชนิด


9. แฮมสเตอร์และหนูตะเภา

อายุขัย เฉลี่ย 4 ปี เจ้าแฮมสเตอร์สัตว์ยอดนิยมของโรงเรียนและญาติยักษ์ใหญ่ของมัน หนูตะเภาได้เข้ามาในอันดับที่เก้าด้วยอายุขัยประมาณ 2-4 ปี เจ้าหนูแฮมเตอร์โดยเฉพาะ แฮมเตอร์ซีเรียน เป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่สามารถออกลูกได้เร็วซึ่งพวกมันผสมพันธุ์หลายครั้งต่อปีและให้กำเนิดลูกหลายครอก นอกจากแฮมเตอร์จะน่ารักน่ากอดแล้ว พวกมันยังสามารถเก็บอาหารไว้ในแก้มทั้งสองข้างและถีบจักรได้อีกด้วย สำหรับคนที่โชคร้ายโดนมันกัดก็คงรู้ว่าเจ้าแฮมเตอร์นี้กัดเจ็บแค่ไหน ส่วนหนูตะเภาที่เหมือนรุ่นพี่ของแฮมเตอร์นั้นอาจจะไม่ชอบถีบจักรเหมือนรุ่นน้อง แต่มันก็มีชื่อเสียงในการทำเสียงแปลกๆเมื่่อตกใจหรือตื่นเต้น


8. หนูบ้าน

อายุขัยเฉลี่ย : 1 -- 3 ปี สัตว์ตัวกระจิ๋วที่แทบจะไม่มีใครต้องการ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มนุษย์เริ่มเลี้ยงแมวและเริ่มประดิษฐ์กับดักหนูขึ้น หนำซ้ำ เมื่อเจ้าหนูพวกนี้มาอาศัยอยู่ในบ้านแล้วก็ยากที่จะไล่ไปอีกด้วย ซึ่งนานวันเข้าพวกมันจะออกลูกออกหลานมาบานตะไท นอกจากนี้ หนูตัวกระเปี๊ยกยังเป็นที่หวาดกลัวของคนหลายคน เพราะมันสามารถ กระโดด, ไต่ , วิ่ง และว่ายน้ำได้อีกตัว ถึงหนูจะดูสุดยอดแต่ พวกมันไม่สามารถมองเห็นสีได้ เพื่อทดแทนสิ่งนั้น หนูได้พัฒนาการให้มีการฟังที่ดีเยี่ยม ซึ่งมันสามารถฟังเสียงอัลตราซาว์ดได้ หนูตัวเมียนั้นสามารถผสมพันธุ์ ได้ทุกๆ 15-20 วัน และเกิดอารมณ์ได้ทุกครั้งเมื่่อได้กลิ่นปัสสาวะของตัวผู้ แต่ละครั้ง หนูออกลูกประมาณ 5-10 ตัวซึ่งนี้อาจจะเป็น เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงชอบโผล่ออกมาเซย์ฮัลโหลกันหน้าสลอน เพราะความที่ไม่เป็นต้องการของมนุษย์อย่างเราๆ และเป็นอาหารสุดโปรดของนักล่าเกือบทุกสายพันธุ์นี้ทำให้อายุขัยของหนูอยู่ที่ประมาณ 1-3 ปี


7. ปลาหางนกยุง

อายุขัยเฉลี่ย 2 ปี เป็นที่รู้จักกันในชื่อ แกมบูเซีย ปลาหางนกยูงมีถิ่นกำเหนิดในอ่าวเม็กซิโก พวกมันมีอายุขัยสั้นประมาณ 2 ปีเท่านั้น ปลาหางนกยูงนั้นเป็นปลกที่อึดพอตัว นอกจากนี้ พวกมันยังสามารถอาศัยอยู่ในน้ำเค็มและน้ำที่ร้อนถึง 42 องศาเซลเซียส ในช่วงสั้นๆได้ีอีกด้วย ปลาหางนกยูงนั้นไม่ออกไข่เหมือนปลา แต่จะออกลูกเป็นตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตัวเมียนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ซึ่งอาจจะยาวถึง 7 เซนติเมตร ในขณะที่ตัวผู้นั้นยาว 4 เซ็นติเมตร ปลกหางนกยูงเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งทำให้พวกมันสามารถออกลูกออกหลานได้เยอะและลูกๆมีโอกาสรอดสูง ซึ่งพวกมันจะออกลูกครั้งล่ะ 50-100 ตัว


6. ไรแดง, โอพอซซัม และกิ้งก่าคามีเลี่ยน

อายุขัยเฉลี่ย : ~ 1 ปี ไรแดง , โอพอซซัมและกิ้งก่าคามีเลียนอาจจะเป็นสัตว์ที่ต่างกันสุดขั้ว แต่พวกมันมีอายุขัยที่เท่ากัน คือ 1 ปีเท่านั้น มาเริ่มที่ไรแดงกันก่อน ถ้าใครเลี้ยงปลาก็คงจะรู้จักเจ้าตัวนี้เป็นแน่ เพราะไรแดงเป็นสัตว์น้ำเค็มตัวกระจิ๋วที่เป็นอาหารของปลา เจ้าสัตว์ที่น่าสงสารนี้เป็นญาติกับปูและลอสเตอร์ ด้วยเหตุที่ไรแดงตัวกระเปี๊ยก มันจึงอยู่อันดับล่างๆของห่วงโซ่อาหารและมีอายุสั้น ด้วยสาเหตุจากที่มันมีอายุสั้น มันจึงได้พัฒนาการออกลูกที่รวดเร็วเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ตัวเองเอาไว้ กิ่งก่าคามิเลี่ยน จากการศึกษาในปัจจุบัน เจ้ากิ่้งก่าเปลี่ยนสีได้ จะเติมโตอย่างรวดเร็ว และผสมพันธุ์ในเดือนถัดๆมา เช่นพวกมันเกิดเมื่อเดือน พฤศจิกายน และจะผสมพันธุ์ในเดือน มกราคม-กุมภาพันธุ์ เพราะฉะนั้นเจ้ากิ่งก่าคามิเลี่ยนนี้จะไม่มีวันได้พบหน้าพ่อแม่ตอนเกิดมาเลย เพราะรุ่นพ่อแม่ของมัน จะตายหมดก่อนที่รุ่นลูกจะได้เกิดมาเสียอีก ไอพอซซัมอเมริกา เป็นสัตว์พื้นเมืองของอเมริกาตามชื่อของมัน พวกมันเป็นสัตว์ตัวเล็กที่มีขนาดเท่าแมวซึ่งมีหน้าขาว , หางที่เหมือนหนู ซึ่งช่วยให้มันโหนตัวลงมาจากต้นแม้ได้และมีขนสีเทา นอกจากนี้ โอพอซซัมอเมริกามีอายุขัยอยู่ที่ประมาณ 4 ปี แต่พวกมันจะตายในปีแรกๆ ทำให้อายุขัยโดยรวมนั้นเท่ากับ 1 ปี โอพอสซั่มอเมริกานั้นเป็นสัตว์ที่หน้าแปลก , นิสัยแปลกแล้วยังอายุสั้นที่สุดในโลกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนำ


5. แมลงปอ

อายุขัย : 4 เดือน แมลงปอมีรูปร่างเหมือนเฮลิคอปเตอร์ย่อส่วน ซึ่งพวกเรามักจะเห็นมันบินฉวัดเฉวียนไปมาแถวบ่อน้ำในหน้าร้อน ซึ่งพวกมันใช้เวลาที่มีอยู่สั้นๆบนโลก หมดไปกับการหาอาหารและผสมพันธุ์ ถึงแม้ว่าแมลงปออาจจะอยู่ในคราบของตัวอ่อนถึง 5 ปีเพื่อรอเวลาเหมาะที่จะโตเต็มที่ แต่เวลาที่มันใช้บนโลกเมื่อโตเต็มที่นั้นจะยาวนานแค่ 4 เดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้นครั้งต่อไปที่คุณเห็นแมลงปอก็อย่าไปจับมันมามัดเชือกแล้วปล่อยไปให้บินรอบๆล่ะ เพราะเจ้าสัตว์พวกนี้ ใช้เวลานานกว่าจะโตได้ และเมื่อโตแล้ว พวกมันก็มีเวลาไม่นานที่จะได้ชมความสวยงามของโลกใบนี้มากนัก


4. แมลงวัน และ ผึ้งงาน

อายุขัย : 4 อาทิตย์ แมลงวันและผึ้งงานเข้ามาที่ 4 ด้วยอายุขัยนานเท่ากันก็คือ 4-5 สัปดาห์ ถึงแม้ว่าเจ้าสัตว์พวกนี้จะอายุสั้น แต่พวกมันก็ทำงานหนักไม่เบาตลอดช่วงอายุของมัน แมลงวันนั้นจะฟักเป็นตัวและกลายเป็นหนอนในเวลา 24 ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นมันก็จะกลายเป็นแมลงวันโตเต็มตัวในไม่กี่วันต่อมา ซึ่งหลังจากนั้นมันก็จะเริ่มหาอาหารและผสมพันธุ์ ในขณะที่วิถีชีวิตของแมลงวันนั้นดูจะไม่ถูกต้อนรับจากมนุษย์อย่างพวกเรา ส่วนผึ้งงานที่น่าสงสารที่ทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นตัวเมีย และใช้ชีวิตของมันทำงานดังเช่นชื่อของมัน อีกทั้งผึ้งงานยังต้องปกป้องรังของมันด้วยการต่อยผู้ที่เข้ามารุกราน ซึ่งการต่อยนี้ก็เหมือนกับการตัดอายุขัยของมัน เพราะเมื่อผึ้งต่อย เหล็กในก็จะลากเอาเครื่องในของมันออกมาด้วย ทำให้มันมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นี่อาจจะเป็นที่มาของผึ้งนักฆ่าที่อาจจะต้องการประท้วงในความไม่ยุติธรรมของชีวิตก็เป็นได้


3. มดตัวผู้

อายุขัย : 3 สัปดาห์ มดตัวผู้นั้นจะมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่เหมือนกับตัวเมีย เพราะตั้งแต่เกิดมา หน้าที่ของมดตัวผู้นั้นก็คือ กินและสืบพันธุ์ ซึ่งเวลาเกิดของมดตัวผู้นั้นจะเป็นช่วงเดียวกับมดตัวเมีย เมื่อฤดูผสมพันธุ์มาถึง มดตัวผู้จะงอกปีกเพื่อบินไปผสมพันธุ์กับตัวเมียระหว่างทาง และเมื่อผสมพันธุ์เสร็จ หน้าที่ของตัวเมียก็คือไปหารังและเริ่มอาณาจักรของมันเอง แต่สำหรับตัวผู้แล้ว เมื่อเสร็จการผสมพันธุ์ หน้าที่ของมันก็จะจบลง ซึ่งก็หมายถึงความตายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเกิด ดูเหมือนว่าข้อแลกเปลี่ยนของความหรูหราสะดวกสบายในชีวิตของมดตัวผู้นั้นก็คืออายุขัยสั้นนี่เอง


2. Gastrotrichs

อายุขัย: 3 วัน Gastrotrichs แก็สโทรทริชส์ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีซ ที่มีความหมาย 2 คำคือ Gaster แปลว่า กระเพาะ และคำว่า Thrix แปลว่า ผม ซึ่งมาจากลักษณะของร่างกายของมันมีลักษณะที่คล้ายเส้นผมที่มีกระเพาะ มันเป็นสัตว์น้ำตัวเล็กจิ๋วที่มองเห็นได้โดยกล้องจุลทรรศ์ซึ่งพวกมันเป็นสัตว์ขนาดเล็ก มีความยาวเพียง 0.06 - 3 มิลลิเมตร สามารถพบได้ทั้งในน้ำจืด และน้ำทะเล ถึงแม้ว่าพวกมันมีหลายสายพันธุ์แต่ทั้งหมดมีอายุขัยสั้นเหมือนกันหมด โดยวิถีชีวิตของ Gastrotrichs นั้นก็ง่ายๆ ลอยไปมาในน้ำ , ขึ้นสู่ผิวน้ำบางครั้งก่อนที่จะกลับลงมากับกระแสน้ำ, กินและทำโน่นนี่นั่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ Gastrotrichs ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนของชีวิตสุดเรียบง่ายด้วยอายุขัยที่สั้นเพียง 3 วันเท่านั้น


1. Mayflies ( แมงชีปะขาว )

อายุขัย: ประมาณ1-24 ชม. วันชีปะขาว หรือชีผะขาวก็เรียก ชีผ้าขาวก็เรียก หรือเมย์ฟลายส์ (mayflies) ชื่อวิทยาศาสตร์ เอพฮีมีรอบเทอรา (Ephemeroptera) ตัวขนาดเล็กถึงกลาง ปีกบางมีเส้นมากมาย ปีกคู่แรกใหญ่กว่าคู่หลัง ตัวเมียวางไข่ในน้ำ ตัวอ่อนรูปร่างเรียวยาวอาศัยในน้ำนาน 1-2 ปี ลอกคราบหลายครั้งจนเป็นแมลงโตเต็มวัย มีปีก ชอบเล่นไฟ มันมีอายุเพียง 1-2 วันเท่านั้น ไม่กินอาหาร ผสมพันธุ์แล้วตาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : toptenthailand.com

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://campus.sanook.com



เครติด

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2278500




TOMORROW X TOGETHER
Kesara
#38
01-10-2011 - 21:08:03

#38 Kesara  [ 01-10-2011 - 21:08:03 ]




quote : Kesara

10 พันธุ์พืชที่หายากที่สุดในโลก
1. Amorphophallus titanum ( titan arum) มีขนาดดอกใหญ่ที่สุดในโลกอย่างหนึ่ง รองจากดอกบัวผุด ภายในโคนดอก ประกอบด้วยดอกเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายใน โดยดอกตัวผู้อยู่ด้านบนของดอกตัวเมีย กล่าวได้ว่าดอก Titan Arum เป็นดอกรวมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ดอกเดี่ยวใหญ่ที่สุดในโลก คือดอกบัวผุด) มีต้นใบเดี่ยวใหญ่มากเช่นกัน ดอกของมันจะสูงถึง 3 เมตร กลีบของดอกไม้ศพด้านนอกเป็นสีเขียว ส่วนด้านในเป็นสีแดงอมม่วง มีช่อดอกสูงชะลูดห่อหุ้มเกสร ดอกที่ทั้งใหญ่และเหม็นมากนี้ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ดอกไม้ศพ

2. Dracunculus vulgarisDracunculus vulgaris ต้นและใบลายๆ คล้ายต้นบุกของเราแต่เป็นคนละสายพันธุ์ มีอีกชื่อว่า Voodoo Lily หรือ Dragon Lily เป็นดอกไม้ รูปทรงแปลกๆ อย่างกับใบไม้ยักษ์

3. Nepenthes Tanax เป็นพวกหม้อข้าวหม้อแกง พันธุ์หนึ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes) เป็นพืชกินแมลงประเภทหนึ่ง เนื่องจากเราสามารถพบเห็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ไม่ยากนัก ประกอบกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีสายพันธุ์ (Species) อยู่ประมาณ 90 กว่าชนิด ทั่วโลก ตามเขตโซนร้อนทั่วไป โดยเฉพาะบนเกาะบอร์เนียวพบถึง 30 กว่าชนิด

4. AigretteAigrette มีฉายานกกระสา มีลักษณะต้นและดอกคล้ายดอกหญ้า เพราะดอกของมันดูคล้ายฝูงนกที่กำลังโบยบิน


5. Venus flytrap Venus flytrap ฉายาเทพธิดาดักแมลง เป็นพวกพืชกินแมลง ต้นนี้มีสีสันสวยงามกว่าพันธุ์อื่น เมืองไทยเราเรียก กาบหอยแครง เจ้า venus flytrap นี้ ต้นกำเนิดของมันอยู่ที่อเมริกาเท่านั้น และจะพบมันได้ใน 2 รัฐเท่านั้น คือทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ North carolina และทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ south carolina เท่านั้น venus flytrap จะมีการพักตัวด้วยเมื่อถึงฤดูหนาว วิธีการดักแมลงกันของมัน จะใช้บริเวณกาบนี่แหละที่จะงับแมลงได้ เมื่อแมลงบินมาเกาะที่กาบเพื่อกินน้ำหวานที่ผลิตออกมาจากต่อมน้ำหวาน ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินกับการบริโภคอยู่นั่นเอง ตัวของมันก็จะบังเอิญไปสัมผัสกับขนเล็กๆ ที่อยู่บริเวณด้านในกาบ ในเวลาไม่ถึงวินาที กาบก็จะปิดลงทันที เมื่อแมลงยิ่งดิ้นกาบก็จะงับแน่นขึ้น แน่นขึ้น หลังจากหุบไปหลายวัน เพื่อย่อยเหยื่อ แล้วเจ้ากาบใบนั้นก็จะค่อยๆ เปิดออกเพื่อต้อนรับแมลงตัวใหม่ที่จะมาเยือนอีกครั้ง venus flytrap เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเล่นไม้กินแมลงเมืองไทย


6. Drosera capensis
Drosera capensis เป็นพันธุ์หนึ่งของไม้ประเภท หยาดน้ำค้าง เพราะที่ขนบนใบจะมีตุ่มอยู่บนยอดคล้ายน้ำค้างเกาะ ที่เมืองไทยเราพอมีเลี้ยงกันอยู่จะเป็น species - Drosera binata ที่เรียกกันว่า "หยาดน้ำค้างใบส้อม" หรือ “หยาดน้ำค้างเขากวาง” มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และสามารถทนอุณหภูมิได้ค่อนข้างสูง จนนิยมจัดไว้ในกลุ่มไม้เมืองร้อน โดยไม่ทิ้งใบเลยทั้งปี


7. Rafflesia arnoldii ถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70-80 เซนติเมตร เป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยกินน้ำเลี้ยงจากรากและลำต้นของไม้เถาที่ชื่อว่า ย่านไก่ต้ม ( Tetrastigma papillosumplanch ) จะโผล่เฉพาะดอก

8. Tacca chantrieri Tacca chantrieri เป็นไม้จำพวก Black Lily ที่เรามาประดับบ้าน มีชื่ออื่นๆอีกเช่น ว่านหัวฬา ว่านพังพอน (ยะลา) ว่านนางครวญ (นครศรีธรรมราช) และค้าวคาวดำ ลำต้น เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก ขอบขนานแผ่ใบกว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 20-60 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม ก้านใบค่อนข้างเล็ก กลม ยาวประมาณ 1 คืบ เส้นใบคล้ายใบกล้วย แต่ร่องลึกและแคบกว่า ดอกมีสีม่วงดำคล้ายหัวค้างคาว กลีบเหมือนหูโตๆ ใบประดับกลมยาวเหมือนหนวดแมว สีม่วงดำ 10-25 เส้น เกิดในป่าดงดิบชื้น สูง 500-1500 เมตร


9. Strangler fig

Strangler fig คือกาฝากชนิดหนึ่ง เป็นไม้เถาวัลย์อาศัยดูดซับสารอาหารจากต้นไม้อื่นและเจริญเติบโตขึ้นอย่าง ช้าๆ เหมือนกาฝาก แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก พอๆกับต้นที่มันเกาะอาศัยอยู่ทีเดียว รากของมันไม่ได้แค่เกาะไปกับต้นไม้ที่มันอาศัย แต่จะพันรัดไปรอบทั้งลำต้นเลยทีเดียว จนในที่สุดโอบรัดต้นไม้ใหญ่และสังหารต้นที่มันอาศัยเสีย เมื่อตัวมันเติบโตเต็มที่ ทำให้ได้ฉายา Strangler (สแทรงเกลอร์ฟิก) หรือนักบีบรัด นั่นเอง ที่จริงพฤติกรรมโหดๆแบบนี้ ไม่น่าหายาก หรือใกล้สูญพันธ์เลยนะ


10. Lunaria annua
Lunaria annua มีลักษณะใบที่แปลกกว่าใบไม้อื่นๆ แต่ค้นรายละเอียดไม่ได้เลยครับ ดูแต่รูปไปก่อน ถ้าค้นเจอเมื่อไหร่จะตามมาเล่าให้ฟัง
ครับ




cherryjung
#39
01-10-2011 - 21:13:30

#39 cherryjung  [ 01-10-2011 - 21:13:30 ]





โทษทีนะค่ะ !

ไม่ได้ดูว่าจำกัดได้ 2 เรื่อง

งั้นเรื่องที่ >>++10 อันดับสัตว์ที่มีอายุสั้นที่สุดในโลก++<<

ไม่ต้องให้ดาวนะค่ะ !



TOMORROW X TOGETHER
ainomoto
#40
01-10-2011 - 21:14:36

#40 ainomoto  [ 01-10-2011 - 21:14:36 ]




อันนี้ดีกว่า สตีฟ พี. จ๊อบส์ (Steven P.Jobs) เป็นหนึ่งในผู้บริหารสูงสุด ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ขององค์กร และเขากล่าวว่า"ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดการ แต่เป็นผู้นำ"และแนวคิดของเขาในการเป็นผู้นำนั้นอยู่ที่ "การเลือกคนที่ดีที่สุด ที่สามารถทำได้ และส่งเสริมให้พวกเขาสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสามารถทำงานได้ดี"

"แต่ทีมงานของแอปเปิ้ล"นักวิเคราะห์กล่าว "จะเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการบรรลุความสำเร็จอย่างต่อเนื่องโดยไม่มี จ๊อบส์นำ"

จ๊อบส์ ..ผู้ซึ่งประกากศในวันพุธที่ผ่านมาว่าเขาได้ก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารของ แอ๊ปเปิ้ล (Apple)และได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่เขากลับไปยังบริษัท ฯ ในปี 1997" ว่ารูปแบบความเป็นผู้นำของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปทุกปี พร้อมๆกับประสบการณ์การทำงานของเขา"

ในระยะแรกๆของเขาที่แอปเปิ้ล ก่อนที่จะถูกบังคับให้ออกในปี 1985 จ๊อบส์เผชิญกับเรื่องฉาวโฉ่ เพราะความที่เขาชอบ "ลงมือทำ"ด้วยตนเอง--การเข้าไปยุ่งกับรายละเอียดของเพื่อนร่วมงาน ทำให้พวกเขาไม่พอใจ เช่นครั้งแรกที่ พิกซ่า (Pixar)--สตูดิโอคอมพิวเตอร์ แอนนิเมชั่น ที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้น และหลังจากได้รับโอกาสเป็นครังที่สองในแอปเปิ้ล เขาฟังเสียงสมาชิกมากขึ้นและไว้วางใจในการออกแบบของทีมงานธุรกิจของเขามากขึ้น

ในปีที่ผ่านมาบทบาทล่าสุดของจ๊อบส์ ได้รับการยอมรับมากขึ้นว่าเป็น "ผู้นำองค์กรที่มีพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะ" ไมเคิล ฮอกลีย์ นักเปียโนมืออาชีพและนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่ทำงานร่วมกับจ๊อบส์เป็นเวลานานกล่าวว่า "สตีฟทำงานได้ดีมาก ในการสรรหาฐานของพรสวรรค์ที่กว้างและลึก"

ที่พิกซ่า (Pixa)ร่วมกับทีมงานผู้นำที่แข็งแกร่ง ในสตูดิโอที่ไม่เคยพลาดในทุกโอกาสแห่งชัยชนะ และพวกเขาได้สร้างรางวัลแห่งความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ ครั้งแล้วครั้งเล่า"รวมทั้ง "Finding Nemo"และ"Wall-E" นานหลังจากที่จ๊อบส์ได้กลับไปที่แอปเปิ้ลแล้ว

"มันไม่ได้หมายความว่านั่นคือความแน่นอน" นักวิเคราะห์กล่าว "ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปหมดสำหรับแอปเปิ้ล เพราะจ๊อบส์ เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่พิกซ่า(Pixa)มาตลอด"

การตัดสินใจด้านความคิดสร้างสรรค์อยู่ที่ จอห์น ลาสเซเตอร์ (John Lasseter)เมื่อพิกซ่า(Pixa)ถูกขายให้กับดิสนีย์ด้วยมูลค่า$7,400,000,000(เจ็ดพันสี่ร้อยล้านเหรียญดอลล่าร์)ในปี 2006

ที่แอปเปิ้ล ..จ๊อบส์มีอิทธิพลมากและโดยตรง..เขาคือผู้ที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการออกแบบผลิตภัณฑ์

"ข่าวดีสำหรับแอปเปิ้ลก็คือ" โปรเฟสเซอร์ เดวิด บี ยอฟฟี (David B.Yoffie)จากคณะธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์กล่าว "โรดแม๊พ ของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมนี้ยังไปได้สวยมากในสองสามปีนี้ เพราะผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 80 ถึง 90 ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาในช่วงเวลานั้นจะเหมือนๆกัน..แม้ไม่มีสตีฟ"

"ความท้าทายที่แท้จริงสำหรับแอปเปิ้ล"โปรเฟสเซอร์ ยอฟฟี กล่าวต่อไปว่า"จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากโรดแม๊พ ที่ผู้นำใหม่ของแอปเปิ้ลจะต้องเป็นผู้เลือก สร้างหนทางใหม่ และการจัดการใหม่ ของธุรกิจในอนาคต"

ผู้นำคนใหม่ที่ สตีฟ จ๊อบส์เลือกให้ทำหน้าที่แทนเขาคือ นาย ทิโมธี คุค (Timothy Cook)ผู้ซึ่งเคยเป็น "Chief operating officer"ของ บริษัท ซึ่งมีผลงานเป็นที่น่าประทับใจในระหว่างที่จ๊อบส์เข้าทำการรักษาพยาบาลแต่ทักษะของเขานั้นคือ "ผู้เชี่ยวชาญด้านการดำเนินงาน มากกว่าจะเป็นผู้นำทีมงานการออกแบบผลิตภัณฑ์" --ซึ่งเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวของจ๊อบส์

"การออกแบบของเขา" สตีฟ จ๊อบส์ อธิบายว่า "มีรูปแบบมาจากความเข้าใจของเขาทั้งเรื่องเทคโนโลยี(technology)และวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยม (popular culture)การศึกษาของเขาและสถาบัน ที่ไม่เจาะกลุ่มเป้าหมาย ..คือคู่มือของเขาใช้"
" และสตีป จ๊อบ เป็นมะเร็งที่ตับอ่อนจ้า เสียดายจัง


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-10-01 21:21:18
142954455


ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 27th June 2024 13:56

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ