โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
คลับคนรักสุขภาพครับ Healty Club ^_^ 20 คนแรกได้ดาว เหลือ 8 คน
koko_191
#101
26-08-2011 - 18:28:31

#101 koko_191  [ 26-08-2011 - 18:28:31 ]





ดัน

mmjjSense

tagger
#102
26-08-2011 - 18:59:13

#102 tagger  [ 26-08-2011 - 18:59:13 ]




น้องเซ้นท์ถ้าพี่อยากเป็นV.I.Pต้องทำไงหรอ(ถามเล่นๆอ่ะนะ)


wawa42
#103
26-08-2011 - 19:04:35

#103 wawa42  [ 26-08-2011 - 19:04:35 ]





สมัคด้วยค่ะ



เน็ตกากมากจ้าา
punrinrada
#104
26-08-2011 - 19:11:43

#104 punrinrada  [ 26-08-2011 - 19:11:43 ]




quote : BunnieZ

quote : punrinrada

เราปวดตาบ่อยอะจะแก้ยังไงค่ะ


ถ้ามึนๆแล้วปวดตา อาจจะมาจากการที่อยู่หน้าคอมเป็นเวลานานเกินไปก็ได้นะครับ แนะนำว่า ควรพักสายตาออกจากจอคอมบ้างทุกๆ 1 ชั่วโมง เป็นเวลา 5-15 นาทีนะครับ มองอะไรที่เป็นสีเขียวๆเข้าไว้ พวกต้นไม้ ใบหญ้า แล้วก็มองวิวทิวทัศน์ที่อยู่ออกไปไกลๆ

วิธีการผ่อนคลายตาจากการล้า ก็มีหลายวิธีนะครับ ง่ายที่สุดเลยคือ ถูฝ่ามือให้อุ่นร้อน แล้ววางลงบนเปลือกตา ทำอย่างนี้สัก 3-4 ครั้ง ก็จะช่วยให้ตาคลายจากอาการล้าลงไปได้บ้าง

หรือใช้ใบบัวบก บดเป็นลูกประคบแล้วคลึงบนตาเบาๆก็ได้นะครับ หรือใช้แตงกวาก็ได้ ฝานบางๆแล้ววางบนเปลือกตา หรือ เอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆแช่น้ำอุ่น บิดให้หมาดๆหน่อย แล้ววางประคบตาก็ได้ครับ ช่วยได้เหมือนกัน

ไม่ต้องให้ดาวพี่ก็ได้นะครับ น้องเซนต์ ถ้าอยากให้ดาว เก็บไว้ให้คนที่เค้าตั้งใจโพสหรือนำสาระดีๆมาฝากดีกว่านะครับ


ขอบคุณค่ะที่ให้คำแนะนำ


BunnieZ
#105
26-08-2011 - 22:11:26

#105 BunnieZ  [ 26-08-2011 - 22:11:26 ]








quote : lovemiku

สมัครด้วย
ขี้เกียจป่วย เป็นโรคประจำตัว คือ ภูมิแพ้


ถ้ามีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ แนะนำว่า ควรทานผักผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยเยอะๆนะครับ เพราะระบบภูมิคุ้มกันร่างกายส่วนมากสร้างมาจากระบบการขับถ่ายที่ดี แล้วแนะนำว่า ควรกินผักผลไม้สีส้มอย่าง แครอท ส้ม ฟักทอง เพิ่ม เพราะ สีส้มของอาหารเหล่านี้จะช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันนะครับ

เครื่องกรองอากาศก็สำคัญเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ฝุ่น ไรฝุ่น หรือละอองเกสร ถ้าทางครอบครัวไม่มีปัญหาหรือขัดสนด้านการเงิน ก็แนะนำให้มีไว้อย่างน้อยสัก 1 เครื่องในห้องนอนนะครับ แล้วก็แนะนำว่าเป็นยี่ห้อ Atmosphere ของแอมเวย์ เพราะดีที่สุดแล้วจริงๆ ทั้งด้านคุณภาพ เทคโนโลยี การรับประกัน การใช้ในระยะยาว การประหยัดไฟ เห็นราคาแล้วเหมือนจะแพง แต่ถ้าเทียบกับการลดโอกาสเสี่ยงที่จะต้องเข้าผ่าตัดเพราะไซนัส หรือ โพรงจมูกอักเสบแล้วล่ะก็ ถูกมากๆครับ

เรื่องการออกกำลังกาย และ การพักผ่อน ก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคนนะครับ ไม่ใช่แค่คนที่สุขภาพไม่ดีกรือป่วยง่ายเท่านั้น ควรจัดเวลาเพื่อการออกกำลังกายเล็กน้อยๆ เล่นกีฬาบ้าง เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงโดยองค์รวมนะ

อ่อ...แล้ว หมั่นทำความสะอาดห้องนอนบ่อยๆนะครับ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเดือนละ 2 ครั้ง และถ้าห้องมีพรมก็ต้องหมั่นดูดฝุ่น หรือนำพรมออกมาตากแดด ทำความสะอาดผ้าม่าน และต้องให้แสงแดดส่องเข้าห้อง ให้โดนเตียงได้ยิ่งดี เพื่อจะได้เป็นการกำจัดไรฝุ่น สาเหตุของภูมิแพ้ไปในตัว

แต่การทำความสะอาดก็ไม่เพียงพอหรอกครับ ไม่สามารถชะล้างฝุ่น หรือ สิ้งสกปรกได้หมด เครื่องกรองอากาศจึงมีความจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีก

mmjjSense

cherryjung
#106
27-08-2011 - 19:27:37

#106 cherryjung  [ 27-08-2011 - 19:27:37 ]





ดัน ! จะตกแล้ว ไม่เห็นชื่อกระทู้เลย

mmjjSense


TOMORROW X TOGETHER
mmjjSense
#107
31-08-2011 - 18:37:19

#107 mmjjSense  [ 31-08-2011 - 18:37:19 ]





ดานนนน



:3
tagger
#108
31-08-2011 - 21:02:30

#108 tagger  [ 31-08-2011 - 21:02:30 ]




quote : tagger

น้องเซ้นท์ถ้าพี่อยากเป็นV.I.Pต้องทำไงหรอ(ถามเล่นๆอ่ะนะ)

ช่วยตอบหน่อย แล้วก็ดันๆๆๆๆ


tagger
#109
31-08-2011 - 21:02:41

#109 tagger  [ 31-08-2011 - 21:02:41 ]




ขอดันอีกครั้ง

mmjjSense

tagger
#110
31-08-2011 - 21:02:41

#110 tagger  [ 31-08-2011 - 21:02:41 ]




ขอดันอีกครั้ง


mmjjSense
#111
01-09-2011 - 09:39:16

#111 mmjjSense  [ 01-09-2011 - 09:39:16 ]





quote : tagger

quote : tagger

น้องเซ้นท์ถ้าพี่อยากเป็นV.I.Pต้องทำไงหรอ(ถามเล่นๆอ่ะนะ)

ช่วยตอบหน่อย แล้วก็ดันๆๆๆๆ

ต้องเม้นเยอะๆ แล้วก็ ต้องให้ความรู้แก่คนด้วยครับ



:3
koko_191
#112
01-09-2011 - 17:39:08

#112 koko_191  [ 01-09-2011 - 17:39:08 ]





ดันๆๆ

mmjjSense

tagger
#113
02-09-2011 - 17:15:15

#113 tagger  [ 02-09-2011 - 17:15:15 ]




เรื่องง่่ายๆ ที่ทำไห้สุขภาพดี
เหงือกดี ด้วยน้ำชายามเช้า

องค์การอาหารและยา ของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากได้ เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้ง การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุของฟันผุ ส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคเหงือกได้

ีดื่มน้ำมากขึ้น

การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย วันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ได้เกือบ 50%

เปลือยเท้า คลายเครียด

การย่ำเท้าเปล่าไปบนทราย หรือสนามหญ้านุ่มๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

เดินไวๆ ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง

คนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ ลองใช้วิธีเดินขึ้นบันได หรือให้ไวขึ้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้าหรือ หลังเลิกงานเดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้าย หรือเดินลงบันได ให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจ ให้แข็งแรง และยังจะได้ หุ่นผอมบางสมส่วนเป็นของแถม

เติมไขมันดีๆ ให้ร่างกาย

ไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะไขมันมีอยู่หลายชนิด ไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วและไขมันโอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดีๆ ที่ไม่เพียงให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และหัวใจอีกด้วย

รับแสงแดดอ่อน

มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านม มากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดด ช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย แต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่ายๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็นจะดีกว่า

Just Do Nothing

ลองหยุดภารกิจวุ่นๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมง ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้างใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพัง จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดหัวใจ อาจจะฟังเพลงเงียบๆ คนเดียว หรือ อาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อยๆ จิบน้ำชา ชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่น และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกลจากโรคความรีบร้อน อันหมายถึงโรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง


แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 76 ตุลาคม 2549

mmjjSense

tagger
#114
02-09-2011 - 17:15:43

#114 tagger  [ 02-09-2011 - 17:15:43 ]




พิษของพารา...ใครว่าธรรมดา
ในสมัยโบราณมีการใช้เปลือกต้นหลิว (willow) เป็นยาลดไข้ (antipyretic) และมีการค้นพบสารเคมีในเปลือกต้นหลิวคือ ซาลิซิน (salicins) ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นแอสไพริน (aspirin) ได้ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าในเปลือกซิงโคนา (cinchona) มีควินิน (quinine) ที่มีฤทธิ์เป็นยาแก้ไข้ได้ซึ่งต่อมาถูกนำมาใช้เป็นยารักษามาลาเรีย

ในปี ค.ศ. 1880 เกิดภาวะขาดแคลนต้นซิงโคนา จึงได้มีคนพยายามที่จะหาทางเลือกสำหรับยาลดไข้ จนมีการค้นพบยาลดไข้ตัวใหม่คือ
• ปี ค.ศ. 1886 พบ อะซิตานิไลด์ (acetanilide)
• ปี ค.ศ. 1887 พบ ฟีนาซิตีน (Phenacetin)

ขณะเดียวกันในปี ค.ศ. 1873 ฮาร์มอน นอร์ทรอป มอร์ส (Harmon Northrop Morse) ก็สามารถสังเคราะห์ พาราเซตามอล โดยปฏิกิริยารีดักชั่น พารา-ไนโตรฟีนอล (p-nitrophenol) กับดีบุกในกรดอะซิติก (acetic acid) แต่ก็ยังไม่มีการนำพาราเซตามอลมาใช้เป็นยาลดไข้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1893 ได้มีการตรวจพบพาราเซตามอลในปัสสาวะของผู้ที่ใช้ยาฟีนาซิตีน และยังค้นพบว่าอะซิตานิไลด์ จะถูกเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลในร่างกายก่อนจึงสามารถออกฤทธิ์ลดไข้ได้ในปี ค.ศ. 1899

เนื่องจาก พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาบรรเทาอาการปวด (analgesics) ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร และการแข็งตัวของเลือดเหมือนยากลุ่มเอ็นเซด (non-steroidal anti-inflammatory; NSAIDs) เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้พิษสงของยานี้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พาราเซตามอลกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี เป็นอะไรก็กินแต่พาราเซตามอล ปวดศีรษะ ไข้หวัด ก็พาราเซตามอล ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็พาราเซตามอล ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ทำได้แค่ให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว บ้างก็มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปหาหมอรักษากัน พลอยทำให้โรคที่เป็นลุกลามมากขึ้น ต้องเสียเงินรักษามากขึ้นโดยใช่เหตุ

ในหลายประเทศได้แก่ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้มีการสำรวจวิจัยพบว่ามีการใช้ ยาพาราเซตามอลเกินขนาดมากขึ้นทุกปี และมีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการเกิดพิษของพาราเซตามอลจำนวนมาก จนน่าตกใจจนต้องออกมารณรงค์ให้ใช้ยาพาราเซตามอลเฉพาะเมื่อมีความจำเป็น และเผยแพร่ความรู้เรื่องพิษของยาให้ประชาชนตระหนักมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ ใบปลิว เอกสารกำกับยา หรืออินเตอร์เน็ต

อันตรายจากการใช้ยาพาราเซตามอล ที่พบได้มากที่สุด คือ พิษต่อตับ ทำให้ตับวาย รองมาเป็นเรื่องของการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น หรือตีกับยาอื่นนั้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ

• ที่เกิดจากความตั้งใจ ทุกคนคงทราบกันดี นั่นคือ การกินพาราเซตามอลประชดชีวิต การฆ่าตัวตาย ซึ่งบางรายก็แค่ต้องการประท้วง เรียกร้องความสนใจ นึกว่าพิษของพาราเซตามอลเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพาราเซตามอลจะทำให้ตับเสียการทำงานหรือตับวายได้ ซึ่งหากได้รับยาต้านพิษไม่ทันเวลาก็จะทำให้เสียชิวิตได้
• ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ เนื่องจากพาราเซตามอลที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันนั้นมีหลายรูปแบบ หลายความแรง หลายยี่ห้อ ซึ่งเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะทราบ ได้แก่ รูปของยาเม็ด ยาน้ำเชื่อม และการนำพาราเซตามอลไปผสมกับยาอื่นๆ ได้แก่ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้หวัด ยาแก้ปวด เป็นต้น ทำให้เกิดการกินยาซ้ำซ้อน โดยไม่รู้ตัว หากเป็นระยะเวลาไม่นานแค่ 2 ถึง 3 วันก็ยังพอไหว หากระยะเวลานานเป็นเดือนการเกิดพิษต่อตับคงเกิดอย่างแน่นอน ดังนั้นทางที่ดี ก่อนกินยาอะไรควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสียก่อน และหากไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร เป็นยาสูตรผสมหรือไม่ ก็ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนทุกครั้ง

เรื่องที่น่าคิดอีกเรื่อง คือ การกินพาราเซตามอลร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ รัม ยีน หรือ เบียร์ เพราะตัวแอลกอฮอล์เองเป็นที่ทราบกันดีว่าหากได้รับในปริมาณมาก หรือต่อเนื่องกันนานๆ ก็ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง ตับวายได้ หากกินร่วมกับพาราเซตามอลก็จะเท่ากับเป็นการเหยียบคันเร่งให้ตับพังได้เร็วยิ่งขึ้น คณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายให้มีการพิมพ์คำเตือนบนฉลากยาพาราเซตามอลว่า “ ห้ามรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสม แอลกอฮอล์ ” เนื่องจากเกิดคดีพิพากษาเกี่ยวกับการกินยาพาราเซตามอลร่วมกับไวน์เป็นประจำของชาวเวอร์จิเนียรายหนึ่งจนทำให้ตับวาย จนต้องมีการปลูกถ่ายตับใหม่ บริษัทผู้ผลิตยาแพ้คดีต้องจ่ายเงินชดใช้ถึง 8 ล้านดอลลาร์

เรื่องสุดท้ายที่อยากจะเตือนคุณผู้อ่านก็คือ เรื่องของยาตีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง แต่เดิมไม่เคยมีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย คิดว่าพาราเซตามอลเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่มีพิษสงอะไร ไม่ตีกับยาอื่น แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว เนื่องจากระยะหลังนักวิจัยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะคนใช้ยาพาราเซตามอลมากขึ้น ยังกับพาราเซตามอลเป็นขนมอย่างนั้นแหละ ตัวอย่างหนึ่งที่ดิฉันพบเองก็คือ พาราเซตามอลตีกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตัวหนึ่งในผู้ที่เป็นเลือดข้น กล่าวคือพาราเซตามอลทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้ หากได้รับในปริมาณมาก อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเท่ากับไปเสริมฤทธิ์ของยาต้านการแข็งตัวของเลือด จนทำให้ผู้นั้นเกิดเลือดออกผิดปกติขึ้น

ทางที่ดีคุณควรใช้ยาพาราเซตามอลเท่าที่จำเป็นในขนาดการรักษาปกติ คือ ยาพาราเซตามอล 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็กินแค่ยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม 1 เม็ด ก็เพียงพอ) และหากไม่มีอาการแล้วก็ควรหยุดกินยาทันที หรือหากใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลาประมาณ 3-4 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยเพิ่มเติมจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง


แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday

mmjjSense

tagger
#115
02-09-2011 - 17:16:06

#115 tagger  [ 02-09-2011 - 17:16:06 ]




กินยาแก้ท้องอืด ... อันตรายหรือไม่
กินยาแก้ท้องอืด นานๆ เป็นอะไรมั้ยคะ คำถามเช่นนี้เป็นคำถามที่ดิฉันได้ยินได้ฟังบ่อยๆ จากผู้ป่วย เป็นคำถามง่ายๆ ที่ตอบค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องทราบสภาวะโรคที่คนๆ นั้นเป็นอยู่เสียก่อนจึงจะตอบได้ว่าอันตรายหรือไม่ สำหรับตัวยาแก้ท้องอืดเอง รับประทานตามขนาดปกติ คงไม่ได้มีอันตรายอะไรมาก แต่สภาวะโรคที่ซ่อนอยู่ภายใน อันก่อให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ นั้นมากกว่า ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ป่วย ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักอาการท้องอืดก่อนดีกว่าค่ะ

อย่างไรเรียกว่าท้องอืด

อาการท้องอืด ได้แก่ อาการปวดท้องส่วนบน ท้องอืด แน่นท้อง มีลมในท้อง เรอบ่อยๆ บางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็ว หรือบางคนอาจจะมีอาการแน่นท้อง แม้กินอาหารเพียงเล็กน้อย แสบบริเวณหน้าอก

สาเหตุที่ทำให้ท้องอืด

• โรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งในกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร เป็นต้น
• โรคของทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี
• โรคของตับอ่อน
• โรคที่เกิดจากสิ่งภายนอก ได้แก่ ยาต่างๆ ที่เรารับประทาน ยาหลายชนิดจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ได้แก่ ยาแก้ปวดข้อทั้งหลาย ยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะ และลำไส้บีบตัวน้อยลง เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง เครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น เหล้า เบียร์ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ บุหรี่ อาหารที่ย่อยยากหลายอย่าง รวมทั้งอาหารที่มีกากมากๆ อาหารรสจัด
• โรคทางร่างกายอย่างอื่นๆ เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์

กินเผ็ดเสี่ยงท้องอืดหลายเท่า

พฤติกรรมในการรับประทานอาหารนั้น ก็เป็นที่มาของอาการท้องอืดด้วยเหมือนกัน ได้แก่ การรับประทานอาหารรสจัด ทำให้เยื่อบุอาหารอักเสบ การรับประทานอาหารรีบร้อน เคี้ยวไม่ละเอียด รับประทานครั้งละมากไป รวมทั้งการรับประทานอาหารย่อยยาก อาหารมัน อาหารประเภทผักซึ่งมีเส้นใยปริมาณมาก ร่างกายเราไม่มีน้ำย่อย ที่จะทำการย่อยเส้นใยเหล่านั้น

แบคทีเรียในลำไส้ จะเป็นตัวช่วยย่อยทำให้เกิดมีกรดบางอย่าง จึงทำให้ท้องอืดได้ ถ้ารับประทานปริมาณมากเกินไป แต่อาหารที่มีเส้นใยมากเหล่านี้ ก็มีประโยชน์ช่วยในการขับถ่ายสะดวก ดังนั้นจึงควรรับประทานในปริมาณพอเหมาะค่ะ สำหรับอาหารประเภทนม ในคนแถบเอเชียมักไม่มีน้ำย่อยที่ย่อยนม หรือมีปริมาณน้อย เมื่อรับประทานนมมากเกินไป ก็อาจจะทำให้มีอาหารท้องอืด หรือท้องเสีย

ท้องอืดบ่อยๆ ผิดปกติหรือ?

อาการท้องอืดกรณีที่นานๆ เป็นครั้งคงไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอาการบ่อยๆ ควรหาสาเหตุที่ทำให้เกิดท้องอืด ในผู้สูงอายุอาการท้องอืด อาจเป็นอาการนำอันหนึ่ง ของมะเร็งระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ ที่ไม่เคยมีอาการมาก่อน หรือมีอาการอื่นๆ เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด ซีด ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของอาการท้องอืดที่เกิดขึ้น เพราะอาจจะเป็นอาการนำของมะเร็งกระเพาะอาหารได้

โรคที่พบบ่อย ในคนที่มีอาการท้องอืด

ปัญหาที่พบบ่อยในคนที่ท้องอืด ได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี หรืออาหารไม่ย่อย เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป

บรรเทาท้องอืดเบื้องต้น

การแก้ไขเบื้องต้น อาจจะใช้ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาขับลม หรือ ยาธาตุน้ำแดง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย รับประทานแต่พอควร ปริมาณไม่มากจนเกินไป ถ้ายังไม่ดีขึ้นหรือยังมีอาการบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์

รู้ไว้ใช่ว่า ยาแก้ท้องอืดมีอะไรบ้าง

• ยาช่วยย่อย ได้แก่ ยาที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ต่างๆ ที่ช่วยย่อยอาหาร ได้แก่ cellulase, amylase, protease, ethypapaverine, diastase, lipase , bile extract, pancreatin rizolipase, papain, mamylase
• ยาขับลม ได้แก่ simethicone, peppermint oil
• ยาช่วยดูดซับแก๊ส ได้แก่ activated charcoal
• ยาลดกรด ได้แก่ magnesium hydroxide, aluminum hydroxide, sodium bicarbonate
• ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ได้แก่ domperidone, cisapride, metoclopramide
• ยาแก้ปวดเกร็งในช่องท้อง ได้แก่ hyoscine-N-butylbromide, dicyclomine, oxybutynin , chlordiazepoxide

การซื้อยาขับลม ยาแก้ท้องอืด หรือยาช่วยย่อย มารับประทานเองนานๆ มีผลอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ในกรณี ใช้เป็นประจำ

การรับประทานยาขับลม ยาช่วยย่อย อาจจะช่วยให้อาการท้องอืดดีขึ้นได้บ้าง แต่ถ้ามีอาการท้องอืดบ่อยๆ รับประทานยาทุกวันคงจะไม่ดีแน่ เพราะการรับประทานยาแก้ท้องอืด เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ อาการท้องอืดที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายอื่นๆ ได้แก่ กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งในกระเพาะอาหาร นิ่วในถุงน้ำดี หรือโรคหัวใจขาดเลือดได้ ดังนั้นควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และรับการแก้ไขสาเหตุที่แท้จริง เพื่อไม่ให้โรคเป็นมากขึ้นได้

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ควรจะไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการท้องอืด และรับการรักษา

• ผู้สูงอายุ เช่น อายุเกิน 40 ปี เพิ่งจะเริ่มมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากพบว่ามะเร็งของกระเพาะอาหาร หรือตับมักจะพบในคนอายุเกินกว่า 40 ปี
• คนที่มีอาการท้องอืดร่วมกับมีน้ำหนักลด
• มีอาการซีด ถ่ายอุจจาระดำ
• มีอาเจียนติดต่อกัน หรือกลืนอาหารไม่ได้
• ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีก้อนในท้อง
• ปวดท้องมาก
• ท้องอืดแน่นท้องมาก
• การขับถ่ายอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป
• ท้องอืด เจ็บแน่นหน้าอก และเหนื่อยหลังมื้ออาหาร

อาการท้องอืด นั้นดูเหมือนไม่มีอะไรร้ายแรง ซื้อยามารับประทานเองก็ช่วยบรรเทาอาการได้ แต่หากเป็นบ่อยๆ นานๆ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายอื่นๆ ได้ คุณจึงไม่ควรซื้อยามารับประทานนานๆ แต่ควรไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการท้องอืดที่เกิดขึ้น เพื่อทำการรักษาที่สาเหตุจะดีกว่า




ภญ. อัมพร อยู่บาง


แหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday

mmjjSense

tagger
#116
02-09-2011 - 17:18:04

#116 tagger  [ 02-09-2011 - 17:18:04 ]




quote : mmjjSense

quote : tagger

quote : tagger

น้องเซ้นท์ถ้าพี่อยากเป็นV.I.Pต้องทำไงหรอ(ถามเล่นๆอ่ะนะ)

ช่วยตอบหน่อย แล้วก็ดันๆๆๆๆ

ต้องเม้นเยอะๆ แล้วก็ ต้องให้ความรู้แก่คนด้วยครับ

ไม่เป็นไรจ้า งั้นเอาความร้มาให้แล้วกัน


mmjjSense
#117
02-09-2011 - 19:26:12

#117 mmjjSense  [ 02-09-2011 - 19:26:12 ]





quote : tagger

quote : mmjjSense

quote : tagger

quote : tagger

น้องเซ้นท์ถ้าพี่อยากเป็นV.I.Pต้องทำไงหรอ(ถามเล่นๆอ่ะนะ)

ช่วยตอบหน่อย แล้วก็ดันๆๆๆๆ

ต้องเม้นเยอะๆ แล้วก็ ต้องให้ความรู้แก่คนด้วยครับ

ไม่เป็นไรจ้า งั้นเอาความร้มาให้แล้วกัน

เกือบแล้วครับงั้นให้เป็น VIP อันดับ 2 นะครับ



:3
mmjjSense
#118
04-09-2011 - 17:39:07

#118 mmjjSense  [ 04-09-2011 - 17:39:07 ]





โอ๊ย ไม่มีคนสนใจแล้วหรือ



:3
tagger
#119
05-09-2011 - 16:51:19

#119 tagger  [ 05-09-2011 - 16:51:19 ]




ขอบคุณจ้า


jariyaza11
#120
09-09-2011 - 18:20:09

#120 jariyaza11  [ 09-09-2011 - 18:20:09 ]





สมัคร ด้วย จ้า

mmjjSense


ปิดเทอมมแห่งความสุขข

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 20th November 2024 12:23

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ