quote :
วันนี้เราจะพาข้ามหาสมุทรไปดูเรื่องลึกลับเรื่องหนึ่งกันดีกว่า สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เราอยากลองไปดูสักครั้ง(ถ้ามีโอกาศนะ)
อาถรรพณ์ลึกลับ กับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)...ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป...ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมาก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้าไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออกไปจนถึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกันโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Triangle) ...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตรายของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา...จากบันทึกของกองเรือยามฝั่งสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหายอย่างผิดปกติ ในอาณาบริเวณนี้เป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร? สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาดอาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่นกันไม่รู้จบระหว่างคนในละแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับเป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่อง โซนาร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา...นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไปจนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง...อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด 14 นาย ได้ออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์...และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา ..นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย อกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อกับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณเบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอนเป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ ..สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้าต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลงจนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้นพร้อมเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจเพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ...สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือไม่มีอะไรทั้งนั้น..หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญอย่างไร้เงาของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น...พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำมาปะติดปะต่อกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป...มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงงสนเท่ห์ใจให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรกเราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อนเพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่
รายงานที่พบเป็นประจำ เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า..."เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขาก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสานเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่อบินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใสมาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ...เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิกโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.."ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่ามีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"... สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่างที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก
เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล็กก็เอากับเขาด้วย วิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่าจนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพลึบลง ทีนี้มันก็มืดสนิทมองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท...ผมไม่เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งแต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่าเราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้...แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท..ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุดเท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น ..ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก..เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจะให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"
มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุจะถูกตัดขาดนี่คือข้อมูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้ายของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสายสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ...หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช่ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา...รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูงร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่งกล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ...ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป...แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทางทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด..มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด...นี่เราอยู่ที่ไหนกัน..เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว " แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป..ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้นกำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน National airline บินดำดิ่งลงมา ผ่านเข้าหมู่เมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนพกกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่ากลัวว่าจะตกโหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..ทั้งนักบินและผู้โดยสารเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กันเมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบินต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ..เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย..ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.."
คำตอบคืออะไร? ความประหลาด ความลึกลับ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ..
การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรือเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ..
การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้างถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้
"มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ"..นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝั่งที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาลที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้นเปอร์เซ็นต์อุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติและหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบังไม่กล่าวถึงสิ่ง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย..เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้เข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสารจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรล่ะได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิต เขาหายไปไหน?
ทฤษฎีการบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแวน (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ...เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปทางเหนือของมหาสมุทรแอรแลนติก ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกันของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไปจากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมากมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกันของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาลหลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือนกับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น..และนี่คือผลกระทบที่ทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศเมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้นในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ หรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจากร่องรอย..นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณีที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา ..ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันมากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกันกับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้ และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย.. เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ..แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยันให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า
บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทรของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกัน ผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบกตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎีนี้ยังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุได้ว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสูญหายไปของเรือและเครื่องบิน การปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับแห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาวจะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป็นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่า และยูเอฟโอที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ..หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอาจเป็นบริเวณที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง
เครดิต : http://atcloud.com/stories/18688