โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
Nebula Eva
#101
29-02-2012 - 18:44:45

#101 Nebula Eva  [ 29-02-2012 - 18:44:45 ]





quote :
วันนี้เราจะพาข้ามหาสมุทรไปดูเรื่องลึกลับเรื่องหนึ่งกันดีกว่า สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เราอยากลองไปดูสักครั้ง(ถ้ามีโอกาศนะ)

อาถรรพณ์ลึกลับ กับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


      นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)...ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป...ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมาก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้าไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออกไปจนถึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกันโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Triangle) ...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตรายของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา...จากบันทึกของกองเรือยามฝั่งสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหายอย่างผิดปกติ ในอาณาบริเวณนี้เป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร? สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาดอาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่นกันไม่รู้จบระหว่างคนในละแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับเป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่อง โซนาร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา...นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไปจนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง...อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด 14 นาย ได้ออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์...และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา ..นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย อกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อกับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณเบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอนเป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ ..สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้าต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลงจนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้นพร้อมเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจเพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ...สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือไม่มีอะไรทั้งนั้น..หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญอย่างไร้เงาของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น...พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำมาปะติดปะต่อกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป...มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงงสนเท่ห์ใจให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรกเราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อนเพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่

      รายงานที่พบเป็นประจำ เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า..."เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขาก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสานเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่อบินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใสมาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ...เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิกโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.."ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่ามีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"... สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่างที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก

      เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล็กก็เอากับเขาด้วย วิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่าจนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพลึบลง ทีนี้มันก็มืดสนิทมองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท...ผมไม่เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งแต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่าเราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้...แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท..ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุดเท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น ..ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก..เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจะให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"

      มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุจะถูกตัดขาดนี่คือข้อมูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้ายของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสายสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ...หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช่ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา...รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูงร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่งกล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ...ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป...แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

      ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทางทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด..มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด...นี่เราอยู่ที่ไหนกัน..เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว " แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป..ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้นกำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน National airline บินดำดิ่งลงมา ผ่านเข้าหมู่เมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนพกกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่ากลัวว่าจะตกโหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..ทั้งนักบินและผู้โดยสารเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กันเมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบินต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ..เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย..ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.."

      คำตอบคืออะไร? ความประหลาด ความลึกลับ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ..

      การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรือเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ..

      การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้างถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้

      "มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ"..นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝั่งที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาลที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้นเปอร์เซ็นต์อุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติและหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบังไม่กล่าวถึงสิ่ง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย..เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้เข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสารจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรล่ะได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิต เขาหายไปไหน?

      ทฤษฎีการบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแวน (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ...เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปทางเหนือของมหาสมุทรแอรแลนติก ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกันของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไปจากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมากมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกันของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาลหลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือนกับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น..และนี่คือผลกระทบที่ทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศเมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้นในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ หรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจากร่องรอย..นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณีที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา ..ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันมากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกันกับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้ และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย.. เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ..แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยันให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า

      บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทรของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกัน ผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบกตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎีนี้ยังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุได้ว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสูญหายไปของเรือและเครื่องบิน การปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับแห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาวจะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป็นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่า และยูเอฟโอที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ..หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอาจเป็นบริเวณที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง

เครดิต : http://atcloud.com/stories/18688



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#102
เด็กซ่าบ้านแสบ
29-02-2012 - 18:49:28

#102 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 29-02-2012 - 18:49:28 ]








Nebula Eva
#103
29-02-2012 - 18:55:55

#103 Nebula Eva  [ 29-02-2012 - 18:55:55 ]





quote :
เรปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะปั่นกระทู้นะ แต่ต้องการให้เรปแรกเป็นหน้าสารบัญอย่างเดียวเลยเอาเรื่องที่อยูในเรปแรกย้ายมาเรปนี้แทน


10 อันดับปรากฏการณ์หลอนรอบโลก


อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)
ที่ตั้ง เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา
ในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่นไหลมาชมรวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์ เธอเจ็บแค้นมากเมื่อครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะนให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอเทอะ ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั้งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงาน ฝังศพ
แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้ว 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์




อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)
สถานที่ตั้ง บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอน
ผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคนต่างโดนมันฆ่าถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง หลังนั้น
เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัยบ้านหลังนี้พักชั่วคราวและต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็นผีและสู้กับ มันส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจและเมื่อกลับมาก็พบบลันเดนตายอยู่ บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง
นอกจากนั้น จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็โดนด้วยและ เสียชีวิตในปี 1827
ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้นมักตกใจเสียงทุบและเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน



อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)
สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา
บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924
แต่วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่ง
จากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดล
โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี ของครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็น เสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ
นอกจากนั้น ไม่ว่า ใครหน้าไหนเอาเรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยายหรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป
เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนังปรากฏว่าหลายคนในกองถ่ายต่างประสบ เคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดูเรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้านครับ)
ระวังจะโดนคำสาบ!!



อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)
สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก(ไทยก็เคยเจอ)
เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดี
โดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า 'ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวาระสุดท้ายของโลกก็ตาม'
นับจากนั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใดที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ
โดยในปี 1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้จากนั้นไม่นานเขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย....
ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยด สยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัยตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander


อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)
สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์(ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)
เมื่อปี ค.ศ.1362 นักบวชนิกายเบเนดิกทีนและแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้นถูกพ่อมดหมอผีและชาวบ้านที่งมงายจับสองคนไปฆ่า
โดยนักบวชถูกแขวนคอส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็นภายในผนังของสำนักชี
ต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863
หลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไป โดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอนขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสดๆ เลยก็มี
โดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้นและเริ่มเห็นเต็มตัวโดยในลักษณะแต่งกายเป็นชีและท่าทางใบ หน้าเศร้าหมองร้องขอให้มีผู้พบศพเธอเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ
จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ตอนเที่ยงคืนและเผาโบสถ์จนเหลือเพียงซากและโบสถ์ก็โดนทุบ ทิ้งจนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย


อันดับ 5 วิญญาณสีชาด
สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ???
วิญญาณสีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาดเช่นกัน ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทมของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว
แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า 'พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย' พระองค์ตกใจมากและรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข
อีก 12 ชั่วโมงต่อมาเฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริงตามคำพยากรณ์เพราะฟรองซัวราวิลแย็คทำการรัฐประหาร
นอก จากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนาปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือคืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง


อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)
สถานที่พบเจอ เยอรมัน ฝรั่งเศส ??
ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม
ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณหญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม
เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ
จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส
และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่ 29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมันที่เบอร์ลินพอดี!!



อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)
สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)
ควีน แมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม
ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มี อันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียกน้ำ เด็กน้อยตามหาแม่และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ


อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)
สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม
ระเบียง ของพระราชวังแฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์อีกด้วย


อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)
สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ (รูปถ่ายนี้ถูกถ่ายในธันวาคม ที่ศาล Hampton ใกล้ลอนดอน)
พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536
โดยก่อนตายนางกล่าวว่า 'โอ้ ความตาย นำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัด นำข้าไปสู่ผี..ที่สุดแสนจะเงียบงัน ออกไปจากอกของข้าที่ห่วงหาอาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน'
ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ
ซึ่งสถานที่แห่งนั้นพระนางเคยใช้ชีวิตในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ
มีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนางไปยังสถานทีประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูงศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและหายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนอีกด้วย
ผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วยเสียสิ้น
โดยใครพบเจอคนนั้นอาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็เสียสติ



เครดิต//writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=650526&chapter=76#ixzz13TbVviVe



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#104
เด็กซ่าบ้านแสบ
29-02-2012 - 19:01:52

#104 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 29-02-2012 - 19:01:52 ]








Good_Love
#105
01-03-2012 - 16:42:07

#105 Good_Love  [ 01-03-2012 - 16:42:07 ]






aom_Zero
#106
01-03-2012 - 17:56:25

#106 aom_Zero  [ 01-03-2012 - 17:56:25 ]




อ๊าก..ชอบอะ ว๊าว ว้าว ว้าว ๆๆๆๆ


เด็กซ่าบ้านแสบ
#107
เด็กซ่าบ้านแสบ
01-03-2012 - 17:58:10

#107 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 01-03-2012 - 17:58:10 ]








Nebula Eva
#108
01-03-2012 - 20:53:23

#108 Nebula Eva  [ 01-03-2012 - 20:53:23 ]





quote :
555 วันก่อนอ่านโคนัน เลยลองค้นๆคดีต่างๆมาฝาก

10 อันดับคดีฆาตกรรมปริศนาที่ยังไขไม่ออก



อันดับ 10 แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ชำแหละพิสดารจากนรก
แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นชื่อของชายคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษ ที่ชาวอังกฤษและชาวโลกรู้จักกันดี ทำไมน่ะหรือ ? ชายคนนี้เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีสะเทือนขวัญมานับครั้งไม่ถ้วน มันเริ่มฆ่าหญิงโสเภณีในย่านสลัมของย่านลอนดอน ตั้งแต่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1888
ซึ่งผ่านมากว่าร้อยปีแล้ว ทำไมถึงได้ดัง ทั้งที่ฆาตกรโหดมที่โดดเด่นและฆ่าเหยื่อมากกว่าเขา มีมากกว่าร้อยกว่าคนคำตอบที่น่าจะกล่าวได้คือ ชายผู้นี้ยังไม่เคยโดนจับได้เลยตั้งแต่เขาก่อคดีสะเทือนขวัญผู้คนในลอนดอนมา ทั้งยังการฆ่าที่โหดมและน่าสยดสยอง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเหยื่อโดยการผ่าท้อง และลากเอาไส้มาขวัญไว้ที่เสาไฟฟ้า การแขวนศพเหยื่อไว้บนกำแพง ฯลฯ และที่สำคัญไม่มีข่าวรายงานเลยว่ามีคนที่เคยเห็นหน้าแจ๊คด้วยซ้ำไป กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้ๆ แม้แต่ตอนที่แจ๊คลงมือยังแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรที่ผิดปกติเลย โดยเหยื่อนั้นเสียชีวิตจากการถูกของมีคมแทงหรือไม่ก็ชำแหละ คมมากจนถึงขนาดตัดกระดูกออกมาได้ จนกระทั้งแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ หยุดการกระทำหฤโหด ทิ้งปริศนาไว้ตลอดกาลว่าเขาคือใครกันแน่(เรื่องของฆาตกรรายนี้มีมาให้อ่านแล้วค่ะ ใครอยากรู้ประวัติลองไปหาดูที่สารบัญเรปแรกเอานะคะ)


อันดับ 9 คดีฆาตกรรมในคิงส์เบอรี
คดีนี้เกิดขึ้นในคลีแลนด์ รัฐโฮไอโอ อเมริกา ค.ศ.1930-40 เรื่องของเรื่องคือมีการพบศพมนุษย์ศพแล้วศพเล่า กว่า 13 ศพ ในเขตลำน้ำคิงส์เบอรี รัน ทุกรายล้วนถูกฆาตกรรมโดยตัดหัว ตัดแขน แต่ละศพถูกทำความสะอาด ทุกรายไม่สามารถระบุชื่อได้ ยกเว้นรายที่3 และ 4 เท่านั้น และเป็นคดีดังแห่งประวัติศาสตร์ที่ดำมืดทุกวันนี้ว่าใครคือฆาตกร? และฆ่าคนมากมายเพื่ออะไร?(อ๊ะ! อันนี้เราก็อยากรู้เหมือนกันแหะ เดี๋ยวต้องมีการสืบ หึ หึ // วิญญาณโคนันเข้าร่าง)


อันดับ 8 เดอะ แบล็ค ดาห์เลีย ศพสยองข้างทาง
เกิดขึ้นวันที่ 15 มกราคม 1947 เป็นคดีการตายของ อลิซเบธ ชอร์ค หญิงโรคจิต ที่ตายสยอดสยองเช่นกัน ศพเธอถูกพบที่สวนสาธารณะตอนเช้าตรู่ เป็นเป้าสายตาคนด้วยล่ะ ร่างกายของเธอถูกหั่นเป็นสองท่อน หลังจากชันสูตรก็พบว่าในกระเพาะมีอุจจาระ ที่ทวารหนักมีเศษเนื้อและเศษหญ้าที่ฆาตกรหั่นตอนเธอมีชีวิตและยัดตรงช่องทวารเลยเชียวล่ะ(อุว๊ะ!)ถึงแม้ในเวลาต่อมาฆาตกรจะส่งห่อของขวัญที่มีของใช้ผู้ตายไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีข้อความกำกับบอกด้วยน่ะว่าตนเป็นคนฆ่า แต่ตำรวจก็ไม่สามารถสืบได้อยู่ดีว่าใครคือฆาตกร ทำไมถึงลงมือกับเหยื่อได้โหดมอำมหิตถึงเพียงนี้ และปัจจุบันแฟ้มคดีนี้ก็ยังอยู่ในแผนกฆาตกรรมของตำรวจนครลอสแอนเจลีส อเมริกา จนถึงปัจจุบัน()

อันดับ 7 The Boston Strangler นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน
ช่วงปี 1960 ที่อเมริกา ได้มีฆาตกรต่อเนื่องก่อคดีฆ่ารัดคอผู้หญิงในบอสตัน ไม่เว้นว่าสาวหรือแก่ ผิวขาวหรือดำ ต่อมา ชายชื่อ อัลเบิร์ต เดอ ซัลโวผู้ซึ่งถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาเล็กๆ กลับสารภาพว่า ตนคือฆาตกร ! เขาสารภาพว่าทำเองครับ ฆ่าหญิงเหล่านั้น เขาให้การว่าทำการฆ่าข่มขืน กระทำชำเราหญิงอย่างไรบ้าง มันก็น่าจะลงตัวที่เขาทำ หากแต่ ... จากคำให้การแล้ว มีหลายอย่างที่ไม่ได้ตรงกับความจริง เช่น เขาให้การว่าข่มขืนหญิงรายหนึ่ง มีการทำจนเสร็จกามกิจ ... แต่จากร่องรอย ศพของหญิงคนนั้นไม่มีคราบอสุจิใดๆ ทั้งสิ้น มันยังไงกันแน่ ... มีบางคนกล่าวว่า ที่อัลเบิร์ต เดอ ซัลโวให้การนั้นเขากำลังจะบอกว่าใครคือฆาตกรต่างหาก เขาอาจจะโดนบังคับให้สารภาพจากฆาตกรตัวจริง และแม้หากเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่อาจทราบ เพราะ 4 ปี หลังจากสารภาพ ... เขาถูกแทงตายในคุกและความจริงก็ตายไปกับเขาด้วย(เอ่อ..แล้วตกลงเขาเป็นผู้รับบาปใช่ไหมเนี่ย)

อันดับ 6 คดีฆาตกรรมมาริลีน เชพเพิร์ด
ใครเคยดูหนังเรื่อง The Fugitive น่าจะร้องอ๋อนะ เพราะรูปแบบของเรื่องราวนั้นเหมือนในหนังไม่มีผิด นายแพทย์หนุ่มที่ชื่อว่า แซม เชพเพิร์ด ถูกหาว่าสังหารภรรยาของเขา มารีลิน และถูกตัดสินจำคุกก่อนที่จะตายไปโดยที่ตราบาปนั้นยังคงอยู่ แซมให้การว่ามีบุคคลอื่นอยู่ในบ้าน และเขาถูกมันทำร้ายจนหมดสติไป พอตื่นมาอีกทีก็พบภรรยาของตนเองเสียชีวิตไปแล้ว ต่อมาลูกของเขาได้พยายามพิสูจน์ความจริง และรวบรวมหลักฐาน พวกรอยนิ้วมือเก่าเก็บและหลักฐานบางอย่างที่สมัยก่อนยังไม่สามารถตรวจสอบได้ มาตรวจสอบในปี 2000 ก็พบว่า ... ในวันนั้น นอกจากแซม และ มาริลีนแล้ว ... ยังมีบุคคลอื่นอยู่ที่นั่นด้วย .... แล้วเขาเป็นใคร ?(คดีนายแพทย์ฆ่าภรรยาที่ไทยก็มีนะ แถมได้ทำเป็นหนังด้วย)

อันดับ 5 The Tylenol Poisonings ยาพิษปริศนา
ยาเม็ดแก้ปวดไทลินอล ทุกคนน่าจะรู้จักนะค่ะ ใช้กันบ่อยนี่หน่า ... ลองจินตนาการดู ... หากมีคนบ้าคนนึง เอายาพิษไซยาไนต์ (ยาพิษร้ายแรงที่เมื่อออกฤทธิ์แล้ว มีแต่ตายเท่านั้น!) ใส่ลงไปในยาเม็ดเหล่านั้น แล้วก็บรรจุมันลงกล่องตามปกติ จากนั้นก็วางแผงขาย แล้วก็มีคนซื้อไปกิน ... เขาจะเป็นอย่างไรทีนี้เลิกจินตนาการค่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงดีกว่า!ในอดีตนั้นยาไทลินอลมันยังเป็นแคปซูลนะค่ะ ไม่ได้เป็นเม็ดอย่างทุกวันนี้ แล้วก็เกิดมีใครบางคนเอาไซยาไนต์ใส่ลงไปในแต่ละแคปซูลแล้วก็แพ็คขายตามปกติ ใครกินก็มีแต่ตายกับตาย ซึ่งก็มีคนมากมายตายไปเพราะไทลินอลสอดไส้ไซยาไนต์นี้เอง มันเริ่มเกิดขึ้นปี 1982 ที่อเมริกา จู่ ๆ มีหลายรายกินยาชนิดเข้าแล้วก็ตาย เหตุเกิดหลายรัฐมากครับและมันเป็นการฆ่าแบบสุ่มค่ะ ไม่มีเป้าหมาย คิดดู สิ่งที่ฆาตกรทำก็คือนั่งลงดูทีวีและรอว่าเมื่อไหร่ข่าวที่เป็นผลงานตนจึงจะออกมา และแน่นอนว่าผู้ตายย่อมไม่มีความแค้นกับมัน(เพราะมันสุ่มฆ่าอยู่แล้ว โรคจิตน่าดู)

อันดับ 4 Jonbenet Ramsey Murder สังหารโหดนางงามเด็ก
วันที่ 25 ธันวาคม ปี 1996 วันคริสต์มาสสำหรับหลายๆ คน แต่มันคือวันสุดท้ายในชีวิตของเด็กน้อยอายุไม่ถึง 8 ขวบ นาม Jonbenet Ramsey เช้าวันนั้นแม่ของเธอแจ้งความว่าเธอได้รับโน้ต เนื้อความคือ Jonbenet ลูกสาวของเธอถูกลักพาตัวไป ... การดำเนินหาตัวเธอก็เริ่มขึ้น แต่ก็ไม่มีใครพบ จนตำรวจลองให้พ่อแม่ของเธอค้นในบ้านอีกครั้ง ... อันนำมาสู่ปริศนาอันน่าสะพรึงJonbenetถูกพบเป็นศพ.ที่ใต้ถุนบ้านของเธอเอง!
เธอถูกรัดคอและทุบกระโหลก เธอเสียชีวิต ... แต่มันอะไรกัน เธอโดนลักพาตัว หายไปจากบ้าน มีการค้นแล้วนี่หน่า ... แต่หลักฐานต่อมาน่าฉงนยิ่งกว่า นั่นก็คือ โน้ตหรือจดหมายลักพาตัวนั้น ถูกเขียนโดยปากกาในบ้านนั้นเอง ... แต่ลายมือไม่ใช่ของคนในบ้าน จากการสืบสวน ไม่มีหลักฐานว่าคนในบ้านเเกี่ยวข้องกับการตายของเธอเลย ซึ่งนั่นก็ปี 1996 ซึ่งวิทยาการไม่ได้อ่อนด้อย การสืบสวนก็ทันสมัยแล้วแต่กลับไม่มีอะไรอธิบายเรื่องนี้ได้เลย และ ... คุณก็ทราบดี ... คดีนี้ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ เช่นกัน ถึงแม้จะมีการจับนาย มาร์คา และเขาจะสารภาพแล้วก็ตาม แต่เหมือรชะตาเล่นตลก เพราะผลพิสูจน์ ดีเอ็นเอจากศพ ผลปรากฏว่า มันไม่ใช้ของเขา ศาลจึงไม่สั่งฟ้องนายมาร์คคดีนี้จึงเป็นคดีปริศนาอีกครั้งหนึ่ง(โอะโอ๋ นี่คือการเดาจากเจ้าของกระทู้นะ ไม่แน่อาจจะเป็นพ่อหรือแม่ก็ได้ แค่ปลอมลายมือนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว แล้วพวกคุณที่อ่านคิดว่าคดีนี้เป้นฝีมือมือใครกันคะ)

อันดับ 3 The Phantom Killer ฆาตกรล่อนหน
คดีนี้เป็นฆาตกรรมสะเทือนขวัญอันหนึ่งค่ะ 1946 ในอเมริกาเช่นกัน คือมีฆาตกรต่อเนื่องก่อคดีฆ่าคนนั้นแหละ เหยื่อโดนทั้งมีดทั้งปืนเมื่อฆ่าเสร็จแล้วก็หายไปเลยยังกับเป็นควัน แน่นอนก็ยังไม่มีใครจับได้ เพราะฉายาของเขาก็คือ Phantom(เหมือนคดีนี้เคยเป็นหนังมาก่อนนะ อา~ ที่เกี่ยวกับโรงละครโอเปร่าน่ะ ถ้าจำไม่ผิดเพราะชื่อฆาตกรมันคุ้นๆ)

อันดับ 2 The Green River Killer ฆาตกรลับสมอง
คดีนี้เกิดแถบซีแอ้ตเติล 1982 เมื่อมีฆาตกรต่อเนื่องฉายา ฆาตกรแห่งกรีนริเวอร์ ได้ฆ่าคนตายไปกว่า 50 ศพ แต่ละศพก็ทิ้งร่องรอยหลักฐานไว้เหมือนจะท้าทาย แต่ก็ไม่มีใครสามารถสาวถึงตัวฆาตกรได้ และที่น่าสะพรึงอย่างมากก็คือ ว่ากันว่า ทุกวันนี้ ยังมีการฆาตกรรมที่มีรูปแบบคล้ายกับ ฆาตกรแห่งกรีนริเวอร์ ปรากฎอยู่บ่อยครั้ง มันเป็นฝีมือของพวกเลียนแบบ .... หรือเป็นฆาตกรแห่งกรีนริเวอร์ตัวจริงกันแน่ ?(จาก1982-2012 ถ้าฆ่าตกรรายนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นตาแก่หงำเหงือกแล้ว - -)

อันดับ 1 The Zodiac Killer ฆาตกรจักรราศี
นี่คือสุดยอดฆาตกรโรคจิต ฆาตกรที่เหล่าผู้ค้นคว้าศึกษาเรื่องคดีฆาตกรรมทั้งหลายต่างรู้จักกันดี"ฆาตกรจักรราศี" ! วันหนึ่งในปี 1968 แถบซานฟรานซิสโก มีวัยรุ่นหนุ่มสาวกำลังพรอดรักกันในรถ จากนั้นก็มีใครบางคนเดินเข้ามา ชักปืนและยิงทั้งคู่ดับอนาถเลือดสาดไปทั่วบริเวณนั้น ... เปิดมาเหมือนกับตอนหนึ่งของหนัง ศุกร์ 13 ใช่มั้ยค่ะ หากแต่มันเป็นเรื่องจริง และมันก็ทำอีกในปี 1969 เช่นเคย วัยรุ่นหนุ่มสาวถูกฆ่าแต่ผู้ชายรอดมาได้และให้การว่าฆาตกรมีผิวขาว!ฉายาจักรราศีของมันมาได้อย่างไรหลายคนอาจสงสัย...และนี่คือคำตอบหลังจากมันก่อ 2 คดีโหดแล้ว มันได้ส่งจดหมายไปหาตำรวจ และภายในแทนที่จะเป็นภาษาอังกฤษ มันกลับเป็น สัญลักษณ์จักรราศี จากความที่ถอดได้คือ "ฉันชอบฆ่าคน มันสนุกดีมากๆ"แต่สัญลักษณ์17ตัวสุดท้ายของจดหมายกลับไม่มีใครถอดออกและการฆ่าครั้งต่อมาก็สยองขวัญถึงขีดสุด เมื่อมันลงมือด้วยการสวมฮู้ด (เหมือนเอาผ้าดำคลุมหัวน่ะครับ) ใส่ชุดที่มีสัญลักษณ์จักรราศี มันลงมือแทงวัยรุ่นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกลางวันแสกๆ แบบไม่ยั้ง!ต่อมาคนขับแท๊กซี่ก็เป็นอีกรายที่ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรรายนี้ ฆาตกรรายนี้นับว่าสั่นประสาทชาวอเมริกันอย่างสูง และถ้าสังเกตก็จะพบว่ามันชอบฆ่าวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งคงจะมองออกแล้วนะครับว่าพวกหนังไล่ฆ่าแนวศุกร์ 13 นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรและคงพอจะเข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมวัยรุ่นอเมริกันจึงค่อนข้างกลัวหนังประเภทนี้ ในขณะที่บ้านเราเห็นว่าเป็นหนังตลกไร้สาระ...ก็บ้านเขามีคนตายแบบนี้จริงๆนี่น่า ว่ากันว่าสัญลักษณ์ 17 ตัวสุดท้ายของจดหมายนั้น ... คือ ชื่อของเขา ... แต่ก็ไม่มีใครถอดได้ และเขายังคงลอยนวล ตราบจนทุกวันนี้ ...(อันดับหนึ่งนี่ออกแนวโคนันของแท้ มีกาส่ง จม. เตือน ตำรวจล่วงหน้าว่าจะฆ่าใคร ด้วยระหัสลับ ล้ำมาก แต่ดีนะที่ฆาตกรรายนี้ไม่ใช่คนไทย ไม่งั้นวันรุ่นไทยซวยเลย)

เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1270623


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-01 20:59:10


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#109
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-03-2012 - 11:07:28

#109 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-03-2012 - 11:07:28 ]








ponza1144
#110
02-03-2012 - 11:22:37

#110 ponza1144  [ 02-03-2012 - 11:22:37 ]





ดันจ้า



นานๆครั้งเข้ามาเว็ปที ชอบกินเนื้อมากกว่าผักอะผิดเร...
Nebula Eva
#111
02-03-2012 - 13:51:50

#111 Nebula Eva  [ 02-03-2012 - 13:51:50 ]





quote : ponza1144

ดันจ้า

ขอบคุณที่ช่วยดันค่ะ แต่นอกจากคอมเม้นแล้วห้ามดันน๊า~



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#112
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-03-2012 - 13:53:10

#112 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-03-2012 - 13:53:10 ]






อ่านเรื่องลึกลับจนกลัวเเล้วมาอ่านเรื่องเศร้าๆบ้างดีกว่า(โปรโมรจ้า)
http://www.thaithesims3.com/topic.php?topic=75889



แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-02 13:53:27

Nebula Eva
#113
02-03-2012 - 14:00:10

#113 Nebula Eva  [ 02-03-2012 - 14:00:10 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

อ่านเรื่องลึกลับจนกลัวเเล้วมาอ่านเรื่องเศร้าๆบ้างดีกว่า(โปรโมรจ้า)
http://www.thaithesims3.com/topic.php?topic=75889




ไปอ่านมาแล้ว 555 เดี๋ยววันนี้ต่อด้วยเรื่องเลือดสาด



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#114
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-03-2012 - 14:01:38

#114 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-03-2012 - 14:01:38 ]






quote : Nebula Eva

quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

อ่านเรื่องลึกลับจนกลัวเเล้วมาอ่านเรื่องเศร้าๆบ้างดีกว่า(โปรโมรจ้า)
http://www.thaithesims3.com/topic.php?topic=75889




ไปอ่านมาแล้ว 555 เดี๋ยววันนี้ต่อด้วยเรื่องเลือดสาด

จะให้แต่งไหมล่ะ เเต่แล้วถึงขั้นบูชาป๋าเคมเชียวน้า


Nebula Eva
#115
02-03-2012 - 14:53:29

#115 Nebula Eva  [ 02-03-2012 - 14:53:29 ]





quote :
หลายคนอาจาเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างแล้ว เราไปดูประวัติของเขาเลยดีกว่า

แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstein)



      200 ปี ก่อนที่กรุงเจนีวา มีชายผู้หนึ่งชื่อว่านายวิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ (Victor Frankenstein) เขาเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความสุขสบาย เรียกว่า ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนก ก็ได้ทั้งนั้นทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปในพริบตาในชีวิตของเขาจึงไม่มีอะไรที่ชวนท้าทายความคิดหรือความสามารถของเขาเลยเพราะหากต้องการอะไรก็จะมีคนคอยหาให้อยู่เสมอ

      จนกระทั่งเมื่อเขาเติบโตเป็นหนุ่มและมีโอกาสเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย อินโกลด์สตัดต์ (Ingoldstadtuniversity) วิคเตอร์มีโอกาสไดพบกับ เฮนรี่ เคลวอล (Henri Clerval)เพื่อนผู้หักเหชีวิตของเขาให้เปลี่ยนแปลงไป เฮนรี่ได้ชักจูง วิคเตอร์ให้หันเหความสนใจมาสู่เรื่องราวเหนือธรรมชาติทั้งสองต้องการที่จะไขปริศนาลับเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ความเร้นลับที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถที่จะไขความลับดังกล่าวได้



      พวกเขามีความปรารถนาว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งให้ได้ด้วยแรงจูงใจและความใคร่รู้ทำให้ วิคเตอร์ และเฮนรี่ตกลงใจที่จะทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าวด้วยตนเองพวกเขาเริ่มต้นด้วยการรวบรวมศพของผู้ตายเอาไว้เป็นจำนวนมากหลังจากนั้นก็คัดเลือกเอาอวัยวะที่สวยที่สุดของศพแต่ละศพมาเย็บเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ชีวิตใหม่ที่เขาเนรมิตขึ้นมาเป็นชีวิตใหม่ที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดเพราะอวัยวะทุกชิ้นถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี



      ภายหลังจากได้เย็บอวัยวะทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกันจนกระทั่งมีรูปร่างสมบูรณ์แบบเหมือนมนุษย์ทุกประการ พวกเขาก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษบางอย่างทำให้มนุษย์ทดลองของเขาสามารถฟื้นฟูคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง



      แต่ผลงานชิ้นนี้กลับไม่ได้สร้างความยินดีปรีดาให้แก่ วิคเตอร์และเฮนรี่ เลย มนุษย์จำลองค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้า ๆแต่อนิจจา ผิวพรรณที่เหลืองซีดของมัน ทำให้มันกลายเป็นซากศพเดินได้ที่มีสภาพน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งร่างกายที่ปราศจากเลือดฝาด
ทำให้ปลายเล็บซีดคล้ำ ดวงตาที่ลึกโบ๋ยิ่งเสริมให้ใบหน้าของมันน่ากลัวมากยิ่งขึ้น มันพยายามที่จะยิ้มให้แก่ วิคเตอร์ และเฮนรี่แต่ทั้งคู่กลับรู้สึกว่ามันกำลังแสยะยิ้มให้แก่เขา .....



      ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจของเขาทั้งสอง ทั้งคู่ต่างวิ่งเตลิดออกจากห้องลับที่ที่ใช้เป็นสถานที่ในการศึกษาทดลองในครั้งนี้ทั้งคู่วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต และไม่รู้ว่าตนเองจะทำอย่างไรกับมนุษย์จำลองนี้ดี จะทำลายก็เสียดาย แต่จะเก็บเอาไว้ก็ดูน่าเกลียดน่ากลัว

      พวกเขาตัดสินใจอยู่นานกว่าที่จะกลับเข้ามาในห้องลับอีกครั้ง แต่สิ่งประดิษฐ์อันแสนพิลึกของพวกเขาไม่รู้ว่ามันไปแอบอยู่ที่ใดหากยังอยู่ ในสายตาของพวกเขา เขาก็ยังทราบว่ามันทำอะไรบ้างแต่นี่ก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แต่อีกใจหนึ่งพวกเขารู้สึกใจที่มันหายไปได้ เพราะมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน



      หลังจากนั้นไม่นานนัก วิคเตอร์ ก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อวิลเลี่ยม แฟรงเกนสไตน์ (William Frankenstein) น้องชายของเขาถูกฆ่าด้วยการบีบคอจนตายผู้คนต่างกล่าวโทษ จัสติน มอริทซ์(Justine Morite) พี่เลี้ยงที่อยู่ใกล้ชิด วิลเลี่ยมมากที่สุด จัสตินกลายเป็นนักโทษที่ต้องรับความผิดที่ตนเองไม่ได้กระทำเพราะไม่มีหลักฐานใดมายืนยันได้ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่วิคเตอร์ รู้ว่าคนที่สังหารน้องชายของเขานั้นไม่ใช่คนอื่นเลย มันต้องเป็นเจ้าชายซากศพเดินได้ตัวนั้นอย่างแน่นอน มันคงจะโกรธแค้นที่เขาสร้างมันขึ้นมาและไม่ได้ดูดำดูดีมัน มันจึงกลับมาลงโทษเขา



1 ปีผ่านไป

      วิคเตอร์ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ของเขาภายหลังจากที่วิลเลี่ยมตาย แต่แล้ววันหนึ่ง ในขณะที่เขาไปพักผ่อนแถวเชิงเขา มองท์ บลังค์ ( Mont Blanc) มันก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ วิคเตอร์ ไม่ได้หนีไปไหน เขาพยายามตั้งสติพูดคุยกับมัน เพื่อให้รู้ถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของมันภายใน 1 ปี หลังจากที่เขาได้ชุบชีวิตมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เจ้าผีดิบได้เล่าให้นายผู้ให้กำเนิดมันฟังว่าภายหลังจากที่ วิคเตอร์ และเพื่อนได้วิ่งหนีมันออกไปแล้วนั้น มันก็ได้เดินโซซัดโซเซออกมาข้างนอก แต่เดินไปทางใดผู้คนก็แตกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งมันก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดทุกคนจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้กับมัน แม้ว่ามันจะช่วยชีวิตเด็กน้อยผู้หนึ่งเอาไว้จากการจมน้ำ แต่แทนที่จะได้รับคำขอบคุณเป็นการตอบแทน พ่อของเด็กผู้นั้นกับยิงปืนขับไล่มันเพราะกลัวว่ามันจะไปทำอันตรายต่อลูกของเขา ก็นับว่าเป็นความช่วยของเจ้าผีดิบที่มีหน้าตาแปลกประหลาดจากคนธรรมดา ทำให้ผู้คนหวาดกลัวโดยที่มันก็ไม่รู้เลยว่า ตนเองนั้นมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวขนาดนั้น ภายหลังจากถูกยิงขับไล่ มันก็ไดหนีกระเชอะกระเชิงไปจนกระทั่งไปเจอกับเด็กน้อยผู้หนึ่งที่มีหน้าตาน่ารัก มันรู้สึกว่าอยากจะกอดแสดงความรักใคร่ต่อเด็กคนนั้น แต่เนื่องจากการควบคุมแรงของมือยังไม่ดีพอทำให้แรงกดของมันกลายเป็นแรงบีบรัด ส่งผลให้หนูน้อยที่น่ารักคนนั้นสิ้นใจตายและเป็นที่มาของการสิ้นชีวิตของ วิลเลี่ยม น้องชายของวิคเตอร์นั่นเอง

      จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างเป็นผีดิบที่น่าสงสารเอาการ เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ที่เลือกจะมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่กลับมีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่งด้วยใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัว ผิวหนังที่เหี่ยวย่น ประกอบกับร่างกายที่สูงใหญ่ผิดมนุษย์มนาก็ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่พบเห็น ความหวาดกลัวของผู้คนทำให้มันต้องมีชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครต้องการพบเจอหรือคบค้าสมาคมด้วย



      เจ้าผีดิบได้เล่าชีวิตความเป็นอยู่ภายใน 1 ปีที่ผ่านมาให้แก่ วิคเตอร์ นายของมันหลังจากนั้นมันก็ได้ขอร้องให้ วิคเตอร์สร้างเพื่อนหญิงให้ในอีกสักตัวแล้วมันจะพาคู่รักของมันไปอาศัยอยุ่ในป่าทึบที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ มันให้สัญญากับนายมันว่า จะไม่มีใครได้เห็นหน้าของมันอีก ขอแค่ให้มีเพื่อนสักคน

      หลังจากที่วิคเตอร์ ฟังเรื่องราวอันยืดยาวของมันจนจบ เขาก็ตัดสินใจตกลงที่จะกระทำตามคำของของมัน เพราะเรื่องวุ่นๆ ทั้งหลายจะได้จบสิ้นเสียทีอีกทั้งสงสารที่มันต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว วิคเตอร์ และเฮนรี่ จึงได้กลับไปรวบรวมซากศพของผู้ที่เสียชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่การทดลองในครั้งที่สองดำเนินไปได้ไม่ถึงไหน ทั้งสองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเข้าอาจจะสร้างครอบครัวผีดิบขึ้นมาใหม่ซึ่งอาจจะสร้างปัญหาให้มากขึ้น อดทนที่จะแก้ไขปัญหาให้เสร็จลุล่วงไปได้ พวกเขาจึงหยุดสร้างผีดิบตัวที่สอง

      การหยุดทำงานของ วิคเตอร์ และ เฮนรี่ อย่างกะทันหัน ทำให้เจ้าผีดิบรู้สึกงุนงงมาก มันจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้นายของมันสร้างคู่รักแสนสวยให้เสร็จแต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล พวกเขาไม่ยอมที่จะทำงานต่อ ทำให้ผีดิบรู้สึกโกรธแค้นมากที่คำขอร้องของมันไม่เป็นผล มันจึงได้กล่าวอาฆาตแค้นเขาเอาไว้ว่า เมื่อใดที่เขาแต่งงาน มันจะกลับมาหาเขาอีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นมันก็หลบหนีไป

      วิคเตอร์ และ เฮนรี่ ได้ย้ายหนีเจ้าผีดิบไปที่ไอร์แลนด์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหนีมันพ้น เฮนรี่ เป็นผู้เคราะห์ร้ายคนแรก เขาถูกเจ้าผีดิบสังหารจนกระทั่งเสียชีวิต เจ้าผีดิบได้ให้บทเรียนบทแรกแก่ วิคเตอร์ เพราะเมื่อมันต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวนายของมันก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นกัน แต่การแก้แค้นของมันก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก เพราะหลังจากที่ทนความเหงาไม่ไหว วิคเตอร์ ก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหญิงคนรัก

      ในคืนวันแต่งงานที่ควรจะเป็นคืนแห่งความสุขในชีวิตของ วิคเตอร์ เขากลับพบกับความทุกข์ทรมานในอย่างที่สุด เมื่อเจ้าสาวสุดที่รักของเขาถูกเจ้าผีดิบสังหารจนเสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง เจ้าผีดิบได้จองล้างจองผลาญ วิคเตอร์ ตามที่มันลั่นวาจาเอาไว้จริงๆ เรียกว่ากงกรรมกงเกวียนก็คงจะไม่ผิดเทาใดนักเพราะเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วไม่ดูแลรับผิดชอบให้ดีมันก็ย่อมก่อปัญหาตามมาอย่างไม่รู้จักจบรู้จักสิ้น

      ความทุกข์และความหวาดกลัวเริ่มโถมเข้าสู่จิตใจของ วิคเตอร์ เขาพยายามที่จะหลบหนีเจ้าอสูรกายทุกวิถีทางแต่ยิ่งหนีก็เหมือนกับว่ามันก็ยิ่งตามเหมือนตัวเราและเงาที่ต้องติดกันไปตลอดเวลา ซึ่งในตอนนี้ วิคเตอร์ รู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก เหตุใดเจ้าผีร้ายมันจึงไม่หนีไปที่อื่น ทำไมต้องตามมาจองล้างจองผลาญเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งหนีก็ยิ่งตาม ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดมันก็ตามเขาไปถูกทั้งสิ้นเขาคิดใครครวญอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี



      จนกระทั่งวันหนึ่ง วิคเตอร์จึงตัดสินใจที่จะเล่นเรือหนีไปยังขั้วโลกเหนือด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า เจ้าผีร้ายจะไม่มีทางตามหาเขาเจออย่างแน่นอน แต่แล้วดินแดนแห่งใหม่นี้กลับกลายเป็นสุสานสำหรับตัวของเขา อากาศที่หนาวเหน็บ ทำให้ร่างกายของ วิคเตอร์ ที่อ่อนแออยู่แล้วกลับล้มเจ็บลงสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับธรรมชาติที่หนาวเหน็บ วิคเตอร์ เสียชีวิตอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากญาติพี่น้อง เขาเสียชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวและเหงาหงอย

      หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปไม่นาน เจ้าผีดิบก็ได้ตามมาถึงตัวนายของมันแต่ไม่ทันเสียแล้ว มันไม่สามารถที่จะตาม วิคเตอร์ ได้อีกแล้ว
เพราะวิคเตอร์ได้ด่วนลาหนีมันไปยังปรโลกเสียแล้ว การตายของวิคเตอร์ ทำให้เจ้าผีดิบเสียใจเป็นอย่างมาก เหตุใดนายที่มันเฝ้าจงรักภักดีถึงได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทิ้งมันให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ ทำไมเขาจึงไม่มีความรับผิดชอบ สร้างมันขึ้นมาแต่กลับทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เมื่อเห็นว่าหน้าตาของมันอัปลักษณ์ ไม่สวยงามอย่างที่เขาเคยคิดหรือหวังเอาไว้ มันทำความผิดอะไรเอาไว้ถึงต้องทำกับมันเช่นนี้

      การที่มันเฝ้าติดตามเขานั้น มันต้องการเพียงแค่ให้เขารักและปรานีแก่มันบ้าง เพราะในโลกนี้ก็คงมีเพียงแค่นายของมันเท่านั้นที่ไม่กลัวมันและรู้จักมันเป็นอย่างดี มันไม่หวังให้คนอื่นมารักใคร่มัน ขอเพียงแค่นายของมันรักและเข้าใจมันก็พอ แต่ก็ดูเหมือนว่าความหวังสุดท้ายของมันก็เป็นหมันเสียแล้ว มันก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมบนโลกใบนี้ เจ้าผีร้ายจึงได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายทันที คงเหลือไว้เพียงความงงงันของลูกเรือที่พบเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาด

      เรื่องราวเหล่านี้จึงกลายเป็นตำนานของผีดิบ แฟรงเกนสไตน์ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรเลย แต่คนเล่าไม่รู้จะเรียกว่ามันอะไรดี จึงเรียกชื่อผู้ที่สร้างมันแทน เรียกไปเรียกมาก็เลยกลายเป็นชื่อของมันไปเสียเลยก็นับว่าเป็นผีดิบที่น่าสงสาร เพราะหากเรามีโอกาสฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งแต่กลับไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ เพราะเดินไปทางไหนผู้คนต่างก็หวาดกลัวและคอยหลบหนีหน้าเราไปนั้น เราก็คงไม่อยากที่จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

      บทเรียนครั้งหนึ่งถ้าหากจะกล่าวโทษก็คงต้องโทษ วิคเตอร์ และเฮนรี่ ที่แอบไปเล่นพิเรนทร์ สร้างมนุษย์ไห้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ฝืนธรรมชาติ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามที่ใจของตนเองวาดหวังเอาไว้ ก็ไม่รับผิดชอบหรือหาหนทางแก้ไขกลับทิ้งให้เป็นปัญหาคาราคาซัง สุดท้ายตนเองก็ต้องกลายเป็นคนที่รับเคราะห์ร้ายเสียเอง ไม่แน่ใจว่าในอนาคตอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์ขี้เล่นสามารถชุบชีวิตมนุษย์ขึ้นมาใหม่ได้เหมือน วิคเตอร์คราวนี้เราอาจจะมีเรื่องราวตื่นเต้นในชีวิตเกิดมากขึ้นก็เป็นได้ผีดิบอาจจะเดินสวนกับมนุษย์โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ได้

เครดิต : www.aksorn.com


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-02 15:06:39


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
ponza1144
#116
02-03-2012 - 14:58:42

#116 ponza1144  [ 02-03-2012 - 14:58:42 ]





ดัน



นานๆครั้งเข้ามาเว็ปที ชอบกินเนื้อมากกว่าผักอะผิดเร...
เด็กซ่าบ้านแสบ
#117
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-03-2012 - 15:00:37

#117 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-03-2012 - 15:00:37 ]








เด็กซ่าบ้านแสบ
#118
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-03-2012 - 15:34:28

#118 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-03-2012 - 15:34:28 ]






เพลงใหม่มันก็ยังคงความสยองอยู่นะ


Nebula Eva
#119
02-03-2012 - 15:47:50

#119 Nebula Eva  [ 02-03-2012 - 15:47:50 ]





quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

เพลงใหม่มันก็ยังคงความสยองอยู่นะ



ให้เข้ากับบรรยากาศในกระทู้น่ะ



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#120
เด็กซ่าบ้านแสบ
02-03-2012 - 15:48:23

#120 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 02-03-2012 - 15:48:23 ]






quote : Nebula Eva

quote : เด็กซ่าบ้านแสบ

เพลงใหม่มันก็ยังคงความสยองอยู่นะ



ให้เข้ากับบรรยากาศในกระทู้น่ะ




ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ