quote :
เมื่อเช้าไปรื้อๆการ์ตูนเรื่องแขนกลคนแปรธาตุจากในห้องน้ามา วันนี้เลยปิ๊งไอเดียว่าวันนี้ลงเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ อาจไม่ค่อยเกี่ยวกับหัวกระทู้เท่าไร แต่อยากให้อ่านกัน
การเล่นแร่แปรธาตุ / Alchemy
แรกนี้ ก็ขอเปิดตัว เล่นแร่แปรธาตุ ในเรื่องแขนกลคนแปรธาตุเวลาจะใช้วิชานี้จะต้องวาดวงแหวนเวทย์ละรายเวทย์ก่อนและจะทำการเปลี่ยนโลหะเป็นชนิดโลหะหรืออาวุธอื่น
ความจริงแล้ววิชาเล่นแร่แปรธาตุคืออะไรกันแน่ ? หลายคนอาจจะคิดว่า การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นสิ่งที่เหลวไหล เป็นไปไม่ได้ ฟังดูก็ไม่ค่อยจะ วิทยาศาสตร์เท่าไรนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่า เพราะความพยายาม ที่จะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของธาตุนี่แหละ ที่ทำให้เราสามารถค้นพบ สาร (materials) ชนิดใหม่ๆ ที่มีคุณสมบัติ แปลกๆ น่าสนใจ แตกต่างกันออกไปขึ้นมาได้
วิชาเริ่มมาจากนักปรัชญากรีกชื่อดังอย่าง อริสโตเติล (Aristotle) มองสสารบนโลก ในรูปของ ดิน (earth) น้ำ (water) ลม (air) และ ไฟ (fire) ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ถูกสร้างมาจาก การรวมตัวของธาตุทั้งสี่นี้ ตัวอย่างเช่น กระดูก ประกอบด้วย ไฟ 3 ส่วน และ ดิน 4 ส่วน
ความเชื่อนี้เกิดมาจาก นักมายากล ชื่อ เอ็มพิดอเคิลส์ (Empedocles) เมื่อกว่า 2000 ปีที่แล้ว เอ็มพิดอเคิลส์ เชื่อว่า โลกเกิดจาก ธาตุทั้งสี่ชนิดนี้รวมตัวกันด้วยความรัก แต่แล้วก็เกิดทะเลาะวิวาทกัน จึงแบ่งแยกไปเป็น ท้องฟ้า (sky) กับ ดวงอาทิตย์ (sun) และ โลก (earth) กับ มหาสมุทร (oceans) เอ็มพิดอเคิลส์ ยังเชื่ออีกว่า ในที่สุด ความรัก จะสามารถรวบรวมธาตุทั้งหมดเข้าด้วยกัน อีกครั้งหนึ่ง (เหมือนนิยายน้ำเน่าหน่อยๆ เลยเนอะ)
แล้วเมื่อเข้าสู่ยุคของไอแซก นิวตัน (รวมถึงไอแซกนิวตัน เอง) ความเชื่อนี้ได้พัฒนาจากความคิดเป็นศาสตร์ของการเปลี่ยนธาตุราคาถูก เช่น ตะกั่วให้เป็นธาตุราคาแพง คือ ทอง เป็นศาสตร์ที่แพร่หลายและรู้จัก ที่เรียกว่าเป็น อัลเคมี ( Alchemistry) ซึ่งมักเรียกว่าเป็น ศาสตร์ของการเล่นแร่แปรธาตุ
นักอัลเคมีในอดีต แข่งขันในการหาวิธีเปลี่ยนธาตุ คือ ตะกั่ว ให้เป็นทองคำ โดยแข่งขันหาของวิเศษ ที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนธาตุ ได้คือ " หินนักปราชญ์ " และเมื่อเวลานานเข้าเรื่องของการเล่นแร่แปรธาตุโดยอัลเคมี ได้เสื่อมสลายไปกับการเริ่มต้น ของยุคเคมีใหม่ กับนักเคมีดัง เช่น ลาวัวซิเอ (Lavoisier ) เมื่อสองร้อยปีเศษในอดีต
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงยุคของวิทยาศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 20 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน จริง ๆ แล้ว สิ่งนี้นัก อัลเคมี พยายามทำกัน ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นั่นคือ นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่สามารถเปลี่ยนธาตุจากธาตุหนึงไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ เพราะธาตุ ทุกชนิด ล้วนมีองค์ประกอบพื้นฐานเหมือนกัน คือ โปรตรอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน ความแตกต่างของชื่อธาตุต่าง ๆ ก็ขึ้นอย่างกับจำนวนของ โปรตรอน เท่านั้นเป็นหลัก นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน ก็สามารถ ทำหน้าที่เป็น นักอัลเคมียุคใหม่ ได้ โดยวิธีทางนิวเคลียร์ ทำให้เกิดปฏิกริยานิวเคลียร์ เปลี่ยนธาตุหนึ่งไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ แล้วนักอัลเคมียุคใหม่ เปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำได้หรือไม่ คำตอบคือไม่คุ้ม เพราะค่าใช้จ่ายในการลงทุน เปลี่ยนธาตุ ตะกั่วเป็นทองคำจะสูงกว่าราคาทองคำ ที่ถูกสร้างขึ้นมามาก
อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ อะตอมที่รวมกันเป็นวัตถุนั้น ประกอบด้วยตัวที่ว่างเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ตัวเราเองก็ประกอบด้วยช่องว่างเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน แต่ทำไมเราเดินทะลุประตูที่ปิดอยู่ไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง อะไรทำให้สะสารคุมกันอยู่ได้
อะตอมได้ปะทะกันเป็นล้าน ๆ ครั้งทุก ๆ วินาที หากในเชิงกลศาสตร์ มันยิ่งกลับคงตัวอยู่ได้
อะตอมตามการอธิบายแบบดาวเคราะห์ ตามกฏกลศาสตร์ดั้งเดิม เมื่อชนกันแล้วจะไม่คงสภาพอยู่ได้ อะตอมของออกซิเจนจะจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนได้เสมอ ไม่ว่าจะปนกับอะตอมอื่นมากี่ครั้งแรงซึ่งยึดเหนี่ยวสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันนี้เอง ทำให้เป็นช่องว่างที่ผ่านไม่ได้เมื่อแรงยึดเหนี่ยวระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นสูงมาก ทำให้เกิดเป็นช่องว่างที่ผ่านไม่ได้ แต่ถ้ามีความเร็วที่สุดกว่าเกิดขึ้น จะผ่านได้หรือไม่ กับการเรียงตัวของอะตอมในผลึกต่าง ๆ ถ้าแรงยึดเหนี่ยวถูกจัดให้เปลี่ยนไป ผลึกเหล่านั้นจะเปลี่ยนหรือไม่ สรุปก็คือ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ไม่มีอะไรที่จะผ่านช่องว่างนั้นไปได้ เพราะวัตถุมีการปะทะกันของอตอมนับล้าน ๆ ครั้งในแต่ละวินาที ....แต่..... ถ้ามีความเร็วกว่านั้นที่จะผ่านไปได้ และสามารถเปลี่ยนรูปผลึกใหม่ได้ล่ะ?
มนุษย์เชื่อเรื่องทุกเรื่องที่วิทยาศาสตร์บอก แต่มนุษย์ไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ท่านรับสั่งไว้แล้วว่า อย่าเชื่อโดยไม่พิสูจน์ มนุษย์ไม่พิสูจน์แล้วก็ไม่เชื่อ
การเล่นแร่แปรธาตุตามความเชื่อต่างๆ เป็นหนึ่งในหลายสาขาของเวทมนต์ซึ่งเริ่มมีขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 23 สมัย โรซีครูเชียน (Rosicrucian :โรซีครูเชียนคือ กลุ่มคนชาวอียิปต์ที่อ้างว่าาเข้าใจพลังอำนาจของเอกภพ) พลังลึกลับที่เปลี่ยนเหล็กธรรมดาให้เป็นทองได้ยังรวมไปถึงการทำยาอายุวัฒนะ หรือที่คนจีนเรียกว่า ตัน---Tan ซึ่งกินแล้วช่วยให้เป็นหนุ่มสาวตลอดกาล อายุยืนหมื่นปี หรือเป็นอมตะและการสร้าง มนุษย์สังเคราะห์ในหลอดแก้ว โฮมูนคูลัส---Homunculus ด้วย
ว่ากันว่า ศาสตร์แขนงนี้ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดมาจาก เทพเจ้าอียิปต์ ที่มีนามว่า ธอธ---Thoth ซึ่งเป็นเทพผู้สร้างวิทยาศาสตร์ ชาว กรีก กับชาว โรมัน เรียกเทพองค์เดียวกันนี้ว่า เฮอร์เมส---Hermes ถือกันว่าเป็นเทพประจำอาชีพหลายอาชีพ
แม้กรรมวิธีจะยุ่งยากและสับสน ความพยายามที่จะเข้าใจรายละเอียดในกระบวนการของมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย การค้นคว้าหาสูตรที่จะเปลี่ยนแร่ธาตุต่าง ๆ ให้กลายเป็นทองนั้นอาจถูกมองว่า เป็นเพราะความโลภมากกว่าความต้องการที่จะค้น
ภาพของ นักรสายนเวท ในวรรณคดีและศิลปะ คือ นักวิทยาศาสตร์ยุคต้น ๆที่นั่งอยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนระอุ พยายามทุกวิถีทางที่จะหลอมแร่ธาตุและแปรให้เป็นทอง โดยแท้จริงแล้ว ความตั้งใจจริงของ รสายนเวท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทางเคมีใด ๆแต่เป็นความต้องการจะค้นหาสัจธรรมและความบริสุทธิ์ของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วย ปรัชญา ศีลธรรม และจิตวิญญาณ นักรสายนเวท ไม่ได้ต้องการค้นหาเวทมนต์ใด ๆ แต่ต้องการค้นหาคำตอบของเอกภพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและลึกลับสำหรับมนุษย์ 0รสายนเวท มีความเกี่ยวพันกับทอง
เนื่องจากทองเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ มีความทนทานต่อปฎิกิริยาต่าง ๆซึ่งทำให้ ทองไม่หมองคล้ำและไม่ถูกกัดกร่อน นอกจากคุณสมบัติเฉพาะตัวแล้ว ทอง ยังเป็นอุปมาของความงาม ความบริสุทธิ์ และความอดทน ทอง จึงเป็นตัวแทนของสิ่งที่ นักรสายนเวท ค้นหา สิ่งใดที่ทำให้แร่ธาตุเปลี่ยนสภาพเป็นทองได้เร็วเท่าไรก็จะมีอำนาจต่อมนุษย์มากตามไปด้วยพิธีกรรมที่ประกอบขึ้นเป็นเพียงการแสดงประกอบการค้นหาสัจธรรมโดยใช้ ทอง เป็นตัวแทน
ประวัติ
นักรสายนเวท มีมากว่า 2,000 ปี ในแถบตะวันตก ตะวันออก และแถบประเทศอาหรับ ถือว่าเป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่มีอายุยาวนานที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่า วัตถุที่นำมาประกอบพิธีคือ ทอง นั้น เป็นที่หมายปองของมนุษย์ทุกสมัยความไม่ซื่อสัตย์และการหลอกลวงย่อมมีขึ้นแน่นอน แต่จุดมุ่งหมายหลักของ รสายนเวท ก็ยังคงอยู่ที่ความสมบูรณ์เป็นเลิศที่แทนด้วยวัตถุที่เป็นเลิศอย่างทองและหมายถึง จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของมนุษย์รสายนเวท นี้มีขึ้นก่อนคริสตกาลทั้งใน จีน และ ยุโรปตะวันออก เริ่มต้นเมื่อประเพณีของ อียิปต์ และ กรีก ถูกนำมารวมกันเพื่อค้นหากุญแจสู่เอกภพ ต่อมา 500 ปีรสายนเวท ใน ยุโรป ก็เสื่อมลงแต่กลับไปเจริญในแถบ อาหรับ และ ตะวันออก แทน กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุโรป ในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นกว่าเดิม จนการศึกษาค้นคว้าแตกแขนงออกไปเป็นศาสตร์หลายแขนง เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นต้น นักรสายนเวท แต่ละคนต่างต่างสมัย ต่างก็มีวิธีของตนที่จะค้นคว้าหาคำตอบของตนเอง จึงทำให้ไม่มีวิธีที่ซ้ำกันเลย แม้จะมีความแตกต่างในกลวิธี ใจความสำคัญ 3 ประการ ก็ยังคงเหมือนกัน
ประการแรก เน้นการศึกษาในวัตถุแร่ ศึกษาในรูปธรรมของวัตถุในห้องทดลอง และการทดลอง
ประการที่ 2 คือ ความเข้าใจในความสำคัญของการบำบัดรักษาโดยใช้สมุนไพรและสารเคมีต่าง ๆ ให้เป็นยาที่มีประโยชน์ใช้รักษาได้
ประการที่ 3 เกี่ยวข้องกับปรัชญาและความลึกลับของมนุษย์ค้นหาแสงสว่างแห่งสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและหน้าที่ของมนุษย์ต่อเอกภาพ ทุกสาขาของ รสายนเวท จะประกอบด้วยใจความสำคัญทั้ง 3 นี้ จะต่างกันก็ตรงที่การเน้นความสำคัญของแต่ละใจความ
ส่วนของไทยนั้น คนไทยแต่โบราณศึกษาปฏิบัติกันมานานแล้ว แต่มีครูบาอาจารย์และผู้เรียนกันได้จริงๆน้อยมาก เท่าที่ทราบกันมา เล่าว่า มีลูกศิษย์สายหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่แหละ ที่เก่งจริงๆ เช่น หลวงปู่ละมัย เพชรบูรณ์ เป็นต้น ที่สามารถเรียนสำเร็จวิชาปรอทได้ (อย่างอื่นก็คงทำได้เช่นกัน)ทำปรอทจากของเหลวมาเป็นของแข็งได้ ทำปิรามิดปรอทออกให้บูชาได้ องค์ละเป็นหมื่นๆบาท ศิษย์สายธรรมกายไปบูชามาเป็นครั้งละเป็นร้อยๆองค์ คนไทยโบราณสมัยก่อนทำทองคำได้เอง นำมาหล่อพระ สร้างพระใหญ่โตมากมาย ตอนเป็นเมืองขึ้นประเทศอื่นๆ ก็ต้องทำทองคำนี่แหละส่งส่วยเขาปีละจำนวนมากๆด้วย จะให้ไปขุดจากไหนจึงจะหามาให้เขาพอและทันได้ ก็ต้องใช้วิชาความรู้พิเศาแบบนี้แหละ คนไทย เมืองไทยจึงเอาตัวรอดมาได้จนทุกวันนี้....หลวงพ่อฤาษี ก็ยืนยันว่ามีจริง และท่านเคยบอกสูตรทำทองคำไว้ให้ด้วย ในหนังสือเรื่องอ่านเล่นของท่าน ลองไปหาอ่านกันดูซิ เผื่อจะรวยกับเขาบ้าง....
เครดิต :
http://www.konrakmeed.com/