โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
รวมเรื่องลึกลับ ตำนาน และความหลอน [เลิกอัพกระทู้นี้ถาวร]
base
#141
04-03-2012 - 16:55:53

#141 base  [ 04-03-2012 - 16:55:53 ]







HNY น้าาาาาาาา
nanaavril
#142
04-03-2012 - 16:59:00

#142 nanaavril  [ 04-03-2012 - 16:59:00 ]






อยากรวยก็หันมาเปลี่ยนอาชีพเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุกันนะจ้ะ



O_o
เด็กซ่าบ้านแสบ
#143
เด็กซ่าบ้านแสบ
04-03-2012 - 17:03:26

#143 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 04-03-2012 - 17:03:26 ]






แหม ถูกใจป๋า



Nebula Eva
#144
05-03-2012 - 11:36:53

#144 Nebula Eva  [ 05-03-2012 - 11:36:53 ]





quote :
555 หลายคนต้องไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อของเจ้าสัวต์พิศวงนี่แน่เลย งั้นมาทำความรู้จักกับมันดีกว่า


บันยิพ / Bunyip


       ออสเตรเลีย มักเล่าที่แปลกประหลาดอยู่เสมอและหนึ่งในนั้นก็ต้องมีตำนานเรื่องตำนาน เกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกกันว่า บันยิพ (Bunyip) รวมอยู่ด้วยเช่นกัน...
สำหรับ เรื่องสัตว์ประหลาดหรือเจ้าตัวประหลาดนี้นั้นก็เป็นตำนานหรือเรื่องเล่าที่ ยังคงกล่าวขาน และมีรายงานการกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ของชาวเผ่าพื้นเมืองอะบอริจินส์ของ ออสเตรเลียโน่นแน่ะครับ (ปัจจุบันก็ยังพบอยู่)

ตำนาน
       ตาม เรื่องตำนานได้เล่ากล่าวเอาไว้ว่าบันยิพ มีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิ ไคน์ ปราตี โววีโววี ทูนาทาบา ดองกัส และอื่นๆ อีกหลายชื่อ นอกจากนี้ชื่อยังแตกต่างกันมากกว่านี้อีก แถมมันยังเผ่าพันธุ์หลายเผ่าพันธุ์กระจายตามภูมิประเทศอีกหลายพันธุ์ บางพันธุ์หน้าแบนเหมือนสุนัขบูลด็อกและหางเหมือนปลา บางพันธุ์คอยาวและมีงอยปากเหมือนนกอีมูแถมมีขนแผงคอที่ห้อยย้อยลงมาเหมือนงู ทะเล แบบเหมือนคนก็มีเพียงแต่รูปร่างน่ากลัว



ว่ากันว่าคนที่เห็นบันยิพส่วนมากมักตาย เพราะถูกมันฆ่า!!
      มี เรื่องเล่ากันว่าบันยิพเป็นจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ พอนานวันเข้าเลยกลายมาเป็นสัตว์ประหลาดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มีนิสัยขี้โมโห มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่เรียกได้ว่าดุร้ายเอาการทีเดียว ถ้าหากมีผู้ใดหรือใครบุกรุกหรือล่วงล้ำถิ่นที่อยู่ของมันแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม เบาะๆ ก็โดนทำร้ายครับ แต่ถ้าแย่หน่อยก็จะโดนมันพาลากเอาลงน้ำไปเลย...และที่สำคัญมันชอบกินคนซะ ด้วยสิ โดยเฉพาะชาวพื้นเมืองอะบอริจิ้นก็กลัวมันมักกลัวมันหนาเพราะพวกผู้หญิงและ เด็กมักหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยสันนิษฐานว่า ถูก บันยิพรากไปกิน..

       แม้ จะมีผู้พรรณนารูปร่างบันยิพแตกต่างกันมากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่บันยิพเหมือนกันคือ มันจะร้องเสียงเดียวกันทั่วออสเตรเลีย เป็นเสียงคำรานดังก้อนสะท้อนกลับในบึงไม้โกงกาง ในแผ่นดินริมแม่น้ำ บ่อน้ำ เสียงของมันจะได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้นระหว่างฝนตกละหลังฝนหายใหม่ๆ และจะหายไปในระหว่างหน้าร้อนเมื่อถ้ำของมันแห้งผาก เชื่อกันว่ามันคงหมกตัวอยู่ในโคลนลึก รอถึงฤดูฝนที่มาถึง
ไม่ ใช่แต่เพียงชาวพื้นเมืองที่มีเรื่องเล่าขานถึงเรื่องของบันยิพเท่านั้นนะ ครับ พวกคนขาวที่ไปตั้งรกรากทีหลังอยู่ที่นั่นก็มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเจ้าบัน ยิพนี่อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของรายละเอียดจะแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเองแต่ก็เล่าขาน กันเป็นในแนวสัตว์ประหลาดที่เฝ้าหนองบึง ผืนน้ำอยู่นั่นเอง...แต่ที่สำคัญมันกินเนื้อคนขาวด้วย

http://i104.photobucket.com/albums/m168/coastwizard/Cryptozoology/Tyrannosaurus/bunyip1.jpg&t=1' class='boardpic' alt='' />


เรื่องจริง
รู้ไหมบันยิพก็ถือเป็นสัตว์เร้นลับเหมือนกัน!!

       มีรายงานการพบเห็นบันยิพนั้นไล่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 แน่ะครับ หลายสถานที่ หลายแห่ง
ในออสเตรเลีย แต่ปีที่มีการรายงานเกี่ยวกับบันยิพมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในช่วงปี ค.ศ.1820-1845 ครับ เรียกได้ว่ายุคทองของเรื่องบันยิพเลยทีเดียว

       ส่วนรูปร่างที่เห็นเหรอ เหมือนในตำนานเปี๊ยบ คือมีหลายรูปร่างแหละ.......คือ มี 4 ขา และแต่ละขามี 3 เล็บ ขนาดลำตัวใหญ่ ที่ตัวด้านหน้ามีเกล็ดปกคลุมไปจนถึงครึ่งของหลังและแผ่นหลังก็ปกคลุมด้วยขน ไปตลอดจนถึงหาง หน้าตาออกจะคล้ายสุนัข บ้างก็ว่าเหมือนหมู มีหางคล้ายตัวบีเวอร์ ขนาดความยาวตลอดตัวราว 10-12 ฟุต แต่ส่วนใหญ่ออกไปทางไดโนเสาร์หรือสัตว์เลื้อยคลาน

       ในช่วงปี ค.ศ.1800 นั้นเคยมีรายงานการพบซากกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับที่ เมืองกีลอง(Geelong) รัฐวิคตอเรีย (Victoria) ของ ออสเตรเลีย โดยรูปร่างกระดูกจะคล้ายกับฮิปโปโปเตมัส แต่แน่นอนครับว่าพอพิสูจน์แล้วไม่ใช่ ก็เลยมีการสันนิษฐานกันไปว่ามันอาจจะเป็นซากกระดูกของบันยิพก็ได้ ว่ากันไปนั่นเลยทีเดียวเชียว

       ต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1845 ก็ มีการขุดค้นพบโครงกระดูกสัตว์ยักษ์ปริศนาอีกเช่นกันครับ ซึ่งลักษณะของกระดูกที่ขุดพบครั้งนี้นั้นรูปร่างคล้ายกับจระเข้ผสมกับนก รูปร่างของโครงกระดูกจระเข้ขณะยืน 2 ขาและตัวพองๆ แบบนกดู นั่นละครับใช่เลย ซึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกีลองได้เคยลงเรื่องและรูปวาดของบันยิพเอาไว้และเอามาตีพิมพ์ใหม่

       ปี1872 บัน ยิพกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่รัฐเซาท์เวลส์ หนังสือพิมพ์วักก้า วักก้าแอ็ดเวอร์ไทเซอร์รายงานข่าวว่าสุภาพบุรษท่านหนึ่งได้เฝ้าดูสัตว์ตัว นั้นอย่างเงียบๆ.....หลาย วันมานับตั้งแต่ มร.เอ ผู้ที่ต้อนแกะข้ามรัฐไปยังเมลเบิร์น ได้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่ริมลากูน เขาได้แวะมาหาข้าพเจ้าที่บ้านและถามว่าสัตว์ที่อยู่ในบึงของเรานั้นมันเป็น ตัวอะไร เขาอธิบายว่ามีตัวอะไรบางอย่างอยู่ในบึงที่ทำให้ตัวเขาและคนงานเลี้ยงแกะของ เขาต้องตกใจกลัว ข้าพเจ้าอดขำเรื่องที่เขาบอกไม่ได้ และนี่ทำให้เขาโกรธถึงกับเชิญข้าพเจ้าให้ไปที่นั่นแล้วไปดูให้เห็นกับตา ข้าพเจ้าจึงไปที่นั่นในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นระหว่างหกถึงเจ็ดนาฬิกา มีคนอื่นตามไปด้วยสองคน คอยอยู่ไม่นานข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนตัวอะไรสักอย่างฝ่าน้ำมาอย่างรวด เร็ว จนทำให้เกิดเสียงดังพอๆ กับเสียงแล่นเรือกลไฟของนอร์ชอร์ เมื่อมองไปทางที่เกิดเสียงนั้นข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวหนึ่งกำลังมุดน้ำตรงเข้า มาหาพวกเราด้วยความเร็วสูง

      เรา ยืนตัวแข็งด้วยความทึ่ง และเฝ้าดูการเข้ามาของสัตว์ตัวนั้น ซึ่งเราคิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องโผล่มาบนผิวน้ำ เพราะมันคงไม่รู้ว่ามีพวกเราแถวนั้น มันยังคงเข้ามาด้วยความเร็วสูงมาก จนกระทั้งมาอยู่ห่างจากขอบลากูนไม่เกิน 30 หลา มันก็หยุดกะทันหันและโผล่พรวดขึ้นมาให้เราเห็นอย่างรวดเร็ว
มัน ลอยตัวอยู่ในน้ำแล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้มองเห็นสัตว์ตัวนี้อย่างชัดเจน สัตว์ที่ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต สัตว์ตัวนี้ยาวเป็นสองเท่าของสุนัขพันธุ์รีทรีฟเวอร์ทั่วๆ ไป ขนตามตัวเป็นเงาสีดำเสนิท และยาวมากลอยแผ่ไปตามผิวน้ำราวห้านิ้ว กระเพื่อมขึ้นลงตามผิวน้ำราวห้านิ้ว กระเพื่อมขึ้นลงตามอาการเคลื่อนไหวของตัวมันเอง ข้าพเจ้ามองไม่เห็นลูกตาของมัน ส่วนหูนั้นเห็นได้ชัด

      .... มัน ไม่ทำเสียงใดๆ ออกมา แต่มันก็เฝ้าดูเราราวครึ่งชั่วโมง นานเข้ามันก็หันหัวกลับมาอย่างเงียบๆ และว่ายออกไปอย่างช้าๆ ไม่แสดงอาการตกใจใดๆ และเราก็เฝ้าดูมันเคลื่อนที่ตามสบายไปตามผิวหน้าของทะเลสาบไกลจนลับสายตา เราตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของมันมาก และข้าพเจ้าได้ตั้งรางวัลไว้ 20 ปอนด์ สำหรับตัวที่ตายแล้ว และ 50 ปอนด์ ถ้าจับมันได้ตัวเป็นๆ”
ปี ต่อมา หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน ลงเรื่องสัตว์ลึกลับตัวนี้ อีกว่าพนักงานรังวัดหลายคนในเรือที่

      ลอยลำอยู่ในทะเลสาบโควอลซึ่งเป็นทะเลสาบ เล็กๆ ยาวราว 30 ก.ม.และกว้างราว 10 ก.ม. พวกเขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ห่างจากเรือของพวกเขาออกไปราว 150 เมตร ซึ่งพวกเขาบอกว่ามีลักษณะเหมือน “พวกเพื่อนผิวดำแก่ๆที่มีผมดำยาว”กำลังว่ายน้ำเป็นเส้นตรงแน่ว แล้วทุกระยะ 6-8 ม. ก็โผล่ออกมาและก็ดำกลับไปใหม่ เหมือนกำลังหาปลาอยู่

       ปี 1876 หนังสือดิอะบอริจินออฟวิคตอเรีย ตีพิมพ์ว่ามีคนเห็นบันยิพที่อ่างเก็บน้ำโคลิบันว่า
“พัน ตรีคุชแมน หัวหน้าพนักงานสำรวจแร่ บอกว่าเขาและมร. เวนเดอร์ ได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งเหมือนสุนัขชอบน้ำ กำลังว่ายอยู่ในอ่างเก็บน้ำมาล์มสบิวรี มันตัวใหญ่และสีเข้มมาก เขาเฝ้ามองสัตว์ตัวนี้อยู่สักครู่ แล้วมันก็ดำหายไป จึงรู้ว่ามันรูปร่างมันไม่ใช้สัตว์ที่เรารู้จัก หัวของมันเหมือนแมวน้ำจืด(Fresh Water Seal)!??

       มร.ดาร์ซี่(Mr.D arcy) อาชีพครู ชอบยิงนกเป็ดน้ำมาก ได้เล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเมื่อปี 1872 ว่า ครั้งหนึ่งเขาไปเที่ยวยิงนกเป็ดน้ำชุมและเขายิงไปหลายตัวที่เดียว แต่ทว่ากระแสน้ำได้พัดพามันออกนอกทะเลสาบ พอดีมีผู้ชายคนหนึ่งเอาเรือท้องแบนบรรทุกเกวียนขับผ่านมา
“ผม บอกเขาถ้าเขาออกไปเก็บเป็ดน้ำให้ ผมจะแบ่งเขาให้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ตกลงทำตาม แต่ขณะที่ผมดูเขาอยู่นั้นผมก็ได้ยินเขาตกใจ พร้อมกันนั้นเรือเขาก็พลิกคว่ำลง และเขารีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง พอมาถึงเขาแทบยืนไม่ไหว และบอกผมว่าพอเขากำลังเก็บเป็ดตัวสุดท้าย ก็มีสัตว์รูปร่างคล้ายพันธุ์รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่หัวกลมแต่ไม่มีหู โผล่ออกมาเกือบจะติดเรือเขา เขาตกใจมากจนทำให้เรือคว่ำ”
ที่รัฐวิคตอเรียนี่อีกเหมือนกัน เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธุ์ 1890 ได้มีข่าวลือถึงสัตว์รูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งอาจเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็ได้อาศัยอยู่บึงใกล้ๆ ตำบลยูโรอา ดังนั้น ในวันศุกร์ที่ 21 เดือน เดียวกันพวกเจ้าหน้าที่สวนสัตว์นครเมลเบิร์นกับช่างภาพสมัครเล่นก็ไปช่วยกัน ลงอสนในบึงแห่งนั้น พวกเขาขึงตาข่ายขวางบึงแล้วช่วยกันใช้ไม้ตีตะล่อมไประยะ แต่ปรากฏวี่แววของสัตว์สัตว์นั้น มันหนีไปได้ ทิ้งแต่รอยเท้าไว้ที่ในพงอ้อริมบึง

       ปี 1927 จอห์น เกล ซึ่งตอนนี้อายุ 95(คงตายแล้วมั้ง) ฟื้นความหลังให้นายร้อยเอกแซมเซาท์เวลล์ เพื่อนของเขา ว่า “ตัว ข้าพเจ้าเมื่อครั้งที่ไปยิงนกเป็ดน้ำอยู่แถวริมแม่น้ำควีนเบยัน ก็เคยเห็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งหน้า รูปร่างคล้ายสุนัข ตัวใหญ่ อยู่ห่างจากข้าพเจ้าราวร้อยหลา ซึ่งดูเหมือนว่ามันเห็นข้าพเจ้า มันทิ้งตัวลงใต้น้ำ แล้วข้าพเจ้าไม่เห็นมันอีกเลย และมีหลายคนบอกว่าเห็นตัวมันที่แม่น้ำสายเดียวกันนี้แถวใกล้ๆ เมือง”

       ปี 1856 อี. เจ.ดันน์ เล่าเรื่องที่ประสบตอนที่ไปตั้งแคมป์พักริมแม่น้ำเมอร์รุมบิดจีแถวกุนดาไก เขาและพรรคพวกได้ยินเสียงมันร้องเหมือนวัว และเห็นบันยิพฝูงหนึ่งกำลังว่ายทวนน้ำซึ่งตอนนั้นท่วมล้นตลิ่ง ชายคนหนึ่งจึงยิงมันด้วยปืนลูกปลาย ส่วนเด็กๆ พยายามวางเบ็ดล่อ แต่ไม่มีใครได้ตัวมันสักตัว

      “รำลึก ว่า สัตว์พวกนี้มีหัวกลม กับไม่มีหู เห็นแต่ลูกตา ขนสีเข้ม ความยาวของสัตว์พวกนี้ราวห้าฟุต ขณะที่ว่ายน้ำอยู่หัวและส่วนหลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ตอนนั้นผมไม่เคยเห็นแมวน้ำมาก่อน ตอนหลังจึงได้เห็นหลายครั้ง ผมเลยคิดว่าสัตว์พวกที่ผมเห็นวันนั้นอาจเป็นแมวน้ำ แต่ระยะทางแม่น้ำเมอร์เรย์กับแม่น้ำรุมบิดจีต่อกันจนมาถึงกุนดาไกก็ราวๆ 2000 ไมล์จากทะเล”

       แม้ว่าปกติแมวน้ำจะเป็นสัตว์ทะเล แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มันว่ายมาที่แม่น้ำเป็นระไกลที่เดียว เมื่อปี 1850 ก็มีคนเคยยิงแมวน้ำที่โคนาร์โกในรัฐนิวเซาว์เวลส์ ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลถึง 1500 กม. ในปี 1890 มีคนเห็นแมวน้ำที่โอเวอร์แลนด์คอร์เนอร์ มันว่ายตามแม่น้ำเมอร์เรย์ในระยะทางถึง 400 กิโลเมตร และในช่วงปี 1930 ก็พบตัวหนึ่งที่บึงชายแม่น้ำเมอร์เรย์ระหว่างเมืองเรนมาร์คกับล็อกซ์ตัน ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลถึง 400 กม.

      ที่ น่าสังเกตคือ ไม่เคยมีการปรากฏภาพเขียนของบันยิพในศิลปะอะบอริจิน ซึ่งนี้หมายความว่าบันยิพไม่ใช้สัตว์ที่พวกเขาสมมุติขึ้นตามคติความเชื่อ หากแต่เป็นสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เพียงแต่มันอาจดุร้ายน่ากลัวจนพวกเขาไม่อยากเข้าไปใกล้เลยไม่รู้แน่ชัดว่า มันมีรูปร่างอย่างไรจึงเขียนไม่ถูก แต่จะว่าไม่เคยมีเลยนั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะครั้งหนึ่งเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 นี้ เองสัตว์ตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกฆ่าตายที่ริมฝั่งลำน้ำแฟรี่คร็ก ใกล้ๆ เมืองอรารัตในรับวิคตอเรีย และเพื่อไว้แสดงให้ลูกหลานรู้สึกความกล้าหาญของพวกตน คนพื้นเมืองเผ่าจับวูรองที่ฆ่าสัตว์ตัวนั้น ก็ขุดร่องตื้นๆ ไปรอบร่างสัตว์ที่ตายนอนอยู่บนพื้น แล้วพวกเขาก็คอยหมั่นถอนหญ้ามิให้ขึ้นมาคลุมภาพที่เป็นรอยลึกอยู่บนพื้นดิน นั้น เมื่อปี 1840 ตอนที่เปิดสถานีรถไฟชาลลิคัมซึ่งอยู่ห่างจากที่ตรงนั้นไปหนึ่งกิโล ภาพนั้นยังคงอยู่ที่นั้น และคงอย่อีกราวปี 1870 แต่ หลังจากนั้นชนเผ่าจับวูรองก็หมดสนใจ ไม่รักษา ปล่อยให้วัชพืชปกคลุม จนภาพสูญหายไปในที่สุด แต่กระนั้น มร.ไอ. ดับบลิว, สก็อต ผู้ดูแลสถานีรถไฟชาลลิคัมก็ได้สเก็ตภาพนี้ไว้

       ปี 1971 แจ๊ค อีแวนส์ ได้พบบันยิพที่บึงใหญ่ห่างจากเมืองลิสมอร์ของนิวเซาท์เวลส์ไปทางเหนือ 32 กม. สัตว์ตัวนั้น “ตัวยาวหลายฟุต มีหัวคล้ายสุนัข หูเล็กและแนบกับหัว ผมเห็นมันจับหงส์ไปกิน”

       นักสัตว์ลึกลับวิทยาก็หาตัวมันเหมือนกันใน ดร.ลุควิก ไลซ์ฮาดต์ เคยเดินทางไปทวีปออสเตเรียมาแล้ว ท่านเชื่อว่าบันยีพน่าจะเป็นโปรโตดอนที่หลงเหลืออยู่ เมื่อปี 1847 ท่านจึงนำคณะค้าหาสัตว์ชนิดนี้ไปถึงใจกลางของทวีป ข่าวออกมาบอกว่าท่านไปถึงแม่น้ำโคกุน เมื่อวันที่ 3 เมษายน 1848 แล้วจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านและคณะอีกเลย

มันคือตัวอะไร?
       มี ทฤษฏีหลากหลายที่ว่าบันยิพเป็นตัวอะไร ก็มีหลากหลายนะ แต่ส่วนมากเน้นสัตว์ดึกดำบรรพ์มากกว่า เมื่อดูก็รู้เลยว่าทำไมหลายคนถึงพรรณนารูปร่างของบันยิพแตกต่างกันออกไป เพราะมันพรรณนาไม่ออกน่ะสิ แหม ขนาดสัตว์ที่คาดว่าเป็นบันยิพก็รูปร่าง ลักษณะแปลกดีแท้ๆ ไม่แปลกสักนิดที่จะมีคนพรรณนาต่างกันออกไป แถมมองเห็นตัวมันไม่ชัดเจนอีก


แมวน้ำ
      สัตว์ ธรรมดาที่เห็นทั่วไปแถวออสเตรเลีย ส่วนใหญ่คนที่เห็นบันยิพเหมือนแมวน้ำ แต่ติดปัญหาคือชาวอะบอริจินรู้จักแมวน้ำเป็นอย่างดี ผิดกับคนขาว จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะจำแมวน้ำกับบันยิพผิด


ปลาติปุส
       สัตว์ หายาก(หรือเปล่า) ออกมาหากินตอนใกล้รุ่งและตอนพลบค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่าเห็นบันยิพ เพียงแต่เจ้าปลาติปุสนี้ตัวมันเล็กไปหน่อย แต่บางที่อาจเป็นเพราะการหักเหของแสงทำให้ปลาติปุสตัวโตผิดปกติก็เป็นไปได้


ปาลอร์เคสตีส(palorchestes)
       เป็น สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่หลายคนคิดว่ามันคือบันยีพ ปาลอร์เคสตีสเป็นสัตว์โบราณคราวเดียวกับไดโปรโตดอน ตัวโตขนาดวัว หัวมีรูปร่างประหลาด เท้าหน้ามีเล็กแหลมคมและมีพละกำลังอาจจะสร้างความน่าสะพลึงกลัวให้กับอะบอริ จินที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ และลเขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นตำนานบันยิพไป

//www.librarything.com/userpics/marsupial-big.jpg&t=1' class='boardpic' alt='' />

สัตว์กระเป๋า Marsupial
       กิลเบิร์ต วิทเลย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตเลียเสนอทฤษฎีที่แปลกไป บอกว่าบันยีพคือสัตว์กระเป๋าที่คล้ายนาคสูญพันธุ์ไปแล้ว


ไดโปรโทดอน (Diprotodon)
       มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าบันยิพมันเคยมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนแต่มันน่าจะเป็นตัว ไดโปรโทดอน (Diprotodon) หรือสัตว์ที่อยู่ในตระกูลจิงโจ้ขนาดใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในออสเตรเลีย ในสมัยบรรพกาลเมื่อประมาณ 20,000 กว่าปีมาแล้ว
       ได โปรโทดอน เป็นสัตว์โบราณที่หน้าตาแปลกชอบอาศัยอยู่ริมบึงและพึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อราว สองหมื่นปีมานี้อีก(ไม่นานเนอะ) หลังจากที่ดินฟ้าอากาศของออสเตเลียเกิดการเปลี่ยนแปลงจนชุ่มชื่นกลายเป็น แห้งแล้ง ที่ลุ่มหนองบึงเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าและทะเลทราย เมื่อขาดอาหารพวกมันเลยสูญพันธุ์ไป
      ซึ่งบางทีเจ้าไดโปรโทดอนนี่อาจจะมีชีวิตเหลือรอดมาจนถึงทุกยุค 80 ในตอนนั้นเลยทำให้กลายมาเป็นต้นตำนานของสัตว์ประหลาดบันยิพในตอนนี้ และมันอาจหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้

เรื่องโม้
      บาง คนก็เชื่อว่าเรื่องเล่าของบันยิพเนี่ยเหลวไหล เป็นเพียงเรื่องเล่าในจินตนาการ เป็นเพียงเรื่องเล่ารอบกองไฟที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นหรือจากนิทานก่อน นอนเท่านั้นครับ สัตว์ประหลาดที่เล่าๆ กันมาน่ะ ไม่มีตัวตนจริงหรอก นิทานก็เป็นนิทาน ตำนานก็เป็นตำนาน จะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง เพราะยังไม่เคยมีใครจับตัวมันได้หรือมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนเลย เจ้าตัวที่เล่าต่อกันมาน่ะ บางทีอาจจะเป็นแค่จระเข้น้ำเค็มตัวใหญ่หรือไม่ก็แค่ฮิปโปโปเตมัสเท่านั้นเอง

เครดิต : http://writer.dek-d.com/haru_tatsu/writer/viewlongc.php?id=351820&chapter=150



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
ponza1144
#145
05-03-2012 - 14:17:41

#145 ponza1144  [ 05-03-2012 - 14:17:41 ]





หน้ารัก



นานๆครั้งเข้ามาเว็ปที ชอบกินเนื้อมากกว่าผักอะผิดเร...
Nebula Eva
#146
06-03-2012 - 12:53:10

#146 Nebula Eva  [ 06-03-2012 - 12:53:10 ]





quote : ponza1144

หน้ารัก


เอาไปเลี้ยงสักตัวไหม



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
Nebula Eva
#147
06-03-2012 - 13:13:44

#147 Nebula Eva  [ 06-03-2012 - 13:13:44 ]





quote :
เรื่องมีอยู่ว่า.....นั่งเล่นDatA.....- -

เอลฟ์

      เอลฟ์ (อังกฤษ: elf) คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) เมื่อแรกเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับพวกเอลฟ์คือ ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แลดูอ่อนเยาว์และงดงาม อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมตะ รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ แต่หลังจาก ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลงานอันโด่งดังของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏออกมา ภาพของเอลฟ์ก็กลายเป็นผองชนผู้เป็นอมตะและเฉลียวฉลาด ทั้งที่คำว่า เอลฟ์ ในวรรณกรรมของโทลคีนมีความหมายแตกต่างไปคนละทางกับตำนานโบราณโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ เอลฟ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีชื่อดังสมัยใหม่อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วย ซึ่งเอลฟ์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์จะแตกต่างออกไปจากเอลฟ์ในลอร์ดออฟเดอะริงส์ และเป็นตัวละครพื้นฐานในเกมแฟนตาซียุคใหม่ด้วย

ที่มาของชื่อ
      คำว่า "เอลฟ์" ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf (บ้างเรียกว่า ylf) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า *albo-z, *albi-z ภาษานอร์สโบราณว่า álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษยุคกลางนับถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven (ภาษาอังกฤษโบราณว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja)

แต่รากคำดั้งเดิมยิ่งกว่านั้นน่าจะมาจากคำในภาษาตระกูล โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน คือ *albh- ซึ่งมีความหมายว่า "ขาว" อันเป็นรากเดียวกันกับคำในภาษาละติน albus ที่แปลว่า "ขาว" อย่างไรก็ดีมีอีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า คำนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ Rbhus นายช่างนักพยากรณ์ในตำนานเก่าแก่ของอินเดีย (ดู พจนานุกรมของอ๊อกซฟอร์ด) แนวคิดนี้ดูหนักแน่นกว่ารากคำในภาษาละตินมาก

คำเรียกเอลฟ์แบบต่างๆ ในภาษากลุ่มเจอร์เมนิก นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ มีดังนี้

เจอร์เมนิกเหนือ
นอร์สโบราณ : álfr พหูพจน์ álfar
ไอซ์แลนด์ : álfar, álfafólk และ huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
เดนมาร์ก : Elver, elverfolk หรือ alfer (คำว่า alfer ในปัจจุบันแปลว่า ภูต (fairies))
นอร์เวย์ : alv, alven, alver, alvene / alvefolket
สวีเดน : alfer, alver หรือ älvor (สำหรับคำเพศหญิง)
เจอร์เมนิกตะวันตก
ดัตช์ : elf, elfen, elven, alven
เยอรมัน : Elf (ชาย) , Elfe (หญิง) , Elfen "fairies", Elb (ชาย, พหูพจน์ Elbe หรือ Elben) เป็นคำสร้างขึ้นใหม่ ส่วน Elbe (หญิง) เป็นคำในภาษาเยอรมันยุคกลางชั้นสูง Alb Alp (ชาย) พหูพจน์ Alpe มีความหมายเหมือนกับ "incubus" (ภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alp พหูพจน์ *alpî หรือ *elpî)
โกธิค : *albs, พหูพจน์ *albeis (โปรคอพิอุส นักปราชญ์ชาวโรมัน มีชื่อเดิมว่า Albila)

เอลฟ์ในตำนานนอร์ส
      เรื่องของเอลฟ์ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในตำนานปรัมปราของพวกนอร์ส ในปกรณัมนอร์สโบราณเรียกพวกเอลฟ์ว่า อัลฟาร์ (álfar) อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีหลักฐานที่เก่าแก่กว่าหรือหลักฐานในยุคเดียวกันกับพวกนอร์ส แต่ชื่อ อัลฟาร์ ก็มีความเกี่ยวพันอยู่อย่างมากในนิทานพื้นบ้านหลายแห่งจนอาจเชื่อได้ว่า เอลฟ์ เป็นที่รู้จักอยู่ทั่วไปนานแล้วในหมู่ชนเผ่าเยอรมัน ไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่เพียงในหมู่สแกนดิเนเวียนโบราณเท่านั้น

ไม่มีแหล่งข้อมูลใดอธิบายได้ชัดเจนว่าเอลฟ์คืออะไร แต่พวกเอลฟ์ดูจะเป็นที่รู้จักในฐานะสิ่งมีชีวิตขนาดเดียวกันกับมนุษย์ มีพลังอำนาจมากและสวยงามมาก มีมนุษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนได้รับยกย่องให้เป็นเอลฟ์หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เช่น กษัตริย์ โอลาฟ เกย์สตัด-เอลฟ์ (Olaf Geirstad-Elf) หรือ วีรบุรุษนาม โวลุนด์ (Völundr) ก็ถูกกล่าวขานว่าเป็น "ผู้เป็นใหญ่แห่งเอลฟ์" (vísi álfa) หรือว่าเป็น "หนึ่งในหมู่เอลฟ์" (álfa ljóði) ดังปรากฏในบทกวี Völundarkviða ซึ่งในวรรณกรรมร้อยแก้วยุคหลังระบุว่าเขาเป็นโอรสของกษัตริย์แห่ง "ฟินนาร์" (Finnar) อันเป็นพลเมืองแถบขั้วโลกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีเวทมนตร์ (หมายถึงพวก ซามี (Sami)) ในมหากาพย์ไทเดรค ราชินีชาวมนุษย์ผู้หนึ่งต้องประหลาดใจเป็นล้นพ้นเมื่อพบว่าคนรักของนางเป็นเอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ในมหากาพย์ Hrolf Kraki กษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ เฮลกิ (Helgi) ขืนใจนางเอลฟ์ตนหนึ่งจนตั้งครรภ์ นางเอลฟ์ผู้นี้กล่าวกันว่าคลุมร่างด้วยผ้าไหมและเป็นสตรีที่สวยงามที่สุดเท่าที่คนเคยพบ

สายเลือดผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์น่าจะเริ่มต้นมาจากความเชื่อเก่าแก่ในตำนานนอร์สโบราณนี้เอง ราชินีชาวมนุษย์ผู้มีคนรักเป็นเอลฟ์ให้กำเนิดวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ Högni ส่วนนางเอลฟ์ซึ่งถูกกษัตริย์เฮลกิขืนใจให้กำเนิดธิดานามว่า สกุลด์ (Skuld) ภายหลังได้วิวาห์กับ Hjörvard ซึ่งเป็นผู้สังหาร Hrólfr Kraki ในมหากาพย์ Hrolf Kraki เล่าว่า สกุลด์ผู้เป็นลูกครึ่งเอลฟ์มีอำนาจวิเศษทางเวทมนตร์ และไม่มีใครสามารถเอาชนะในการศึกกับนางได้เลย เมื่อนักรบคนใดของนางถูกสังหาร นางจะเสกให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป หนทางเดียวที่จะเอาชนะนางได้คือต้องจับตัวนางเสียก่อนที่นางจะเรียกรวมกองทัพของนางได้ ซึ่งรวมถึงกองทัพเอลฟ์ด้วย

ในมหากาพย์ Heimskringla และมหากาพย์ธอร์สไตน์ (Thorstein) มีการบันทึกลำดับสันตติวงศ์ของกษัตริย์ผู้ครอง อัล์ฟเฮม ดินแดนซึ่งสอดคล้องกับแคว้น Bohuslän ในสวีเดนกับแคว้น Østfold ในนอร์เวย์ กษัตริย์เหล่านี้สืบทอดเชื้อสายมาจากเอลฟ์ จึงกล่าวกันว่าเป็นผู้ที่งดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป

แผ่นดินซึ่งปกครองโดยพระราชาอัลฟ์มีชื่อเรียกว่า อัล์ฟเฮม ทายาทของพระองค์ล้วนเป็นผองญาติของเอลฟ์ พวกเขางดงามยิ่งกว่าชนทั้งหลาย
กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้มีชื่อว่า แกนดัล์ฟ (Gandalf)

นักประวัติศาสตร์และนักเทววิทยาชาวไอซ์แลนด์ชื่อ Snorri Sturluson เรียกพวกคนแคระ (dvergar) ว่า "เอลฟ์มืด" (dark-elves: dökkálfar) หรือ "เอลฟ์ดำ" (black-elves: svartálfar) สิ่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อในยุคกลางของสแกนดิเนเวียนหรือไม่ยังไม่แน่ชัดแต่เขาเรียกพวกเอลฟ์อื่นๆ ว่า เอลฟ์สว่าง (light-elves: ljósálfar) ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเอลฟ์กับเทพเฟรย์ (Freyr) ผู้เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ Snorri บรรยายความแตกต่างของพวกเอลฟ์ไว้ว่า

"มีที่แห่งหนึ่งบนนั้น [ในห้วงเวหา] เรียกชื่อว่า นิวาสเอลฟ์ (Elf Home หรือ Álfheimr อัล์ฟเฮม) ผองชนผู้อาศัยอยู่ที่นั่นเรียกว่า เอลฟ์สว่าง (light elves: Ljósálfar) ส่วนพวกเอลฟ์มืด (dark elves: Dökkálfar) อาศัยอยู่ใต้พื้นโลก พวกเขามีร่างปรากฏไม่เหมือนกัน ทั้งมีความจริงแท้แตกต่างกันยิ่งกว่า เอลฟ์สว่างมีร่างปรากฏสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แต่พวกเอลฟ์มืดนั้นดำสนิทยิ่งกว่าห้วงเหว"


เอลฟ์ในตำนานสแกนดิเนเวีย
      ในนิทานพื้นบ้านของชาวสแกนดิเนเวีย ซึ่งได้ผสมผสานกลืนไปกับตำนานปรัมปราของนอร์สกับตำนานของชาวคริสเตียน เรียกชื่อ "เอลฟ์" ออกไปต่างๆ กัน กล่าวคือ elver ในภาษาเดนมาร์ก alv ในภาษานอร์เวย์ alv หรือ alva ในภาษาสวีเดน (คำแรกใช้เรียกเอลฟ์ชาย คำหลังใช้เรียกเอลฟ์หญิง) แต่คำเรียกของชาวนอร์เวย์มักไม่ใคร่พบเห็นในตำนานพื้นบ้านเท่าใดนัก หากพวกเขาต้องการเอ่ยถึงก็มักใช้คำอื่นคือ huldrefolk หรือ vetter ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ขุดรูอาศัยอยู่ใต้พิภพ คล้ายคลึงกับพวกคนแคระในตำนานนอร์สมากกว่าพวกเอลฟ์ หากเทียบกับตำนานไอซ์แลนด์จะเปรียบได้กับชาว huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)

เอลฟ์ในตำนานของเดนมาร์กและสวีเดนจะแตกต่างไปจากพวก vetter ทั้ง ๆ ที่ดินแดนของพวกเขาประชิดแทบเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนภูตตัวเล็กมีปีกเหมือนแมลงในตำนานของชาวบริเตนจะเรียกว่า "älvor" ในคำสวีเดนยุคใหม่ หรือ "alfer" ในภาษาเดนมาร์ก ชาว "alf" ปรากฏในเทพนิยายเรื่องหนึ่งของ เอช. ซี. แอนเดอร์เซน นักเขียนชาวเดนมาร์ก เรื่อง เอลฟ์แห่งกุหลาบ (The Elf of the Rose) โดยที่เขามีตัวเล็กมากจนสามารถใช้ดอกกุหลาบเป็นบ้านได้ อีกทั้งยังมีปีกซึ่ง "ยาวจากไหล่จดปลายเท้า" ทว่าแอนเดอร์เซนยังได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับเอลฟ์อีกเรื่องหนึ่งคือ The Elfin Hill เอลฟ์ในเรื่องนี้กลับไปคล้ายคลึงกับเอลฟ์ในนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ของเดนมาร์ก คือเป็นสตรีผู้สวยงาม อาศัยอยู่ตามเนินเขาและภูผา สามารถเต้นรำกับชายหนุ่มจนกระทั่งเขาสิ้นชีวิต หากมองพวกนางจากด้านหลังจะเห็นเพียงความว่างเปล่า เช่นเดียวกับ ฮุลดรา (huldra) ในตำนานของนอร์เวย์และสวีเดน

เอลฟ์ในตำนานนอร์สซึ่งปรากฏร่องรอยอยู่ในลำนำพื้นบ้านส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิง อาศัยอยู่ตามป่าเขาหรือหมู่หิน älvor ของชาวสวีเดน (เอกพจน์เรียก älva) เป็นเหล่าเด็กหญิงผู้งดงามจนน่าตื่นตะลึง อาศัยอยู่ในป่ากับกษัตริย์เอลฟ์ พวกนี้มีอายุยืนยาวมากและมักรื่นเริงไร้แก่นสาร ภาพวาดของพวกเอลฟ์มักเป็นภาพชนสวยงามผมสีอ่อน สวมเสื้อผ้าสีขาว แต่ก็ดุร้ายเกรี้ยวกราดหากถูกบุกรุก (เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในลำนำพื้นบ้านของสแกนดิเนเวีย) ในนิทาน พวกเขามักรับบทเป็นวิญญาณแห่งความเจ็บป่วย เรียกว่า älvablåst (สายลมแห่งเอลฟ์) ซึ่งปกติแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่มักเกิดเหตุขึ้นเสมอหากพวกเขาถูกทำให้ขุ่นเคือง สามารถรักษาได้โดยใช้แรงลมต้าน Skålgropar ที่สร้างจากเครื่องเป่าลม พบในงานสลักโบราณของสแกนดิเนเวีย ในยุคเก่าแก่เรียกกันว่า älvkvarnar หรือ เครื่องสีของเอลฟ์ (elven mills) ซึ่งสื่อถึงความเชื่อของพวกเขา มนุษย์อาจเอาอกเอาใจพวกเอลฟ์ได้โดยการเสนอสิ่งของที่พวกเขาชื่นชอบ (ส่วนมากมักเป็นเนย) โดยวางเอาไว้ในเครื่องสีของเอลฟ์ สิ่งนี้อาจเป็นกำเนิดของวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในหมู่นอร์สโบราณ ที่เรียกว่า álfablót

หากมนุษย์เฝ้ามองมองเริงระบำของพวกเอลฟ์ เขาจะรู้สึกว่าตนกำลังแลดูการเต้นรำนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ความเป็นจริงเวลาได้ล่วงผ่านไปนานหลายปี (ปรากฏการณ์ทางเวลานี้มีปรากฏในวรรณกรรมของโทลคีน เรื่อง ซิลมาริลลิออน เมื่อธิงโกลเฝ้าดูเทพีเมลิอัน นอกจากนี้ยังปรากฏในตำนานของไอริช เกี่ยวกับ sídhe ด้วย) ลำนำบทหนึ่งในช่วงปลายของยุคกลางเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Olaf Liljekrans เขาได้รับเชิญจากราชินีเอลฟ์ให้เต้นรำด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเข้าร่วมการเต้นรำนั้น ขณะนั้นเขากำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อไปสู่งานวิวาห์ของตน ราชินีเสนอของขวัญให้แก่เขา แต่เขาก็ปฏิเสธอีก นางจึงขู่จะฆ่าเขาหากเขาไม่ยอมเข้าร่วม เขาขี่ม้าหนีไป แต่ก็ตายหลังจากนั้นด้วยโรคร้ายที่ราชินีส่งตามหลังเขามา เจ้าสาวผู้อ่อนเยาว์ของเขาก็เสียชีวิตตามไปด้วยหัวใจแหลกสลาย


เอลฟ์ในตำนานเยอรมัน
      เอลฟ์ ในภาษาแซกซอนโบราณเรียก alf เยอรมันยุคกลางชั้นสูงเรียก alb หรือ alp (พหูพจน์ elbe, elber) ส่วนในภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alb (ตามที่ปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 13) [8] เอลฟ์ดั้งเดิมในตำนานเยอรมันยุคคนเถื่อนนอกศาสนา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ส่องสว่างอาศัยอยู่บนสวรรค์ ทั้งนี้อาจหมายรวมถึงพวกเอลฟ์มืดและคนแคระที่อาศัยอยู่ใต้พิภพด้วย (ดังที่เข้าใจว่าคล้ายคลึงกับพวก álfr ในตำนานนอร์สโบราณ) ในลำนำพื้นบ้านหลังยุคคริสเตียน เริ่มมีการพรรณนาถึงพวกเอลฟ์ว่าเป็นกลุ่มชนซุกซนชอบเล่นแผลงๆ นำความเจ็บป่วยมายังผู้คนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงนำเอาฝันร้ายมาใส่ผู้นิทราด้วย คำในภาษาเยอรมันที่หมายถึงฝันร้าย คือ Albtraum มีความหมายตรงตัวว่า "ฝันของเอลฟ์" คำเก่าแก่กว่านั้นคือ Albdruck มีความหมายว่า "แรงกดของเอลฟ์" เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ฝันร้ายเกิดจากการที่เอลฟ์มานั่งทับอยู่บนทรวงอกของผู้ฝัน ความเชื่อเกี่ยวกับเอลฟ์ในตำนานเยอรมนี้สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับความเชื่ออย่างหนึ่งในตำนานสแกนดิเนเวียเกี่ยวกับ มารา คือจิตภูตสตรีผู้ร้ายกาจที่บันดาลให้เกิดฝันร้าย นอกจากนี้ยังคล้ายคลึงกับตำนานว่าด้วย incubi และ succubi ด้วย[1]

กษัตริย์เอลฟ์มีปรากฏอยู่ในตำนานค่อนข้างน้อย ไม่เหมือนเหล่าเอลฟ์สตรีผู้มีอำนาจมากมายดังในตำนานของเดนมาร์กและสวีเดน มหากาพย์ยุคกลางของเยอรมันเรื่องหนึ่งชื่อ Nibelungenlied มีตัวละครเอกตัวหนึ่งเป็นคนแคระนามว่า Alberich คำนี้มีความหมายตรงตัวแปลว่า "กษัตริย์เอลฟ์ผู้ทรงอำนาจ" ความสับสนปนเประหว่างเอลฟ์กับคนแคระนี้มีปรากฏสืบต่อมาอยู่ในจารึกเอ็ดดา (Edda) ด้วย ชื่อของตัวละครนี้ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Alberon ในเวลาต่อมาได้ปรากฏในวรรณกรรมอังกฤษในชื่อ Oberon ในฐานะกษัตริย์แห่งเอลฟ์และภูตทั้งหลายในบทละครเรื่อง ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน ของ เชกสเปียร์

ในเทพนิยายของพี่น้องตระกูลกริมม์เรื่องแรก คือ Die Wichtelmänner ตัวเอกซึ่งมีชื่อเดียวกับชื่อเรื่องเป็นหุ่นเปลือยสองตัวซึ่งทำงานช่วยช่างทำรองเท้า เมื่อช่างให้รางวัลแก่พวกเขาเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กๆ พวกเขาก็ดีใจมาก แล้ววิ่งหนีหายไปไม่มีใครพบอีกเลย Wichtelmänner เป็นภูตเล็กๆ ชนิดหนึ่งทำนองเดียวกับคนแคระ kobold และ brownie แต่เมื่อบทประพันธ์ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ กลับมีชื่อเรื่องว่า เอลฟ์กับช่างทำรองเท้า (The Elves and the Shoemaker) แนวคิดนี้ยังได้สะท้อนต่อมาอยู่ในวรรณกรรมของ เจ. เค. โรว์ลิ่ง เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในลักษณะของ เอลฟ์ประจำบ้าน

เอลฟ์ในตำนานอังกฤษ
      คำว่า เอลฟ์ (elf) เป็นคำภาษาอังกฤษใหม่ ซึ่งนำมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf (พหูพจน์ ælfe) คำนี้มาสู่บริเตนได้โดยผ่านชาวแองโกล-แซกซอน ยังมีคำที่หมายถึง นางพรายน้ำ (nymph) ในตำนานกรีกและโรมัน ที่แปลมาโดยปราชญ์ชาวแองโกลแซกซอนว่า ælf และเพี้ยนเสียงไปเป็นคำต่างๆ

มีเหตุผลเพียงพอที่จะสันนิษฐานได้ว่า เอลฟ์ของแองโกลแซกซอน น่าจะคล้ายคลึงกับเอลฟ์ในตำนานนอร์สโบราณ กล่าวคือ มีลักษณะเหมือนมนุษย์ รูปร่างสูงใหญ่เหมือนอย่างมนุษย์ มักมีผู้นำเป็นหญิง สามารถให้ความช่วยเหลือหรือทำอันตรายแก่มนุษย์ที่ประสบกับพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง æsir กับ álfar ที่พบในจารึกเอ็ดดา เป็นหลักฐานที่สะท้อนถึงงานเขียนเรื่อง Wið færstice ในตำนานอังกฤษโบราณ รวมถึงเป็นที่มาของคำว่า os และ ælf ในชื่อภาษาแองโกลแซกซอนด้วย (เช่น Oswald หรือ Ælfric)

ในแง่ของความงดงามของเอลฟ์ในตำนานนอร์ส มีคำในภาษาอังกฤษโบราณบางคำ เช่น ælfsciene ("งามดั่งเอลฟ์") สำหรับใช้ในการบรรยายความงามอันยั่วยวนของสตรีบางคนในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เช่นในบทกวีอังกฤษโบราณเรื่อง Judith และ Genesis A เป็นต้น ในชุมชนหลายแห่งตลอดทั่วอังกฤษมักมีความเชื่อต่อพวกเอลฟ์ว่าเป็นพวกที่สวยงามและชอบช่วยเหลือคน แต่ในส่วนของแองโกลแซกซอนแล้ว พวกเอลฟ์เป็นเหมือนกับปีศาจ ตัวอย่างดังเช่นที่ปรากฏในบทกวีเรื่อง เบวูล์ฟ บรรทัดที่ 112 ในอีกทางหนึ่ง oaf ซึ่งเป็นคำที่เพี้ยนมาจาก elf เชื่อว่ามีความหมายเดิมสื่อถึงความลุ่มหลงงมงายอันเกิดจากเวทมนตร์มายาของพวกเอลฟ์

เรื่องของเอลฟ์ปรากฏอยู่มากมายในบทลำนำดั้งเดิมของอังกฤษและสก็อตแลนด์ รวมถึงนิทานพื้นบ้านทั้งหลาย โดยมากเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไปยัง เอลป์เฮม (Elphame หรือ Elfland แดนเอลฟ์ คำเดียวกันกับ อัล์ฟเฮม (Álfheim) ในตำนานนอร์ส) ดินแดนลี้ลับที่น่าหวาดหวั่น บางครั้งภาพวาดของเอลฟ์จะเป็นโครงร่างแสงสว่าง เช่นราชินีแห่งเอลป์เฮมในบทลำนำ Thomas the Rhymer กระนั้นก็มีตัวอย่างมากมายที่เอลฟ์เป็นตัวละครอันแสนชั่วร้าย มักเป็นขโมยหรือฆาตกร เช่นใน Tale of Childe Rowland หรือลำนำ Lady Isabel and the Elf-Knight ซึ่งอัศวินเอลฟ์ลักพาตัวอิซาเบลไปเพื่อสังหารเสีย เอลฟ์ในบทลำนำเหล่านี้มักเป็นเพศชาย มีเอลฟ์หญิงแต่เพียงคนเดียวคือราชินีแห่งแดนเอลฟ์ที่ปรากฏในลำนำ Thomas the Rhymer เท่านั้น แต่ในบรรดาตำนานทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เอลฟ์เป็นภูตพรายร่างเล็กจิ๋ว

นิทานพื้นบ้านของอังกฤษในช่วงต้นยุคใหม่นี้เองที่เริ่มวาดภาพเอลฟ์เป็นผองชนตัวเล็กๆ ผู้ว่องไวและซุกซน แม้จะไม่ใช่ปีศาจแต่ก็มักสร้างความรำคาญแก่มนุษย์หรือขัดขวางกิจธุระให้เสียหาย บางครั้งเล่ากันว่าพวกเอลฟ์สามารถหายตัวได้ ตำนานในลักษณะนี้ เอลฟ์มีความคล้ายคลึงกับพวกภูตมากขึ้น

ในเวลาต่อมา คำว่า เอลฟ์ และ ภูต เริ่มนำมาใช้แทนความหมายของจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติในหลายๆ รูปแบบ ดังเช่น พัค ฮอบกอบลิน โรบิน กู้ดเฟลโลว์ และอื่นๆ คำเหล่านี้และคำใกล้เคียงในหมู่ภาษายูโรเปียนอื่นๆ ก็ไม่ได้สื่อความหมายถึงชนเผ่าในตำนานพื้นบ้านอีกต่อไป

เอลฟ์ในแฟนตาซียุคใหม่
      เอลฟ์ในแฟนตาซียุคใหม่มีรากฐานมาจากนวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ซึ่งอธิบายไว้ว่า เอลฟ์เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กมีใบหูยาว ตากลมโต จมูกยาว และสามารถหายตัวได้หรือมาตามคำร้องขอของเจ้านาย เอลฟ์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ซึ่งเรียกกันว่าเอลฟ์ประจำบ้านมีหน้าที่ดูแล ทำความสะอาดบ้านให้เจ้านาย เอลฟ์ประจำบ้านมักถูกดูถูกเหยียดหยามจากบุคคลทุกประเภทเปรียบเสมือนทาสรับใช้และต้องทำตามทุกอย่างที่เจ้านาย หากทำผิดต้องลงโทษตัวเอง ในนิยายแฟนตาซีสมัยใหม่หรือเกมแฟนตาซีมักยืมลักษณะของเอลฟ์ประจำบ้านมาใช้

quote :
เพิ่มเติม>>ชื่อในภาษาเอลฟ์ของคุณ<<
ชื่อเอลฟ์ของ จขกท. Lúthien Léralondë


เครดิต : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
nanaavril
#148
06-03-2012 - 14:32:57

#148 nanaavril  [ 06-03-2012 - 14:32:57 ]






Nessa Helyanwë นี้ชื่อเอลฟ์ของฉันเอง แต่อ่านข้างหลังไม่ออก

ส่วนอันนี้ชื่อ Hobbit ของแฟนจ้า Mungo Foxburr of Loamsdown แหม จะชื่อยาวไปไหน ส่วนไอ้เราก็ Ruby Bolger


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-06 14:35:46


O_o
Leonie CluB GiRl ZaA
#149
Leonie CluB GiRl ZaA
06-03-2012 - 15:03:17

#149 Leonie CluB GiRl ZaA  [ 06-03-2012 - 15:03:17 ]






Nienna Tulcakelumë



คิดถึง
เด็กซ่าบ้านแสบ
#150
เด็กซ่าบ้านแสบ
06-03-2012 - 16:09:25

#150 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 06-03-2012 - 16:09:25 ]






Elrohir Anárion


Nebula Eva
#151
07-03-2012 - 18:32:59

#151 Nebula Eva  [ 07-03-2012 - 18:32:59 ]





quote :
ยะฮู้!! ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว วันนี้จะว่าด้วยเรื่อง......

ศาสตร์แห่งมังกร
ว่าด้วยวิวัฒนาการของมังกร


      ว่ากันในเชิงชีววิทยาก่อน มันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะหาทฤษฎีที่จะ อธิบายว่ามังกรบินได้ยังไง ทำไมมันพ่นไฟได้ หรือตามความเชื่อที่ว่า เลือดของมังกรใครที่ได้อาบหรือกินเข้าไปแล้วจะส่งผลพิเศษตามมาอีกร้อยแปด

เราลองมาใช้สมมุติฐานทางชีววิทยาอย่างง่ายๆกัน...

      มังกรมันเป็นสิ่งมีชีวิตดังนั้นมันจะต้องมีวัฒนาการ...แต่..มังกรจะต้องมีวิวัฒนาการอย่างไรจึงจะทำให้มันมีขนาดใหญ่โต บินได้ และพ่นไฟออกมาตามเทพนิยาย ความลับของมันน่าจะอยู่ที่คุณสมบัติสามประการต่อไปนี้คือ ขนาดของมัน การพ่นไฟของมัน และท้ายสุด เลือดอันมีคุณสมบัติพิเศษ ของมังกรนั่นเอง

      เรามาถกประเด็นแรกกันก่อน เรามาลองคิดดูว่า ตามเทพนิยายมังกรแต่ละตัวล้วนมีขนาดมหึมาด้วยกันแทบทั้งสิ้น แล้วเจ้าสัตว์มหึมานี้มันบินขึ้นได้อย่างไรโดยที่น้ำหนักตัวมหาศาลของมันไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย?

       ถ้าเราเปรียบเทียบกับสัตว์ปีกชนิดอื่นๆบนโลกนี้ (อย่าลืมทฤษฎีที่ว่า มังกรเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เทพมังกรหรือปีศาจมังกรอย่างในนิทาน) ซึ่งข้อมูลที่ได้มามันก็บอกอะไรเราหลายๆอย่างทีเดียว เป็นต้นว่า ในทุกๆหนึ่งตารางเซนติเมตรของปีกของห่านแคนาดามันสามารถยกน้ำหนักตัวมันเองได้สองกรัม



      ทำนองเดียวกันกับปีกนกนางแอ่นซึ่งยกได้ 132 กรัม นอกจากพวกนกแล้วความรู้ทางชีววิทยายังบอกเราอีกว่าแมลงภู่ยกได้ 1,125 กรัม ในกรณีของนกแก้วข้อแตกต่างก็คือ ลักษณะพิเศษของขนปีกซึ่งอากาศไหลผ่านจากปีกส่วนบนลงสู่ส่วนล่าง ทำให้เกิดความแตกต่างของความดันอากาศขึ้น โอ... ตามทฤษฎีการสร้างเครื่องบินเลยนะเนี่ยคุณนกแก้ว หึหึ..

      แต่มันก็คงจะทะแม่งๆ ถ้ามังกรดันมีปีกที่มีขนเหมือนนก งั้นเราก็มาเปรียบเทียบกับแมลงภู่ดู หากว่าปีกของมังกรมีประสิทธิภาพเฉกเช่นปีกแมลงภู่แล้ว มันจะต้องใช้พื้นที่ปีก 720 ตารางเมตร เพื่อที่จะยกน้ำหนักตัวขนาดเก้าพันกิโลกรัมให้ทะยานขึ้นบนอากาศ ซึ่งปีกลักษณะนี้จะต้องมีความยาวจากปลายด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่งราว 150 เมตร แน่ล่ะว่านอกจากสัตว์ประหลาดในเรื่องอุลตร้าแมนแล้วไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเป็นได้ขนาดนี้ ดังนั้นตัดประเด็นนี้ทิ้งไปได้เลยครับ

       แต่ว่ามังกรมันดันบินได้อะดิ แถมไม่ได้เพียงแค่ถลาไปเหมือนเทอราโนดอน(ไดโนเสาร์ที่มีปีกเป็นพังผืด น่าจะเคยเห็นกันใน Jurassic Park)หรือด้วยอิทธิพลแบบคลื่นอัลเบอร์ทอส มังกรบินได้จริงๆอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จากตำนานต่างๆ มังกรสามารถบินข้ามมหาสมุทรได้ภายในเวลาไม่กี่วัน
       เอาล่ะ ตำนานนั้นอาจเชื่อได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะความเก่าที่เล่าสืบทอดกันมา อาจทำให้รายละเอียดผิดเพี้ยนไปบ้าง เราลองมาคิดกันอย่างมีเหตุและผลดู



       เอาเป็นว่าลองลดขนาดปีกของมังกรลงมาเหลือยาวราวสัก 6 เมตร ซึ่งหมายความว่าจากปลายปีกอีกด้านถึงด้านจะยาว 12 เมตร (ก็ยังคงตัวมหึมาอยู่) ตามหลักกลศาสตร์มันก็ยังคงบินไม่ขึ้นนั่นแหละ เพราะพื้นที่ของปีกหรือแรงยกที่จะทำได้ จะเพิ่มในลักษณะของกำลังสองในขณะที่มวลเพิ่มในลักษณะของกำลังสาม ขนาดยิ่งเล็กลงโอกาสที่จะบินได้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะสมมุติให้มังกรมีปีกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในบรรดาสัตว์ที่เรารู้จักกัน ปีกของมันก็ยังจะทรงพลังจนเหลือเชื่ออยู่ดี เอ๊ะ แบบนี้ก็เหลือทางเดียวอะดิ ที่มังกรจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้โดยไม่อาศัยพลังปีก



      ทางเดียวที่ว่านั้นก็คือ มังกรมีน้ำหนักหรือมวลที่น้อยมากๆ

      เป็นไปได้ไหมว่าเราคลำทางมาผิด และตั้งสมมติฐานผิดๆเกี่ยวกับมังกร เราไม่ควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีขนาดมหึมาอย่างมังกรจึงบินได้ แต่เราควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีความจำเป็นตามธรรมชาติที่จะต้องบินอย่างมังกรนั้น จึงได้วิวัฒนาการจนมีขนาดใหญ่โตเกินความจำเป็นเช่นนี้ การสืบพันธุ์และการร่วงหล่นของมังกรก็เป็นประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและควรจะเก็บมาขบคิดกัน

      เป็นไปได้ไหมว่ามังกรไม่จำเป็นต้องมีปีกตลอดเวลา มันอาจจะมีปีกเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องบินออกมาหาคู่เหมือนกับแมลงบางชนิด เช่นแมลงเม่า ปลวก เป็นต้น และสิ่งหนึ่งที่จะเอามาเปรียบเทียบได้กับมังกรและจะช่วยคลี่คลายปัญหาของการบินของมังกรได้เป็นอย่างดี สิ่งนั้นคือเรือเหาะของเยอรมันในสมัยสงครามโลกนั่นเอง ภาพของฮินเดนเบอร์กตอนระเบิดกลางอากาศ ก๊าซและเชื้อเพลิงลุกไหม้ส่งผลให้โครงเรือแทบกลายเป็นจุลนั้นได้จุดประกายอะไรให้กับ ท่านไหม.. ใช่แล้ว!!



1.มังกรบินได้เพราะลำตัวของมันกลวงและเต็มไปด้วยก๊าซที่เบากว่าอากาศ
2.มังกรจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพราะจะได้เก็บก๊าซได้ปริมาณมากพอที่จะยกตัวมันให้3.ลอยขึ้นสู่อากาศ และสุดท้าย มังกรจำเป็นต้องพ่นไฟ เพราะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอำนวยความสะดวกในการบินที่แปลกประหลาดของมัน

      ทีนี้ปัญหาของ "ปีกมังกร" ที่ถกกันก็คงหมดไปได้ เรารู้แล้วว่ามังกรไม่ได้ใช้ปีกในการพยุงร่างอันมหึมาของมันขึ้นสู่บนอากาศ หากแต่ใช้เพื่อบังคับทิศทางและใช้เป็นเกราะเพื่อป้องกันตนเอง และถ้ามองมังกรอย่างเผินเวลาอยู่บนพื้นเราก็อาจไม่เห็นปีกของมัน ทำนองเดียวกับสัตว์จำพวกแมลงเต่าทองเวลาหุบปีกนั่นเอง

      แล้วไฟของมังกรล่ะ? มีปัญหาเหลือเกินว่าทำไมมังกรจึงมักพ่นไฟเป็นเปลวอยู่ในช่วงสั้นๆของจมูกมันเท่านั้น เอง ทำไมจึงไม่พ่นออกมาเป็นเปลวเพลิงเหมือนก็อดซิลล่า คำตอบก็อยู่ที่พฤติกรรมของพวกมังกรล่ะครับ อย่างที่ขาเกมส์ RPG รู้กันว่ามังกรมักจะอยู่ในถ้ำ มันจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณอากาศจากกระบวนการทางชีววิทยาของมัน แน่ล่ะว่าขีดจำกัดในการควบคุมย่อมต้องมีแน่นอน และผู้ใดที่เรียนเคมีกับชีววิทยากันมาแล้วก็คงจะตอบได้ดีว่า ….

กระบวนการดังกล่าวของเจ้ามังกรนั้นก็คือกระบวนการสันดาปก๊าซ"ฮโดรเยนกับออกซิเจนนั่นเอง



เอ... แล้วไฮโดรเจนพวกนี้มันมาจากไหนกันนะ ไม่เห็นยาก กลไกทางธรรมชาติมากมายมักสร้างที่ไปที่มาที่พวกเราคาดไม่ถึงกันอยู่เสมอๆ ลองนึกตัวอย่างของปลาไหลไฟฟ้าที่มีเซลที่สามารถประจุไฟฟ้าได้ปริมาณมหาศาล เจ้ามังกรก็อาจมีอวัยวะบางชนิดที่สามารถแยกไฮโดรเยนออกจากสารอาหารหรือน้ำด้วยวิธีทางชีวเคมี และทำให้มันรวมกับออกซิเยนในตอนมันหายใจก็เป็นได้ ไม่ว่ากระบวนการดังกล่าวจะเป็นยังงก็ตาม(ก็ไม่รู้นี่นา...) มันทำให้มังกรหายใจเป็นเปลวเพลิงได้เพราะมันจำเป็นต้องทำแบบนั้น เปลวเพลิงใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่นใช้พ่นเป็นอาวุธ ใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามทำนองเดียวกับแพนหางของนกยูง แถมยังช่วยในการบินซึ่งผมจะขออธิบายในตอนหลัง ว่ากันง่ายๆก็คือตราบใดที่ตัวมังกรยังมีไฮโดรเยนมากพอ มันก็สามารถอยู่ในถ้ำ และพ่นไฟได้อย่างสนุกสนานสบายมาก และคงเป็นเพราะในถ้ำนั้นมืดมังกรก็เลยต้องพ่นลมหายใจเป็นไฟเพื่อส่องสว่างด้วยล่ะมั้ง ก็อย่างที่กล่าวไว้ในตำนานนั่นล่ะครับ พวกวีรบุรุษต่างๆมักจะเข้าไปในถ้ำที่มีเปลวและควันไฟพวยพุ่งออกมา เจออาการนี้เมื่อไหร่ก็อนุมานได้เลยว่า ในนั้นต้องมีมังกรอาศัยอยู่ภายในอย่างแน่นอน ไฟคือสัญลักษณ์ที่แท้จริงของมังกรครับ เพราะไม่ว่าชีวิตจะวิวัฒนาการไปในรูปแบบใด ธรรมชาติก็มีเหตุผลมารองรับการวิวัฒน์นั้นๆเสมอ



      การที่มังกรสามารถบินได้นั้นเพราะมันสามารถทำตัวให้เบากว่าอากาศได้ ดังนั้นมันจึงต้องการที่ว่างขนาดใหญ่มากจนเกือบจะเท่าตัวมันทั้งหมด เพื่อที่จะบรรจุก๊าซที่เบากว่าอากาศเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงพยุงตัวแบบเรือเหาะ ว่ากันถึงก๊าซที่เบากว่าอากาศนักเรียนเคมีอาจจะตอบได้ว่า….
      ฮีเลียมน่าจะเหมาะที่สุด ทว่าในความเป็นจริงน่ะ ฮีเลียมมีปริมาณตามธรรมชาติน้อยมาก แถมแทบจะไม่มีบทบาทใดๆต่อสิ่งมีชีวิตเลย ไฮโดรเยนจึงนับว่าเหมาะที่สุดซึ่งนอกจากจะมีปริมาณตามธรรมชาติมากแล้ว มันยังเบาและลุกไหม้อย่างรุนแรงได้เมื่อรวมกับออกซิเยน สารประกอบบางรูปของมันมีอยู่ทั่วไปในระบบย่อยอาหารของสัตว์แม้แต่มนุษย์ ร้องอ๋อกันแล้วล่ะสิครับ กรดไฮโดรคลอริกนั่นเอง

      ปฏิกิริยาชีวเคมีนี้จะต้องมีขั้นตอนอันสลับซับซ้อนมากมาย ตลอดจนสารประกอบอีกหลายอย่างที่จะนำมาสู่กระบวนการสันดาปของมังกร นี่ล่ะมั้งที่ทำให้ลมหายใจของมังกรมีกลิ่นเหม็นและฉุนเฉียว นอกจากความสลับซับซ้อนดังกล่าว อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถอนุมานเกี่ยวกับมังกรได้ก็คือ โครงสร้างส่วนใหญ่ของร่างกายมันจะต้องมีห้องมากมายสำหรับเก็บก๊าซไฮโดรเยน นั่นล่ะคือจุดอ่อนตามธรรมชาติของสัตว์ยักษ์เหล่านี้ ลองคิดกันง่ายๆหากมันโดนดาบหรือไม่จิ้มฉึกทะลุเข้าช่องท้องสู่ห้องเหล่านี้ สิ่งที่ตามมาก็คือกรดไฮโดรคลอริกจะทะลักออกมาทำปฏิกิริยากับทุกสิ่งที่สัมผัสกับมัน ไม่ว่าจะเป็นดาบ มือที่จับดาบ หรือแม้แต่ผิวหนังของมังกรเองก็ตาม โดนเข้าอย่างนี้ต่อให้เป็นโคตรมังกรก็สิ้นฤทธิ์ครับ มันจะบินไม่ได้พ่นไฟก็ไม่ได้ มีอากาศเหมือนลูกโป่งหรือบอลลูนที่ถูกเจาะทะลุ โครงสร้างที่เบาบางของมันจะยุบสลายโดยสิ้นเชิง คงนึกภาพออกนะว่าเมื่อมังกรตาย(ไม่ว่าจะแก่ตายหรือโดนดาบเอ็กซ์คาร์ลิเบอร์จิ้มตายก็ตาม) มันจะสลายตัวไปในเวลาไม่นานนักซึ่งค้านกันเอามากๆกับรูปร่างของมัน นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงไม่พบกระดูก เศษซาก หรือว่าฟอสซิลของมังกรเลย



      เชื่อได้เลยว่ามังกรต้องวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทไดโนเสาร์เพราะรูปร่างหน้าตามันก็บอกอยู่แล้ว เชื่อว่าในตัวมังกรจะต้องมีเยื่อเมือกตามธรรมชาติไว้คอยป้องกันกรดไฮโดรคลอริก เพื่อไม่ให้กัดกร่อนเนื้อเยื่ออื่นๆและกรดจะถูกหลั่งออกมาจากต่อมในตัวมัน เพื่อใช้ในกระบวนการชีวเคมีของมังกร ช่องว่างต่างๆในตัวมังกรจะถูกกั้นด้วยเยื่อและอวัยวะที่มีหน้าที่เหมือนลิ้นเปิดปิดโดยอาศัยแรงดึงของเนื้อเยื่อ และจะทำให้การส่งผ่านก๊าซเป็นไปอย่างสมดุลย์ตลอดทั้งร่างของมังกร เนื้อเยื่อเหล่านี้จะมีหน้าที่สำคัญอื่นๆอีกกล่าวคือ ในสภาวะปกติความดันต่างๆจะอยู่ในภาวะที่ปกติพอควรที่จะทำให้มังกรเดินต้วมเตี้ยมไปมา บนพื้นดินได้ ไม่ลอยไปมาเหมือนลูกโป่ง เมื่อมังกรต้องการจะบิน เนื้อเยื่อของมันจะขยายตัวทำให้ปริมาตรของตัวช่องเก็บก๊าซเพิ่มขึ้นในขณะที่มวลของก๊าซคงเดิม สิ่งที่ตามมาก็คือความดันลดลง (ลืมกันไปหมดหรือยังนะ PV = nRT , เมื่อ V เพิ่ม P ก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา)

      พูดถึงการเพิ่มปริมาตรในช่องอากาศของมังกร หนึ่งขอร้องอย่าให้ทุกคนนึกถึงมังกรพองลมในลักษณะของปลาปักเป้า แบบนั้นมันดูน่าเกลียดมากสำหรับสัตว์ที่สง่างามอย่างมังกร (ถึงแม้ว่าตำราโบราณของจีนจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดของมังกรในลักษณะนี้ก็เหอะ) เพราะการหดตัวของเนื้อเยื่อโดยการควบคุมกล้ามเนื้อ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเข้าสู่บริเวณครีบของมัน เห็นจากภาพทั่วๆไปไหม ไม่ว่าจะมังกรหรืออะไรก็ตามพอมันบินแล้วครีบหลังมันจะตั้งต่างกันกับตอนอยู่บนดิน แถมครีบนี้ยังสามารถป้องกันตัวได้อีก นับว่าสารพัดประโยชน์ดีเหมือนกัน

      เราก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องการบินของมังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะถ้ามังกรต้องใช้ปีกในการพยุงตัวเพื่อบินจริงๆ มันก็ต้องมีกล้ามเนื้อที่มีพลังมหาศาลเกินกว่าธรรมชาติจะประทานให้ได้ แต่ด้วยวิธีการลอยตัวนี้มังกรจะสามารถบินได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ปัญหาเรื่องการบินที่จะตามมาอีกร้อยแปดพันเก้าก็เป็นอันพับทิ้งไปได้เลย

       ทีนี้กลับมาว่าเรื่องของซากมังกรที่เราไม่เคยค้นพบกันใหม่ดีกว่า แม้ว่าจะด้วยกลไกทางชีววิทยาของมังกรจะทำให้เราไม่มีวันพบฟอสซิลของมันได้เลย ในทำนองเดียวกับที่นักชีววิทยาไม่เคยพบซากบรรพบุรุษของนก ว่าลักษณะที่พวกมันเริ่มหัดบินนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่และเป็นลักษณะอย่างไร แต่ด้วยขั้นตอนเดียวกัน เราสามารถอนุมานถึงการวิวัฒนาการทางการบินของมังกรได้ตามลำดับขั้นตอนที่ชัดเจนตามสมควร ดังนี้...


เริ่มจากขนาดของมันก่อน

      เราทราบกันดีว่าพวกไดโนเสาร์ส่วนใหญ่จะมีขนาดที่ใหญ่โตมาก แต่สัตว์ในตระกูลนี้กลับวิวัฒนาการจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆเพื่อความอยู่รอด เพราะสัตว์ตัวเล็กย่อมคล่องแคล่วและต้องการปริมาณอาหารน้อยกว่าตัวใหญ่ ไดโนเสาร์รุ่นหลังๆจึงมีขนาดเล็กลง ในขณะที่พวกตัวใหญ่ๆเริ่มพากันล้มหายตายจากไปตามกฏของธรรมชาติ สำหรับตระกูลตัวใหญ่ที่จะดันทุรังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่ลดขนาด ก็มีอยู่วิธีเดียวคือลดน้ำหนักตัวลงเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วและสงวนพลังงานในการเคลื่อนไหว เอาล่ะครับ เจ้ามังกรก็คงวิวัฒน์ตัวเองออกมาในทางเลือกที่สองนี้แถมยังมีโรงงานผลิตกก๊าซไฮโดรเยนในตัวเองอีก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์และกินเวลานานเอามากๆ ถึงแม้จะพิลึกและยาก นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่า มันง่ายกว่าที่มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์จะวิวัฒน์มาเป็นโฮโมเซเปียนส์อย่างรวดเร็ว ในแบบที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานี้เป็นไหนๆ

      ในช่วงวิวัฒนาการนี้ บรรพบุรุษของมังกรก็ลดลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด เหลือเพียงผลพวงของความเปลี่ยนแปลงเพือการอยู่รอดนั่นก็คือ...มังกร มันได้ละทิ้งเครื่องประดับอันฟุ่มเฟือยเช่น หนอก เขา ต่างๆไปหมด แม้แต่กระดูกก็ยังวิวัฒน์ให้เป็นลักษณะกลวง พวกเกร็ดหนังหนาๆตามตัวที่เคยเป็นเหมือนเกราะบัดนี้ก็ได้หนักอึ้งเกินความจำเป็น พวกมันคงทิ้งส่วนนั้นไปอย่างไม่เสียดายเหลือไว้เฉพาะเขาที่เอาไว้ป้องกันส่วนหัวเท่านั้น เราสามารถทึกทักเอาได้อย่างสบายมากว่ามังกรใช้วิธีการเคลื่อนที่ด้วยการกระโดดเหมือนจิงโจ้แทนที่จะเดิน (ไม่แปลกเลย เมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ของพวกไดโนเสาร์กินเนื้ออย่างเวโลซี แรพเตอร์) ด้วยการทำรูปร่างให้เบาและการกระโดดก็ทำให้มังกรรุ่นหลังสามารถกระโดดได้สูงขึ้น - น้ำหนักเบาลง จนกลายเป็นแทบจะบินได้ในลูกหลานของมังกรช่วงหลัง

      มังกรไม่มีปีกในหลายๆชาติเช่นจีนหรือนอร์สนั้นบินได้ แท้ที่จริงมันอาจไม่ได้บินแต่กำลังกระโดดอยู่ เพียงแต่กระโดดสูงเสียจนคนเราคิดว่ามันกำลังบินอยู่และเราก็ได้ข้อสรุปว่าพวกมันเป็นบรรพบุรุษของมังกรรุ่นที่มีปีก เอ๊ะ... แล้วทีนี้ปีกของมังกรจะมาจากไหนล่ะ? ง่ายๆ พอกระโดดได้สูงขึ้นไกลขึ้นก็ต้องเริ่มหาอะไรมาช่วยบังคับทิศทางในการเคลื่อนไหว ธรรมชาติจึงสร้างปีกมังกรขึ้นมาช่วยในการควบคุมทิศทาง เรื่องของเรื่องก็เลยกลายเป็นแรกๆมังกรเคลื่อนที่ด้วยการกระโดด พอกระโดดเก่งเข้าก็เลยมีปีกเพื่อช่วยร่อนไปมาในอากาศเหมือ
เทอร์ราโนดอนหรือบรรพบุรุษของนก และพอร่อนเก็บ Level เข้ามากๆก็เลยกลายเป็นบินได้ด้วยเองซะเลย สบายเขาล่ะ

      ด้วยข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวง มังกรจึงไม่น่าเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งโดดเด่นอะไรขึ้นมาได้(ยกเว้นรูปร่าง ซึ่งคงจะน่าเกรงขามอยู่เอาการ) แต่ก็น่ายกย่องพวกมังกรอยู่ ที่มันสามารถวิวัฒนาการผ่านวิกฤตมาได้เหมือนกับบรรพบุรุษของพวกนก ด้วยขนาดที่ใหญ่โตเกินไป มังกรจึงจำเป็นต้องอยู่ในถ้ำแทนที่จะอยู่ในป่าหรือที่ราบซึ่งเหยื่อและศัตรูสามารถมองเห็นได้ง่าย มังกรคงซุ่มอยู่ในถ้ำหรือรอยแกยของหินผา คอยเวลาออกมาร่อนมากระโดดจับเหยื่อกิน ที่น่าสงสารก็คือ...

      แม้พวกมันจะวิวัฒน์ผ่านวิกฤตเอาตัวรอดมาได้ แต่ด้วยข้อจำกัดที่พวกมันมีก็คงดำรงเผ่าพันธุ์กันอยู่ได้ไม่นานหรอก ไดโนเสาร์แห่งยุคกลางที่เอาตัวรอดและสืบเชื้อสายมาหลายล้านปีเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็พากันลดจำนวนลงไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเหลืออยู่ไม่กี่ตัวที่ยังรอดรอเวลามาให้วีรบุรุษเอาดาบมาเสียบพุงเล่น จนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน

      ...และนี่คือความเป็นมาของมังกรภายใต้สมมติฐานที่เป็นไปได้ อ้างอิงข้อมูลจากทั้งเทพนิยายและตำราวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันคงไม่มีมังกรเหลืออยู่บนโลกนี้อีกแล้วนอกจากในภาพยนตร์หรือวิดีโอเกมส์ ซึ่งอย่างหลังนี่ดูจะมีออกมาท้าทายวีรบุรุษเกมเมอร์เป็นพิเศษ...

" และแล้วมังกรก็กลับกลายร่างขนาดมหึมา จากปากของมันเปลวไฟจะพวยพุ่ง ลมหายใจที่เหม็นเหลือก็รวยรินออกมา กลุ่มควันก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ณ ยามที่มันสืบเชื้อสาย มังกรก็ร่วมรวมกันเป็นหมู่เหล่า มันกางปีก... ลอยขึ้นสู่อากาศ และด้วยบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า มังกรบางตัวที่มีน้ำหนักมากเกินไปแล้วร่วงหล่นสู่ลำแม่น้ำ อันเป็นสายธาราจากสรวงสวรรค์ ในที่นั้นมันจะสูญสลายไป มังกรที่เหลือจะอยู่ร่วมกันจนพ้นฤดู เมื่อมังกรตนใดร่วงลง ….มังกรตนอื่นจะรออยู่เจ็ดวันแล้วจึงลงไปเพื่อที่จะพบกับซากขนาดมหึมาที่เหลือแต่โครงกระดูก เพื่อเก็บไปเป็นศิราภรณ์แห่งมันต่อไป..."

เครดิต : vanilabizkit.spaces.live.com/blog/


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2012-03-07 19:30:10


เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#152
เด็กซ่าบ้านแสบ
07-03-2012 - 18:39:06

#152 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 07-03-2012 - 18:39:06 ]






quote : Nebula Eva

ยะฮู้!! ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว จองแร๊ปเฟ้ย เดี๋ยวหาเรื่องชวนปวดกระเพาะมาเรียกน้ำย่อย



lovemiku
#153
07-03-2012 - 18:41:19

#153 lovemiku  [ 07-03-2012 - 18:41:19 ]






Sairalindë Oronar


pakawan5421
#154
07-03-2012 - 19:25:12

#154 pakawan5421  [ 07-03-2012 - 19:25:12 ]




โหดสุดยอดค่ะ หลอนไปหมดเลย ทุกเรื่อง!!!



ดีจ้า
Nebula Eva
#155
07-03-2012 - 19:31:04

#155 Nebula Eva  [ 07-03-2012 - 19:31:04 ]





quote : pakawan5421

โหดสุดยอดค่ะ หลอนไปหมดเลย ทุกเรื่อง!!!


ขอบคุณค่ะ ถ้าชอบก็แวะมาบ่อยๆนะคะ^^



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
เด็กซ่าบ้านแสบ
#156
เด็กซ่าบ้านแสบ
07-03-2012 - 19:32:23

#156 เด็กซ่าบ้านแสบ  [ 07-03-2012 - 19:32:23 ]






O M G


lovely_billmade
#157
07-03-2012 - 23:10:52

#157 lovely_billmade  [ 07-03-2012 - 23:10:52 ]





*0* ชอบบบบบ

น่ากลัวมาก แต่อ่านเพลิน

รวบรวมไว้เยอะจริงๆจ้า





Sweet
Nebula Eva
#158
08-03-2012 - 15:42:30

#158 Nebula Eva  [ 08-03-2012 - 15:42:30 ]





หมอผี(Shaman)


      วิญญาณและการสื่อติดต่อกับวิญญาณ วิญญาณ คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในสังคมเสมอ วิญญาณเป็นอณูเล็กๆของพลังงาน เป็นการรวมตัวของพลังซึ่งมีอยู่ทั่วไปในจักรวาล วิญญาณติดต่อกับเราโดยอาศัยพลังงานจากสิ่งอื่น เช่น สัตว์ พืช ก้อนหิน น้ำ อากาศ ดวงดาว และอวกาศระหว่างดวงดาว นอกจากนี้วิญญาณยังผ่านร่างใดร่างหนึ่งเพื่อติดต่อสื่อสาร เพื่อการรักษา และเพื่อความเข้าใจกับเราได้อีกด้วย เราทุกคนรู้จักพลังงานในระดับสัญชาตญาณ เนื่องจากว่ามนุษย์นั้นมีความสัมพันธ์กับการสั่นสะเทือนอย่างใกล้ชิด อันเป็นพลังงาน เป็นสิ่งที่รู้สึกได้ เช่นเดียวกับพลังของพวกหมอผี ที่สามารถขยายขอบเขตความไวต่อการสัมผัสความรู้สึกสั่นสะเทือน ของสิ่งอื่นๆได้ ในทำนองเดียวกันนี้นั่นเอง



      หมอผีคือสภาวะทางจิตอย่างหนึ่ง เป็นวิธีมองชีวิตโดยรวม หมอผีได้รับพลังหยั่งรู้ภายในและพลังปัญญา ด้วยการสื่อกับสิ่งอื่นและทำ การรักษาส่วนต่างๆที่มีอยู่ระหว่างชิ้นส่วนที่แยกอยู่จากกัน ส่วนต่างๆดังกล่าวอาจเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็ได้ ภายในตัวของมันเอง ภายในกลุ่มระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ
      คำว่าหมอผี หรือ ชามอน(Shaman) หมอผีคือแพทย์ที่เป็นนักบวชประจำเผ่า รับผิดชอบในการทำพิธีกรรมในงานต่างๆ คอยให้คำแนะนำบรรดาเผ่า รักษาคนป่วยและบาดเจ็บ คอยดูแลสภาพจิตใจของชาวบ้านให้สมบูรณ์อยู่เสมอ คำคำนี้กลายเป็นคำที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ใช้อ้างถึงใครก็ตามที่ทำหน้าที่ดังกล่าวในสังคมทั่วโลก
      หมอผีไม่มีการกำหนดอายุ เพศ เชื้อชาติ หรือการนับถือศาสนาและใครๆก็สามารถเข้าถึงได้ ที่จริงแล้วมีคนไม่น้อยที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับหมอผีโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่ง ของการสร้างสรรค์และหมอผีก็เป็นวิธีหนึ่งของมนุษย์ในการติดต่อกับสิ่งสร้าง สรรค์ทั้งมวล มันเป็นสิ่งพื้นฐานของมรดกที่เรารับมา แม้ว่าการสื่อสารอาจอ่อนแอด้วยแรงกดดันจากชีวิตสมัยใหม่ ความสามารถที่จะสื่อสารและแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้นได้ก็ยังคงมีอยู่ การนำเสนอวิธีปฎิบัติอย่างหมอผีนี้จะนำทางให้คุณไปยังสติปัญญาและการหยั่ง รู้ ผ่านการทำพิธี และการเดินทางของวิญญาณ




      บทบาทของหมอผี เพื่อเข้าใจถึงหน้าที่ของหมอผี เราควรเข้าใจมุมมองเกี่ยวกับคนยุคโบราณก่อน โดยเฉพาะวัฒนธรรมเก่าแก่เหล่านั้นมีความเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวิญญาณ หรือผีสิงสถิตย์อยู่ บทบาทหลักของหมอผีคือการติดต่อกับวิญญาณต่างๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ผืนแผ่นดิน ฝนฟ้า ความเป็นอยู่ เป็นต้น เนื่องจากมนุษย์ต้องพึ่งพาพลังธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลก จึงมีความเชื่อว่า การติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้เป็นการทำนายปัญหาหรือแก้ปัญหาได้ หมอผีสามารถสื่อวิญญาณของตนไปพบวิญญาณเหล่านั้นเพื่อช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือหาสาเหตุของปัญหา หรือทำนายสภาพแวดล้อม การเดินทางของวิญญาณในทำนองนั้นสามารถนำพาหมอผีไปยังสู่สิ่งอื่นๆ เช่น การติดต่อกับเทพเจ้า พบความรู้พิเศษ หรือรับพลังต่างๆอีกด้วย หมอผีมีความสามารถอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งยากยิ่งที่ผู้อื่นที่มีประสบการณ์ธรรมดาจะเข้าใจได้ อย่างไรก็ตามคนที่สามารถได้ยินเสียงพิเศษ และมีประสบการณ์เหนือการรับรู้ปกติ จะได้รับความเคารพนับถือ ตามธรรมเนียม หมอผีนอกจากจะมีตำแหน่งทรงอิทธิพลแล้ว ยังได้รับความเคารพอย่างสูงอีกด้วย ชาวบ้านมักให้ความสำคัญ โดยการไปหาหมอเป็นคนแรกเมื่อเกิดปัญหาต้องการความช่วยเหลือ และตัวหมอเองก็จะใช้ความสามารถและพลังที่มีอยู่ในตัวค้นหาผลที่จะทำให้เกิดความพึงพอใจ

      หมอผียุคใหม่ ทุกวันนี้หมอผียังคงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่บนโลก ไม่น่าแปลกที่บุคคลต่างๆจะไปขอความช่วยเหลือจากหมอผี เพราะแม้แต่สังคมตะวันตกสมัยใหม่ ก็ยังมีความต้องการหมอผีอยู่บ้าง เพื่อช่วยแก้ไขเกี่ยวกับปัญหาเรื่องพิธีกรรมและจิตวิญญาณ ดังจะเห็นว่าในสังคมทุกระดับต่างก็เรียกหมอผี หรือผู้ที่สามารถติดต่อกับจิตวิญญาณเสมอ อาจกล่าวได้ว่าลัทธิหมอผีเป็นวิธีค้นหาที่อยู่ของเราในจักรวาล โดยการเดินทางไปสู่สิ่งอื่นๆด้วยพลังจิต ซึ่งหมอผีสมัยใหม่สามารถไปถึงความลึกของมโนภาพอันนำไปสู่การรู้แจ้งได้

      ตามความเชื่อโบราณเชื่อกันว่าหมอผีมีความสมารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณ ในไสยศาสตร์ จะมีการอัญเชิญวิญญาณให้มาเข้าทรงโดยผ่านตัวบุคคล หรือที่เรียกว่า "ร่างทรง" แต่ในลัทธิหมอผีนั้น หมอผีจะเป็นผู้ควบคุมวิญญาณโดยเดินทางเข้าไปในโลกวิญญาณซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนักการเดินทางนี้เป็นประสบการณ์เข้าสู่ห้วงลึกของจิต วิธีที่ใช้ทำให้หมอผีเข้าสู่สถานะเข้าฌาน ซึ่งแยกจากสถานะของมนุษย์ทั่วไป และในสถานะนี้เองที่ทำให้เขาเดินทางค้นหาพลังและความรู้

       หมอผีอาจจะเป็นหญิงมีอายุ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะตัวพิเศษที่สามารถฝึกฝนให้แช็งกล้าขึ้นมาได้ บทบาทสำคัญของหมอผีในชุมชน คือรวบรวมพลังจิตของชุมชนให้มีผลดีต่อสุขภาพและความอุดมสมบูรณ์ การที่หมอผีสามารถควบคุมพลังวิญญาณได้นั้น ก็จะมีผลต่อการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย การสงคราม และการล่าสัตว์

       บทบาทของหมอผีเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ "ยุคหินเก่า"(Paleolithic) ซึ่งพวกเขามีอิทธิพลมากในสังคมล่าสัตว์สมัยนั้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบได้แก่ ในผนังถ้ำเลส์ ทรัวส์ แฟรส์ (Les Trois Freres) ในฝรั่งเศส มีภาพเขียนสีที่มีอายุกว่า 15,000 ปี อยู่บนผนังถ้ำ ภาพที่วาดแสดงถึงพิธีกรรมของหมอผี ที่ประกอบขึ้นในการล่าสัตว์ อีกทั้งยังพบภาพเขียนสีที่ "ผาหินแต้ม" ในประเทศไทยอีกด้วย

       ในสังคมล่าสัตว์ มนุษย์ต้องพึ่งพาสัตว์เพื่อความอยู่รอด มนุษย์จึงต้องการผู้ที่สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสัตว์ได้ หมอผีมีหน้าที่หลอกล่อและบังคับให้สัตว์ยอมสละชีวิตให้แก่นักล่า หมอผีมีส่วนช่วยแก้ปัญหาในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ความล้มเหลวในการล่าสัตว์ หรือแม้แต่การทะเลาะวิวาท บทบาทของหมอผี ครอบคลุมในหลายๆด้าน ความเจ็บป่วย

       มักจะมีความเชื่อว่า ความเจ็บป่วยเกิดจากการหายตัวของดวงวิญญาณผู้ป่วย มีสาเหตุจากการถูกรบกวนจากวิญญาณดวงอื่น หรือจากพ่อมด อาจมีผู้ไม่หวังดีเสกวัตถุต่างๆเข้าไปในตัวผู้ป่วย ทำให้เกิดอันตราย และหมอผีเท่านั้น จะเป็นผู้ประกอบพิธีนำวัตถุนั้นๆออกมา หรือช่วยค้นหาดวงวิญญาณที่หายไป หมอผีสามารถท่องโลกวิญญาณ สื่อสารกับสัตว์ ทำนายดินฟ้าอากาศ หยั่งรู้อนาคต และค้นหาสิ่งของที่หายไป

       หมอผีเป็นผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ที่สุดในโลกเร้นลับ สามารถใช้เวทมนต์คาถา บุกน้ำ ลุยไฟ ท่องไปในอากาศ หายตัว เปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติและทำนายอนาคตได้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นหมอผีได้ ความสามารถนี้จะต้องมีมาแต่กำเนิด และฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้น เมื่อหมอผีเข้าสู่วัยรุ่น ก็จะแยกตัวไปอยู่สันโดษ เข้าฌาน และเดินท่องไปในโลกวิญญาณ

       ดวงวิญญาณทีเป็นมนุษย์ธรรมดาจะถูกทำลายด้วยวิธีต่างๆ เช่น ตัดศรีษะ แยกร่าง เผา หรือถูกย่อส่วนให้เหลือเพียงโครงกระดูก หลังจากนั้น พวกเขาจะถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่โดยเหล่าวิญญาณ ทำให้มีร่างใหม่และจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นหมอผีจะเรียนรู้การติดต่อกับโลกวิญญาณโดยการเข้าฌานเป็นหลัก น่าแปลกที่ว่าแม้สังคมและวัฒนธรรมจะต่างกันแต่พิธีการติดต่อกับโลกวิญญาณก็จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน

       แพทย์และปรัชญาเมธีชาวสวิส ชื่อ พาราเซลซุส (Paracelcus) กล่าวเมื่อพุทธศตวรรษที่ 21 ว่า มนุษย์ยังไม่ ค้นพบความสามารถของจิตใจตนเอง ทุกคนสามารถเรียนรู้และบังคับจินตนาการเพื่อติดต่อกับโลกวิญญาณและเรียนรู้บางอย่างจากมันได้

       การรักษาโรคของหมอผี ไม่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ หมอผีถือว่าความเจ็บป่วยเป็นการเสียพลังของคน ในขณะที่ทางการแพทย์กล่าวว่า ความเจ็บป่วยคือการที่กระบวนการต้านทานอ่อนแอลง การรักษาหมอผี จะเป็นการแสดงออกที่รุนแรงเพื่อเรียกพลังกลับคืนมาสู่ผู้ป่วยหรือสร้างเกราะป้องกันจิตใจให้กับเขา ในพิธีการรักษาบางครั้งจะมีการดึงหรือถอนวัตถุบางอย่างออกมาจากร่างกายเพื่อให้ผู้ป่วยเชื่อว่าตนได้ถูกเยียวยาแล้ว

[
img]http://fc09.deviantart.net/fs70/i/2009/347/3/1/Sorcerer_by_Sumerky.jpg





quote :
ของแถม

วิธีทำ น้ำมันพราย...มนต์ดำสายล่าง
      ในบรรดาอาถรรพ์ด้านทำเสน่ห์ด้วยไสยศาสตร์ "น้ำมันพราย" ถือว่าเป็นสุดยอดของมนต์ดำสายล่างที่เข้มขลังและน่ากลัวที่สุด
น้ำมันพราย คือ น้ำมันที่ได้มาด้วยการใช้เทียนรนจากศพของหญิงตายทั้งกลม คือ หญิงตั้งครรภ์แล้วเสียชีวิตขณะลูกยังอยู่ในท้อง ผู้ที่สามารถรนน้ำมันพรายมาได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์แก่กล้า มีกำลังใจเข้มแข็งสูงมาก เพราะจะต้องเผชิญกับความน่าเกลียดน่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างถึงที่สุด หรืออาจเผชิญกับอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณผีตายทั้งกลมได้ทุกเมื่อ
หากไม่มีวิชาอาคมเข้มขลังและมีจิตใจที่มั่นคงอย่างแท้จริง มีสิทธิ์ที่จะเสียสติ เพราะความตื่นตะหนกสุดขีด กลายเป็นคนวิกลจริตฟั่นเฟือง หรืออาจถึงกับตายได้ง่ายๆ
      น้ำมันพรายมีฤทธิ์ในทางชั่วร้าย และมีอาถรรพ์อันเข้มขลังอย่างยิ่ง หากเอาน้ำมันพรายไปแตะต้องสัมผัสถูกเนื้อของหญิงใด จะทำให้หญิงนั้นเกิดความปฏิพัทธ์ลุ่มหลงรักใคร่ในชายผู้เป็นเจ้าของน้ำมันพรายอย่างไร้สติ มีอาการเพ้อครั่งประหนึ่งคนบ้า ต้องซมซานไปหาเจ้าของน้ำมันพรายเพื่อให้เขาเชยชม ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน
และเป็นที่เศร้าเสียอย่างยิ่งที่ หญิงเคราะห์ร้ายคนนั้นจะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนป้ำๆ
เป๋อๆ คุ้มดีคุ้มร้ายไปชั่วชีวิต และการถอนฤทธิ์น้ำมันพรายให้ออกไปจากตัวนั้น กระทำได้ยากยิ่ง หรืออาจไม่ได้เลย หากผู้ถอนไม่มีจิตตานุภาพแก่กล้าจริงๆ
      จุดประสงค์ในการใช้น้ำมันพรายมักเกิดจากชายที่หมายปองหญิง ซึ่งเขาไม่มีน้ำใจไมตรีตอบสนอง หรือตัวเองเป็นชายต่ำต้อยด้วยคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่หวังอยากจะร่วมภิรมย์สมสู่กับหญิงสูงศักดิ์ เข้าทำนองดอกฟ้ากับหมาวัด ซึ่งไม่มีทางบรรจบพบกันได้ เพราะชาติตระกูลแตกต่างกันดุจฟ้ากับดิน
      ชายผู้มีใจโฉดชั่ว จึงได้หาทางใช้น้ำมันพรายกับหญิงนั้นให้สมประสงค์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าจะส่งผลร้ายแก่ผู้หญิงคนนั้นอย่างไรบ้าง
      การลนน้ำมันพรายนั้น ขั้นแรก จะต้องคอยสดับตรับฟังข่าวคราวว่ามีศพผู้หญิงตายทั้งกลมอยู่ที่ใดก่อน สำหรับหญิงตายทั้งกลมที่หมอผีผู้เรืองวิชาต้องการรนเอาน้ำมันพราย หากถึงแก่ความตายด้วยอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ถือว่ายังไม่เฮี๊ยน ไม่ขลัง แต่ถ้าตายด้วยการฆ่าตัวตาย ถูกฆ่าตาย เป็นอุบัติเหตุตาย ว่าง่ายๆ คือตายโหง ถือว่าน้ำมันพรายจะเข้มขลังอย่างยิ่ง เพราะวิญญาณผู้ตายทั้งกลมจะมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้าเปนพิเศษ
แต่ศพที่ตายจากการฆ่าตัวตายนั้นถือว่าฤทธิ์แรงมาก ทำให้หญิงที่ตั้งครรภ์ตายด้วยการฆ่าตัวตายนั้นเป็นที่ต้องการของหมอผี เนื่องจากเป็นวิญญาณดุร้ายเต็มด้วยอำนาจของโทสะ น้ำมันพรายที่ได้จากศพเช่นนี้ จะมีพลังความขลังสูงมากเป็นพิเศษ
      เตรียมสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบพิธีไปเอาน้ำมันพรายครบครัน รอจนถึงคืนที่ 3 หลังจากฝังศพ ก็เดินทางไปยังป่าช้าแห่งนั้นอย่างเงียบๆ ในตอนดึกสงัด
      เมื่อเข้าเขตป่าช้า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ขออนุญาตนายป่าช้าก่อน นายป่าช้านี้เรียกว่า "ยายกะลาตากะลี" การขอนุญาตนายป่าช้าจะมีเครื่องเซ่นใส่กระทงสามเหลี่ยมทำด้วยกาบกล้วย เครื่องเซ่นมี
ข้าวสวย 3 ปั้น ไข่ต้ม 3 ลูก ปลา 3 หัว
หางปลา 3 หาง บุหรี่ 3 มวน เหล้าขาว 1 ขวด
จากนั้นก็จุดธูป 1 ดอก บริกรรมเรียกวิญญาณนายป่าช้ามารับเครื่องเซ่นสังเวย แล้วขอนุญาตนายป่าช้าว่าจะมารนเอาน้ำมันพรายจากศพหญิงตายทั้งกลมชื่อนั้นชื่อนี้(ระบุให้ชัดเจน) หากนายป่าช้าอนุญาตก้อขอให้ธูปดับทันที ถ้าไม่อนุญาตก้อขอให้ธูปลามต่อไปจนหมดดอก
หลังจากอธิษฐานบอกกล่าวแล้วหมอผีก้อจะสังเกตดูว่าธูปที่จุดไว้เป็นอย่างไร หากธูปที่ส่องแสงเรืองๆนั้น ได้ดับสนิทลงในเวลาไม่ถึงอึดใจ แสดงว่านายป่าช้าไม่ขัดข้อง เมื่อเป็นเช่นนั้นการรนน้ำมันพรานก้อถือว่าด่านแรกได้ผ่านไปด้วยดี แต่ถ้านายป่าช้าไม่อนุญาต หมอผีจำเป็นต้องล้มเลิกการรนเอาน้ำมันพรายแต่เพียงเท่านี้
      ขืนยังดื้อดึงจะรนเอาน้ำมันพรายให้ได้ นายป่าช้าจะคุมผีทั้งป่าช้ามาทำร้ายจนถึงขั้นตาย แม้จะมีวิชาอาคมขลังแค่ไหน ก็ยากที่จะต้านทานวิญญาณอันแก่กล้าจำนวนมากมายเป็นกองทัพได้
      เมื่อผ่านขั้นแรกแล้ว คณะหมอผีก้อพากันไปที่หลุมศพหญิงตายทั้งกลมคนนั้น ซึ่งจะสังเกตได้ง่าย เพราะเหนือมูลดินหลุมศพ มีหนามพุทราวางเกลี่ยไว้ตลอดหลุม หนามเหล่านี้มีไว้มิใช่ป้องกันสุนัขหรือสัตว์อื่นมาคุ้ยหลุมศพ แต่เป็นการกระทำของสัปเหร่อที่มีอาคม วางหนามพุทราสะกดเพื่อไม่ให้วิญญาณผีตายทั้งกลมออกมาอาละวาด
      หมอผีจะสั่งรื้อเอาหนามพุทราออกให้หมดระหว่างที่รื้อหนามออก จะต้องบริกรรมคาถาถอน หรือคลายมนต์สะกดไปด้วย
เมื่อหนามพุทราถูกกวาดออกไปหมดเกลี้ยง หมอผีจะต้องหาหินสะกด 3 ก้อน ซึ่งวางเรียงไว้ด้านศีรษะผีตายทั้งหลม ถ้าได้หิน 3 ก้อนแล้ว หมอผีจะต้องใช้อาคมตรวจดูว่าหินก้อนใดที่สัปเหร่อลงอาคมสะกดไว้ จากน ั้นก็ต้องถอนคาถาสะกดออก
      การป้องกันไม่ให้วิญญาณผีตายทั้งกลมอาละวาดเป็นวิชาไสยศาสตร์แขนงหนึ่งที่สัปเหร่อจะต้องเรียนรู้คาถาสะกดหรือตรึงวิญญาณให้อยู่แต่ในหลุมศพ หลังจากถอนมนต์สะกดจากหินออกไปแล้ว หมอผีจะใช้มีดหมอปักดินแล้วงัดเปิดขึ้นมารอบๆหลุมศพทั้ง 8 ทิศ เป็นการเบิกธรณีก่อนที่จะให้ผู้ติดตามขุดเอาดินปากหลุมออกจนถึงฝาโลง เมื่องัดฝาโลงให้ตะปูถอนเขยื้อนขึ้นมาหมดทุกตัว แต่ยังไม่เปิดฝาโลงออก หมอผีจะให้ผู้ที่ติดตามถอยอยู่ห่างๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ผู้เปิดฝาโลงก็คือหมอผี ทันทีที่ฝาโลงถูกเปิดออกกลิ่นเน่าเหม็นของศากอศุภะ ซึ่งกำลังขึ้นอืด เพราะไม่ได้ฉีดยารักษาศพ จะกระจายตลบไปทั่วอาณาบริเวณ และในเสี้ยวเวลาที่ฝาโลงถูกพลิกเปิดถือกันว่าเป็นห้วงเวลาอันตรายสำหรับหมอผี
      เพราะผีตายทั้งกลมที่วิญญาณเฮี๊ยนจริงๆจะแผลงฤทธิ์ในจังหวะนี้ เนื่องจากมนต์ที่สะกดถูกถอนออกจนหมด
ในรายที่ผีเฮี๊ยนมันจะหวีดร้องเสียงยะเยือกแล้วร่างจะทะลึ่งพรวดเหยียดยาวสูงลิบลิ่ว เป็นการหลอกหลอนซึ่งๆ หน้า ถ้าหมอผีไม่ได้เคี่ยวกำกับวิญญาณร้ายมาอย่างโชกโชน มีหวังพิธีแตกเอาง่ายๆ
แต่หมอผีที่สมาธิแก่กล้าก้อจะยริกรรมคาถาไปเรื่อยๆ จนกำราบวิญญาณร้ายให้อ่อนกำลังลงจนกว่าร่างที่ยืดยาวจะหดตัวต่ำลงมากระทั่ง มานั่งประจัญหน้ากัน
      คราวนี้หมอผีจะทำการตัดด้ายตราสังที่มัดข้อมือออก แล้วบอกกล่าวให้ผีรู้ว่าจะมาขอเอาน้ำมันพราย จะให้หรือไม่? ถ้าให้จะให้ตรงไหน? ถ้าผียินยอม ผีก้อจะบอกไปว่าบริเวณใดที่จะให้ใช้ไฟรนได้
      เทียนที่จะใช้รนเอาน้ำมันพรายต้องทำจากขี้ผึ้งแท้ ยาวเท่า 1 ศอกของหมอผี ไส้เทียนใช้ด้าย 80 เส้นมาฝั้น ระหว่างฝั้นก็ต้องบริกรรมคาถาสะกดวิญญาณไปด้วย และจะต้องบริกรรมไม่ให้ขาดตอน จนกว่าการทำเทียนจะสิ้นสุด เมื่อใช้เทียนรนจนน้ำเหลืองหรือน้ำมันละลายหยด ให้ใช้ชามโคม หรือถ้วยกระเบื้องไปรองรับ ซึ่งจะได้น้ำมันจากศพอย่างมากก็ไม่เกิน 10 หยด เมื่อได้น้ำมันมาแล้วก็เทรวมกับน้ำมันซึ่งเตรียมใส่ขวดปากกว้าง น้ำมันที่เตรียมมานี้ไมาใช่น้ำมันธรรมดา
      เป็นน้ำมันที่ได้มาโดยการผสมผสานระหว่างน้ำมันมะพร้าวซึ่งเคี่ยวจากมะพร้าวล้างหน้าศพ 7 ศพ และขี้ผึ้งปิดปากผีอีก 7 ศพ
มะพร้าวล้างหน้าศพก็คือมะพร้าวที่สัปเหร่อผ่าเอาน้ำมาล้างหน้าศพก่อนเผา หลังจากผ่ามะพร้าวแล้วจะต้องไม่ให้มะพร้าวถูกพื้นดินให้เก็บไว้ในที่สูง แล้วขูดเอาเนื้อมะพร้าวทั้ง 7 ลูก ไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน แล้วเอาขี้ผึ้งที่ใช้ปาก จมูก ตา หู ศพ 7 ศพ นำไปเคี่ยวรวมกับน้ำมันมะพร้าวจนเข้ากันดี แล้วจึงเทใส่ขวดรวมไว้
      หลังจากรนเอาน้ำมันพรายเสร็จแล้ว ก้อให้มัดด้ายตราสังที่ข้อมือของศพไว้ดังเดิม การได้น้ำมันพรายจากผีตายทั้งกลมขั้นแรกมาแล้ว ยังใช่ไม่ได้ทันที จะต้องนำมาทำพิธีหุงต่อไปอีกจึงจะใช้ได้ การหุงหรือเคี่ยวน้ำมันพรายในขั้นตอนต่อไปให้เอาถ่านเผาผีที่หัวกองฟอนมา 7 แห่ง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเคี่ยวน้ำมันพราย
      สถานที่เคี่ยวน้ำมันพรายให้ผสมผสานกลมกลืนกับน้ำมันมะพร้าวและขี้ผึ้งปิดปากผีคือทางสามแพร่ง ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวส่วนไม้พายที่ใช้คนต้องใช้กิ่งพุทราตายพรายชี้ไทางทิศตะวันออกมาเหลาทำเป็นไม้พายเท่านั้น ระหว่างที่เคี่ยวหมอผีต้องบริกรรมคาถากำกับตลอดเวลา เมื่อหุงหรือเคี่ยวน้ำมันพรายได้ดีแล้วต้องเอาไปเสกต่อในโบสถ์อีก ตำแหน่งที่วางขวดใส่น้ำมันพรายบนโบสถ์จะต้องดูว่าสายตาของพระประธานซึ่งทอดพระเนตรลงมาตกกระทบพื้น ณ ที่ใด ให้เอาขวดน้ำมันพรายวางตรงตำแหน่งนั้น แล้วบริกรรมเสกคาถาลงไป โดยเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเวลาที่แสงพระอาทิตย์สาดเข้ามาในโบสถ์ได้ระดับกับพระเนตรของพระประธาน แล้วจึงหยุดบริกรรมคาถา ให้กระทำแบบนี้ในโบสถ์ทั้งหมด 7 โบสถ์ จึงถือว่าสิ้นสุดพิธีกรรม น้ำพรายที่ได้ถือว่านำไปใช้งานได้แล้ว
      การมีน้ำมันพรายไว้ครอบครองจะวางทิ้งไว้เฉยๆ ก้อไม่ได้ ทุกๆวันจะต้องนำอาหารคาวหวานมาเซ่นเป็นประจำ เพราะของสิ่งนี้มีวิญญาณของผีตายทั้งกลมสิงอยู่ด้วย
      น้ำมันพราย คนธรรมดาคุมไม่เป็น ไม่มีคาถากำกับ ใช้แล้วอันตราย ทั้งคนใช้ทั้งคนโดนของ ใครโดนของสติจะวิปลาส รักษาไม่หายครับ แต่หากนำมาหุงใหม่กับสีผึ้งผสมว่านอาถรรพ์ทำเชื้อให้อ่อนลงโดยเกจิผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า คุมวิญญานพรายได้ถาวร จะส่งผลดีช่วยเหลือเราได้ ใช้ในทางที่ถูกต้อง ไม่ผิดศีล ไม่ผิดเมียใคร ได้ผลแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา จะส่งผลบุญให้เขาได้บุญพ้นจากวิบากกรรมนี้ได้เร็วขึ้น หากใช้ทางที่ผิดอาจเกิดผลเสียหายภายหลัง ของแบบนี้ครูบาอาจารย์ท่านสาปแช่งไว้


เครดิต : http://gotoknow.org/blog/emae/181697



เหมือนชีวิตจะยุ่งๆนะ
base
#159
08-03-2012 - 16:30:20

#159 base  [ 08-03-2012 - 16:30:20 ]







HNY น้าาาาาาาา
otsuchio
#160
09-03-2012 - 03:02:15

#160 otsuchio  [ 09-03-2012 - 03:02:15 ]






แวะมาอ่าน อีกแล้วววว วว

ชอบเรื่องผีญี่ปุ่นจังค่ะ ไม่ได้น่ากลัวนะ มันคลาสสิกอย่าบอกใคร

555555

อัพอีกๆๆ อยากอ่านค่ะ




เข้ามาอีกทีรูปในละครซิมหายเกลี้ยง

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ