ขอบคุณเว็บhttp://www.adslthailand.com/forum/viewtopic.php?p=351948
"ของก๊อบ" ต้นทุนต่ำ นำมาขายก็กำไรกว่า 10 เท่า ผลตอบแทนที่ดีที่ส่งผลให้ธุรกิจก๊อบ...มีอยู่ตามแผงทั่วไป
ยิ่งเมื่อไทยเป็นฮับแห่งภูมิภาค และทำเอฟทีเอกับจีน ได้กลายเป็นช่องทางให้สินค้าก๊อบ...ทะลักมาไทย เพื่อเป็นแหล่งกระจายต่ออีกด้วย
ข้อมูลจากสหภาพยุโรประบุถึงข้อมูลสินค้าลอกเลียนแบบที่กระจายตัวทั่วโลกนั้น มีมูลค่าถึง 5-7% ของมูลค่าการค้าโลก
ล่าสุดปี 2548 ทาง OECD ได้ประมาณการสินค้าปลอมแปลงและได้รับความนิยมในระดับนานานาชาติ มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์
ส่วนไทยถือเป็นประเทศที่มีระดับความรุนแรงด้านละเมิดติด "อันดับ 3" ของภูมิภาค รองจากจีน และฮ่องกง นับจากมูลค่าที่มีการจับกุมจากกรมศุลกากรประมาณปีละ 1 พันล้านบาท
โดยเริ่มต้นจากแหล่งผลิตใหญ่ซึ่งอยู่ที่จีนกว่า 90% และใช้ไทยเป็นแหล่งกระจายสินค้าไปยังประเทศข้างเคียงรอบๆ ภูมิภาค เพราะมีช่องทางเอื้ออำนวยความสะดวกให้สินค้าผ่านข้ามแดนง่ายดายขึ้น หลังเอฟทีเออาเซียน-จีน และไทยยังเป็นศูนย์กลางการขนส่ง
สินค้าก๊อบ...ระดับท็อปฮิตที่มีจำนวนก๊อบมหาศาลและสร้างยอดจำหน่ายได้เร็วโดยไม่ต้องทำตลาดส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีบันเทิง สินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม
เช่น ดีวีดีและซีดี ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2550 จับได้แล้ว 3 ล้านแผ่น เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าความเสียหายและจับได้มากที่สุด
โดยมีผู้ประเมินว่า แต่ละปีอุตสาหกรรมบันเทิงไทยทั้งหนังและเพลงได้รับความเสียหายจากแผ่นผีประมาณ 2,500 ล้านบาท
ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่ขายดีเช่นกัน คือ สินค้ากลุ่ม กระเป๋า นาฬิกา เสื้อผ้า รองเท้ากีฬา แว่นตา เสื้อ กางเกง อะไหล่รถยนต์ และแบตเตอรี่
แบรนด์เนมเป้าหมายหลักสำหรับเซียนก๊อบ...ก็หนีไม่พ้น กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง คริสเตียน ดิออร์ กุชชี่ ชาแนล เวอร์ซาเช่ อาร์มานี่ ปราดา กลุ่มรองเท้าที่ติดอันดับคือ ไนกี้ อาดิดาส รีบ็อค บัลลีย์
ส่วนกลุ่มนาฬิกาที่ขึ้นชื่อก็คือ โรเล็กซ์ ไซโก คาสิโอ โอเมก้า เครื่องใช้ไฟฟ้าก็คือ โซนี่ แม้กระทั่งมือถือและแบตเตอรี่มือถือ แบรนด์ชั้นนำ โนเกีย ซีเมนส์ โมโตโรล่า
อะไหล่รถยนต์ ก็ไม่พ้นมือดีเซียนก๊อบ...ตามรอยเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วข้ามคืนหลังคอลเลคชั่นสินค้าใหม่เปิดตัว สินค้าก๊อบ...ก็พร้อมจะวางโชว์ และเปิดตัวแทบจะพร้อมๆ กับสินค้าเจ้าของลิขสิทธิ์
ตราบใดที่ความต้องการ หรือดีมานด์ของผู้ใช้ยังมีอยู่ ผู้ผลิตสินค้าก็ยังตอบสนองความต้องการอย่างต่อเนื่องนั่นเป็นความจริงที่รู้กันดีในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
"ธนัท สุวัธนเมธากุล" ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร แสดงสถิติการจับกุมในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
ด้วยอัตราปีละ "กว่าร้อยเปอร์เซ็นต์"
"ปี 2550 มีการจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ไปแล้ว คิดเป็นมูลค่าถึง 88,422,103.97 บาท
แต่ถ้าหากประเมินตามราคาจำหน่ายจริงของสินค้าลิขสิทธิ์ซึ่งมีราคาสูงกว่าราคาต้นทุน 10 เท่า จะมีมูลค่าการจับกุมประมาณ 880 ล้านบาท" ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร กล่าว
การจับกุมครั้งนั้นยังมีมูลค่าสูงกว่าเมื่อปี 2549 ประมาณ 137% โดยปี 2549 จับกุมได้รวมมูลค่า 76,051,100.71 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสูงกว่าปี 2548 ประมาณ 105% ซึ่งในปีนั้นจับกุมได้ 37,175,282 ล้านบาท
นั่นเป็นตัวเลขจากการจับกุมของกรมศุลกากร
ยังมีตัวเลขจากหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะอย่างกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ปราบปรามสินค้าก๊อบ...
พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการ ปศท. กล่าวว่า ในปี 2550 มีการจับกุมเฉลี่ยเดือนละ 40 ล้านบาท ทั้งปีมีมูลค่าของกลางที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งจับกุมได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท หากนับตามราคาที่จำหน่าย
แต่หากนับรวมความเสียหายที่เจ้าของลิขสิทธิ์วิเคราะห์ ความเสียหายนั้นจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่าตัว
"ตัวเลขสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในไทยประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาทต่อปี" พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ประเมินให้ฟัง
ทางกรมศุลกากรยังระบุว่า ไทยเป็นแหล่งผลิต ค้าขาย และกระจายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา 1 ใน 3 ในเอเชีย หากดูจากผลงานจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์สูงเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นสมาชิก WTO รองจากจีน และฮ่องกง
โดยไทยจับกุมได้ 107 ราย 73,808 รายการสินค้า คิดเป็น 9.4% ของการจับกุมทั้งหมดในเอเชีย-แปซิฟิก
หากแยกตามกลุ่มสินค้า สินค้าประเภท Phonographic Product โดยเฉพาะ DVD Films จับกุมได้ 80 ราย 59,780 รายการ ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากฮ่องกง และมาเลเซีย และยังเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากโปแลนด์และเยอรมนี
ทั้งนี้หากนับรวมจากฐานข้อมูลการจับกุมเดือนกันยายน 2007 ศุลกากรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีผลงานการจับกุมของก๊อบ... ไทยติดอยู่ในประเทศที่มีผลงานสูงอันดับ 2 คือ จับกุมได้รวม 77 รายจาก 221,724 รายการ คิดเป็น 22.19% ของการจับกุม
"ส่วนใหญ่สินค้ามาจากเชียงแสน แม่สาย ขนถ่ายสินค้าจากจีนล่องมาตามทางชายแดน ผ่านทางลาว กัมพูชา และพม่า ซึ่งถ้าซ่อนมาข้างใต้สินค้าก็สามารถจับกุมได้ เพราะกรมศุลกากรใช้ระบบเอกซเรย์ดูสินค้าภายใน
บางรายใช้การสำแดง (ดีแคลร์) ซึ่งหากเจ้าหน้าที่มีความรู้ สามารถแยกแยะระหว่างสินค้าปลอมแปลงกับสินค้าลิขสิทธิ์ก็สามารถจับกุมได้ แต่บางอย่างเหมือนต้นฉบับมาก เพราะผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน เพียงแต่ผลิตเกินจำนวนที่เจ้าของลิขสิทธิ์สั่งซื้อ สินค้าเหล่านี้จะเล็ดลอดไปมาก
บางทีก็นำเข้าแบบที่ไม่มีตราสินค้า เพื่อมาติดตราสินค้าในไทยเพื่อจำหน่ายในประเทศ หรือกระจายต่อไปยังต่างประเทศ รูปแบบและวิธีการที่หลากหลายนี้กรมศุลกากรจะต้องอบรมและรู้เท่าทัน" ผู้อำนวยการ กรมศุลกากรบอกถึงเส้นทางของสินค้าก๊อบ...ที่มีในท้องตลาดไทย
ยังมีสินค้าใหม่ล่าสุดที่ออกมาพร้อมกับสินค้าลิขสิทธิ์เปิดตัว แต่ยังไม่มีการเทรนนิ่งแยกแยะระหว่างสินค้าลิขสิทธิ์กับสินค้าก๊อบ...ในหน่วยงานจับกุม บางกลุ่มสินค้าปลอมแปลงใหม่จึงผ่านข้ามแดนไปได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีการดีแคลร์เสียภาษีตามปกติ
"สินค้าก๊อบ...มีความหลากหลายมากขึ้น เพราะคนนิยมใช้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย อยากใช้ของแพง นั่นทำให้ดีมานด์ยังมีอยู่
ตราบใดที่ยังไม่ยึดคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีเงินซื้อสินค้าแพงและสินค้าแบรนด์เนม แต่ยังมีทัศนคติเกี่ยวกับความฟุ่มเฟือยและหรูหรา การจำหน่ายและการจับกุมก็จะมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะสินค้าปลอมที่ 90% มาจากจีน นั่นเล็ดลอดมาจากหลายช่องทางตามแนวชายแดน ทำให้จับยังไงก็ไม่หมด เพราะผู้ขนถ่ายสินค้าก๊อบ...มีช่องทางการหลบหนีที่แยบยล" ผู้อำนวยการ กรมศุลกากร เล่าถึงการทำงานจับกุมแข่งกับดีมานด์สินค้าก๊อบ...มหาศาลในโลก
ปริมาณของสินค้าก๊อบ...ทั่วโลกนั้นข้อมูลจากหอการค้าไทย-อิตาเลียน ภายใต้ประมาณการของคณะกรรมาธิการยุโรปพบว่า เกือบ 60% ของการจับกุมมาจากไทย ฮ่องกง เกาหลี และมาเลเซีย ที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในคราวเดียวกัน
ถึงขนาดที่กลุ่มสินค้าลิขสิทธิ์ของอเมริกาได้รายงานการจัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่น่าจับตาเป็นพิเศษ (priority watchlist) ใช้มาตรการพิเศษ 301 ของอเมริกา เพราะยังมีการละเมิดลิขสิทธิ์ทำให้สหรัฐอเมริกาสูญเสียรายได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 188 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6 พันล้านบาท
ในอดีตไทยถูกมองเป็นแหล่งผลิตสินค้าก๊อบ...ชั้นนำของโลก แต่หลังจากจีนเป็นผู้ผลิตสินค้าราคาถูกมาก ทำให้ไทยแปรสภาพเป็นผู้นำเข้า ผู้ค้า บริโภค และเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ตะวันออกกลาง ข้ามไปถึงแอฟริกา หรือส่งกลับกระจายไปยังเพื่อนบ้านในเอเชีย
รวมถึงส่งกลับไปยังจีนเพื่อตัดวงจรการตามรอยเส้นทางการกระจายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
เหตุผลที่ใช้ไทยเป็นหนึ่งในจุดกระจายสินค้าก๊อบ... เพราะยุทธศาสตร์ที่เอื้อต่อการเป็นที่ตั้งกลยุทธ์การขนถ่ายสินค้าหลายทาง โดยใช้ความเป็นฮับ หรือศูนย์กลางในหลากหลายด้านกับบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางแห่งภูมิภาคในการขนส่งสินค้าทางเรือ
สามารถเลียบตามเส้นทางสามเหลี่ยมปากน้ำโขง และแม่น้ำสายใหญ่ๆ รวมถึงขนส่งทางรถยนต์ ผ่านทางเพื่อนบ้าน ตลอดจนทางเครื่องบินกับความเป็นสนามบินนานาชาติ
สิ่งที่เอื้ออำนวยความสะดวกทวีคูณขึ้นไปอีก คือการเป็นประเทศที่เตรียมพร้อมทำเขตการค้าเสรีกับหลากหลายประเทศในภูมิภาค เช่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จึงทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าทำได้คล่องตัวขึ้น
ประเทศไทยจึงกลายเป็นแหล่งส่งออกของปลอมแปลงด้วยการนำมาตบแต่งบรรจุภัณฑ์ใหม่ ฉลากใหม่ หรือประกอบเพิ่มเติมเพื่อส่งไปยังจุดปลายปลายทาง
สินค้าก๊อบ...นอกจากได้รับความนิยมจากคนในประเทศแล้ว ยังมียอดจำหน่ายน่าพอใจและทำกำไรได้อย่างงดงามกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามกำหนดพื้นที่ "เฝ้าระวัง" ในจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ 8 จังหวัด เพื่อให้ง่ายในการติดตามจับกุม
โดยในกรุงเทพ แหล่งกระจายสินค้าก๊อบ...ที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ในย่านคลองถม สะพานเหล็ก บ้านหม้อ ย่านพัฒน์พงศ์และถนนสีลม ศูนย์การค้ามาบุญครอง ย่านถนนสุขุมวิท
ต่างจังหวัด แหล่งกระจุกตัวสำหรับแก๊งค้าสินค้าก๊อบ... คือ เชียงใหม่ ซึ่งมีมากในย่านการค้าไนท์บาซาร์ และห้างคอมพิวเตอร์พลาซ่า ภูเก็ตจะมีจำหน่ายมากในบริเวณหาดป่าตอง หาดกะตะ และหาดกะรน
ส่วนภาคใต้ตอนล่าง มีแหล่งสินค้าก๊อบ...ในสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และจ.สงขลา บริเวณตลาดสันติสุข ตลาดกิมหยง ตลาดยงดี ตลาดนัดบขส. อ. หาดใหญ่ ส่วน จ. กระบี่ก็แฝงจำหน่ายกันในบริเวณอ่าวนาง
พื้นที่ระวังแห่งสุดท้าย ก็คือ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งก็เป็นแหล่งนักท่องเที่ยว
ลักษณะการกระจายสินค้านั้น หากเป็นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และนาฬิกา กลุ่มสินค้าที่นิยมส่วนใหญ่จะมาจากจีน และกระจายผ่านทางด่านชายแดน ทางเหนือมาทางด่านแม่สาย ส่วนทางภาคใต้จะล่องเรือมาลงที่ท่าเรือ จากนั้นก็มีพ่อค้าไทยเข้าไปรับสินค้าเพื่อกระจายต่อ หรือบางครั้งกลุ่มพ่อค้าไทยก็หิ้วเข้ามาเอง
ผู้ที่หิ้วสินค้าละเมิดทรัพย์สินจากจีน บางส่วนจะแฝงตัวมาในรูปของนักท่องเที่ยวจีนทางเครื่องบิน นอกจากนี้ยังมี 3 เส้นทางการขนส่งที่เป็นแหล่งกระจายสินค้า คือ ทางทะเล เข้าทางแหลมฉบัง หรือท่าเรือ ทางใต้
อีกช่องทางคือ ล่องทางแม่น้ำโขง ผ่านมาทางเวียดนาม พม่า และเข้าทางตอนเหนือของไทย และทางภาคอีสาน รวมถึงทางรถ ที่มีการเปิดเส้นทางใหม่ระหว่างจีน มายังไทย
รายได้จากการทำธุรกิจนี้มีตัวเลขกำไรสูงตั้งแต่ 5-10 เท่ายังจูงใจให้เกิดพ่อค้ารายย่อยเข้ามาอยู่ในวงจรค้าของก๊อบ...กันมากขึ้น ซึ่งตามที่กลุ่มเจ้าของลิขสิทธิ์ไปสำรวจพื้นที่เฝ้าระวังตั้งแต่ปลายปีถึงต้นปีที่ผ่านมาเทียบกับช่วงนี้ พบว่า มีพ่อค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นจาก 5 แผงเป็น 10-20 แผง
ยิ่งเป็นช่วงสุญญากาศก็ทำให้ไม่มีผู้ที่เข้ามากำกับดูแลปราบปรามจริงจัง
"จริงๆ แล้วผู้ที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจนี้ ที่เริ่มจากเป็นผู้นำเข้ามีเพียงไม่กี่ราย คนเหล่านี้มีสายสัมพันธ์อันดีกับพ่อค้าชาวจีน โดยประมาณ 90% ของพ่อค้าจะรับสินค้ามาจากจีน หลังรับมาก็กระจายต่อไปยังพื้นที่ในเครือข่ายที่ตัวเองมี" สายในเครือข่ายเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ลงไปสำรวจพื้นที่รายงาน
หลังรับสินค้ามา บางส่วนรับมาค้าส่ง บางส่วนตั้งแผงในเครือข่ายกว่า 10-100 แผงในประเทศ ในลักษณะคล้ายกับธุรกิจเฉพาะภายในตระกูลที่สืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ เฉพาะในเครือญาติ แล้วกระจายต่อเฉพาะในจังหวัด หรือญาติที่อยู่ในจังหวัดอื่น
ส่วนพ่อค้ารายย่อยทั่วประเทศกว่าหมื่นราย ก็เป็นผู้ที่มาติดต่อขอซื้อสินค้ากับกลุ่มดังกล่าว หรือมีบางส่วนซึ่งเป็นส่วนน้อยไปหิ้วสินค้ามาจากจีนเอง
"มาลา ตั้งประเสริฐ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีเล็คทีฟ ยูเนี่ยน (ไทยแลนด์) ตัวแทนเจ้าของลิขสิทธิ์ให้กับนาฬิกา เสื้อผ้า และเครื่องประดับแบรนด์เนมชั้นนำ เช่น โรเล็กซ์ คาเทียร์ ชาแนล คาลวิน ไคลน์ โอเมก้า ราโด สวอทช์ ไซโก ทิโซต์ โคเลส ทิวดอร์ และปราดา บอกว่า ธุรกิจสินค้าก๊อบ...มีรายได้และกำไรสูงกว่าผู้ที่เป็นตัวแทนเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างถูกกฎหมายในประเทศเสียอีก เพราะเริ่มต้นจากต้นทุนที่ต่ำ แต่ได้กำไรสูงกว่าความเป็นจริงประมาณ 5-10 เท่า ขณะที่ผู้แทนเจ้าของลิขสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนต่ำกว่า หรือบางสำนักงานตัวแทนก็ได้รับเป็นเงินเดือนจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ รวมถึงต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาล
ขณะที่ธุรกิจก๊อบ... เป็นธุรกิจนอกระบบที่มีรายได้จากกำไรที่สูงกว่าต้นทุน และยังไม่ต้องเสียภาษีในระบบ
"ต้นทุนนาฬิกาก๊อบ...จากจีนเรือนละ 40-50 บาท มาจำหน่ายในราคาเรือนละ 200 บาท ขณะที่นาฬิกาแบบเหล็กเกรดดีขึ้นมาหน่อย ราคาต้นทุนเรือนละ 100 บาท จำหน่ายเรือนละ 500 บาท
สินค้าก๊อบ...เกรดดีขึ้นมาอีกระดับก็ประมาณเรือนละ 350-500 บาท สามารถจำหน่ายเรือนละ 1,500-15,000 บาท" เธอเล่าถึงความต่างของต้นทุนของสินค้าก๊อบ...
สายที่ลงไปสำรวจพื้นที่ยังเล่าว่า ผู้ที่ทำธุรกิจก๊อบ...ในอดีตสามารถเติบโตจากการเริ่มต้นที่ศูนย์ จนถึงปัจจุบันบางรายมีบ้านราคานับสิบล้าน และยังมีเงินลงทุนเปิดรีสอร์ท กลายมาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่อีกต่างหาก
"คนที่ทำธุรกิจนี้ชัดเจนว่าจะต้องเป็นผู้มีรายได้มากพอสมควร เพราะการเปิดแผงแต่ละแห่งเฉพาะแผงที่พัฒน์พงศ์ต้องใช้เงินทุนพอสมควร เพราะค่าเช่าแผงๆ ละ 3 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ยังไม่รวมค่าเซ้งแผง และค่าสินค้า รวมถึงค่าต๋ง ที่ต้องเสียให้กับผู้ดูแลพื้นที่
จากการสอบถามพบว่า มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อวันจนสูงสุดถึงวันละเกือบแสนบาท"
รายได้ที่สูงมากจึงเป็นสิ่งจูงใจให้พ่อค้ารายย่อยหันมาจำหน่ายสินค้าก๊อบ...ไปตามๆ กัน โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจซบเซาที่คนหันมาเน้นสินค้าราคาถูกเป็นหลัก
สิ่งที่เจ้าของสิทธิ์ตัดพ้อก็คือ ทำไมปัญหาการจำหน่ายกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงสุญญากาศทางการเมืองที่ไม่มีใครเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง หรือเป็นเพราะหน่วยงานปราบปรามมีส่วนรู้เห็นแบบขยิบตาข้างเดียว
ทว่า ข้อมูลเบื้องลึกที่ทางปศท. โดยพล.ต.ต. วิสุทธิ์ ให้มาคือ เหตุที่ปศท.ยังปราบไม่หมดเป็นเพราะมีบางส่วนสร้างรายได้จากการซื้อความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ดูแลผลประโยชน์ให้กับแบรนด์เนม หรือเทป ซีดี ไปเรียกผลประโยชน์จากแผงจำหน่ายตามแหล่งต่างๆ อีกที
เมื่อมีการจับกุม หากยินยอมจ่ายเงินแบ่งปันผลประโยชน์ คดีก็จบลงตรงที่ยอมความกัน
"หลังซื้อใบมอบอำนาจ ก็จะขู่ตามร้านเพื่อเก็บผลประโยชน์เป็นรายเดือน ถ้าจ่ายเงินก็ไม่แจ้งตำรวจจับ หากไม่ให้ก็มาแจ้งตำรวจจับ หลังจากนั้น เมื่อจับแล้วอาจจะมายอมความกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้การปราบปรามการละเมิดไม่เป็นผล ส่วนมากจะเป็นคดีลิขสิทธิ์ เพราะยอมความกันได้ " พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เล่า
ขณะเดียวกันยังมียุทธการวางสายแผงคล้ายกับขอทาน คือ มีรถตู้ปล่อยตามจุดคันละ 10 แผง ว่าจ้างผู้ขาย 250 บาทต่อวัน พร้อมกับแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์จากการจำหน่าย ซึ่งเฉพาะกำไรประมาณ 2,000-3,000 บาทต่อราย รวมแล้วคันละประมาณ 20,000-30,000 บาทต่อวัน
นั่นเป็นรายได้ที่มากพอสมควร
สิ่งที่ทำให้ยากในการจับกุม ส่วนใหญ่จะเป็นซีดีหรือดีวีดี ที่มีเฉพาะโบรชัวร์หรือใบปิดหนังให้เลือก แต่ไม่มีของกลาง ใช้วิธีโทรสั่งเป็นทอดๆ ประมาณ 4-5 ทอด กว่าจะถึงสต็อกสินค้า การล่อซื้อจึงทำได้ยาก
ธุรกิจอันตรายจึงเติบโต...ปราบเท่าไร ไม่หมดง่ายๆ
ขอบคุณเว็บhttp://www.adslthailand.com/forum/viewtopic.php?p=351948