ไม่ต้องรอ 2012 แค่ 2011 โลกก็จะแย่แล้ว
นอสตราดามุสเมืองไทย พยากรณ์เอาไว้ว่า การโคจรของดวงดาวในปีเถาะ 2554นี้เป็นสิ่งวิปริตผิดอาเพศมากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างใหญ่หลวง ปี 2554นี้จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติสุดมหาหฤโหดไปทั่วโลกทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว“น้ำในแม่น้ำและคลองทั้งปวงจะแดงเป็นโลหิต เมฆและท้องฟ้าจะแดงเป็นแสงไฟ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนฤดูหนาวจะเป็นฤดูร้อนที่ลุ่มจะกลับดอนที่ดอนจะกลับลุ่มโรคภัยจะเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งปวงมนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกจะพลันตายลงจะเกิดข้าวยากหมากแพง ฝูงมนุษย์จะอดอยากเสื้อเมืองทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง”
แต่ยังไม่ถึง “วันสิ้นโลก” ในวันที่12ธ.ค.2555แค่ในปี2554นี้ก็อ่วมอรทัยไปซะก่อนแล้วการโคจรของดวงดาวและดาวพระเคราะห์ในปีนี้ไม่เป็นไปตามกำหนด จัดเป็นวิกล จะเกิดแผ่นดินไหว กัมปนาทไปทั่วเหมือนแผ่นดินจะแตกแยกออกทุกหัวระแหงทั่วโลกจะถูกทำลายด้วยไฟประลัยกัลป์ ฝนจะตกเป็นเวลายาวนานความแห้งแล้งจะแผ่ขยายไปในวงกว้างมากขึ้น จะเกิดทะเลทรายขนาดใหญ่ไปทั่ว มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ทั้งหลายจะเ...่ยวแห้งและตายเป็นจำนวนมากจากการลิขิตจากดวงดาวในอนาคตที่โลกจะสิ้นสูญไป โลกเราคงไม่แตกสลายหรือสิ้นไปจากอุกาบาตพุ่งชนโลกหรอก แต่จะเกิดจากไฟของมนุษย์เรานี่เอง
ไฟที่ว่านั้นก็คือไฟแห่งกิเลสตัณหา กำลังแผดเผาไหม้ให้ย่อยยับไปทุกๆ วันเวลาเพราะในปัจจุบันมนุษย์ในโลกนี้เต็มไปด้วยการทำความชั่วและเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตนเองและพวกพ้องขาดความรักความเมตตาที่มีต่อกันและต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง และมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นจะถูกธรรมชาติและสวรรค์ลงโทษอย่างมหันต์อีกเช่นกันเพราะจากปี 2554 เป็นต้นไป ดวงดาวจะเดินผิดปกติไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทางโหราศาสตร์ไทยสามารถตีความหมายไปได้อย่างเช่นในปี 2554นี้ เมืองใหญ่ๆที่อยู่ในซีกโลกตอนเหนือเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดคลื่นทะเลยักษ์ จะฆ่าชีวิตคนเป็นล้านคน
ดาวเสาร์ตั้งฉากกับพระราหูและพระราหูตั้งฉากกับมฤตยู จะทำให้ท้องฟ้าจะแปรปรวน ดวงอาทิตย์ ดวงดาวจะไม่ส่องแสงเหมือนเคย ลมฟ้าอากาศวิปริตและโลกจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วอุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก บ่งชี้ว่าสภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้นรวดเร็ว ประกอบกับธารน้ำแข็งใหญ่บริเวณขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในทุกๆ ที่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกครั้งใหญ่ เกิดภัยพิบัติต่อประชากรมนุษย์และระบบนิเวศอิทธิพลจากการที่ดาวเสาร์เล็งมฤตยูปีนี้จะทำให้เกิดการพลิกตัวของแกนโลกจากเดิมไปเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลก อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงและฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราไม่สามารถระบุฤดูกาลลงไปได้อย่างแน่นอนกันอีก สภาพอากาศและฤดูกาลผิดเพี้ยนไปหมด ประเทศไทยที่เคยร้อนก็กลับมีอากาศหนาวเย็นจนหิมะตกลงมา
อิทธิพลของดวงดาวทั้งสอง ยังส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ สลับขั้วกันระหว่างพื้นที่ที่เคยฝนตกชุกก็จะเกิดความแห้งแล้ง ส่วนพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งนั้นก็จะกลับมีฝนตกชุก สร้างความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูก นำมาซึ่งอุทกภัยยาวนานตลอดทั้งปี 2554 นี้ หรือไม่ก็เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งซึ่งนำความอดอยาก ทำให้ผู้คน เด็ก ผู้หญิง ต้องหิวโหยและล้มตายในปีเถาะสุดโหดจะเกิดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินทรุด แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม และคลื่นยักษ์สึนามิบ่อยครั้ง และถี่มากขึ้นกว่าที่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ของโลกตั้งแต่ 1, 000 ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้น้ำแข็งบริเวณทวีปอาร์กติก และแอนตาร์กติกา จะเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว คือในปี 2554 นี้ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นจำนวนมากและเพียงพอที่จะทำให้เมืองใหญ่ๆ ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำได้ รวมถึงประเทศไทยจะเริ่มมีน้ำท่วมเกิดจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และเข้าท่วมมาถึงกรุงเทพฯ บางส่วนเป็นนครใต้บาดาลชั่วนิจนิรันดร์
และในอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคทุกจังหวัดจะถูกน้ำท่วมไปหมด ที่เกิดจากน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาและเกิดจากอุทกภัยอีกหลายครั้งจนต้องอพยพผู้คนหนีน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เกือบสุดเขตแดนไทย เมื่อนั้นคนไทยก็คงไร้สิ้นแผ่นดินได้?นี่เป็นเพียง คำพยากรณ์เท่านั้น !!!!
2012 รึโลกจะแตกเข้าจริงๆ
ต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นได้เกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.0 ริกเตอร์ และตามมาด้วยคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ที่มีความสูงถึง 10 เมตร ถาโถมเข้าใส่พื้นที่ตามแนวชายฝั่งทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น ทำให้กระแสข่าวลือในโลกอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันโลกแตก ที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง
ทฤษฎีดาวนิบิรุชนโลก
เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวนิบิรุ ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกค้นพบเมื่อปี 2002 โดยนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) เชื่อว่า ดาวนิบิรุจะพุ่งเข้าชนโลก เนื่องจากว่า ดาวนิบิรุมีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่ ซึ่งความจริงแล้วเส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นวงโคจรเดียวกับโลกพอดี ทำให้ดาวนิบิรุมีสิทธิ์เข้าชนโลกได้ หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตรายได้ เพราะว่าแกนของดาวนิบิรุ ก็มีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งเมื่อเข้ามาใกล้โลกสนามแม่เหล็กจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก จนทำให้เกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นในโลก อาทิ เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกะทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่าง ๆ และอื่น ๆ นับไม่ถ้วน ประกอบกับมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2012 ดาวนิบิรุ จะเข้าใกล้โลกของเรามากที่สุด
ทฤษฎีแม่เหล็กโลกกลับขั้ว
สนามแม่เหล็กของเราจะมีอยู่ 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และอีกขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดยขั้วแม่เหล็กทั้ง 2 ขั้ว จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นอิสระจากกัน ทั้งทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 นาซ่า (nasa) ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมว่า อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มากคือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย อาทิ ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกิดจากแม่เหล็กโลกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว ก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิตามมา
อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า นอกจากการที่โลกและดวงอาทิตย์ทำการแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง ซึ่งก็คือทุก ๆ 11 ปีนั่นเอง และเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดปรากฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ต้องสาบสูญไปในช่วงเวลานั้น ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย จนเป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล อย่างกรณีโลกร้อน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือการเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ กระทั่งทำให้แกนโลกเกิดการเบี่ยงเบนไป จนนำไปสู่การกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง
ทฤษฎีชนเผ่ามายัน
ชนเผ่ามายัน ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคิดค้นปฏิทินและการคำนวณบางประการได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยแบบเรา โดยปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายา คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งในวันนี้เองที่เป็นมาของความเชื่อที่ว่า เป็นวันสิ้นโลก โดยเชื่อกันว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ทำให้พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถม และเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก อาจทำให้เกิดซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปี ที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัย ก็คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้วก็ได้
ทฤษฎีน้ำท่วมโลก
ด้วยสภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยผลกระทบที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ที่ทำให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดทฤษฎีน้ำท่วมโลกขึ้น โดยเชื่อกันว่า หากเราไม่สามารถแก้ไข สภาวะโลกร้อนได้ ในปี 2012 โลกจะเกิดหายนะจากอุทกภัยน้ำท่วมโลก จากการละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์เมื่อปี 2003 ที่ระบุว่า ขณะนี้อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายตัวของน้ำแข็งในแต่ละวันมีปริมาณสูงถึงวันละ 1 ล้านตัน และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกิน 5-7 ปี น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและใต้จะละลายหมด ซึ่งก็คือ ปี 2012 นั่นเอง
ทฤษฎีต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น สามารถเกิดขึ้นได้ หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ไม่ว่า อย่างไรก็ตาม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น การเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้อต่อธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าการมานั่งวิตกกังวลว่าโลกจะแตกเมื่อไหร่
คุณเตรียมตัวตาย
ใครอ่านได้บุญ 6 ไม่ต้องรอ 2012 แค่ 2011 โลกก็จะแย่แล้ว
tree38 | #1 04-04-2011 - 23:03:06 | ||||
|
|
Winsohm_98 | #2 04-04-2011 - 23:16:13 | ||
|
booktiger | #3 04-04-2011 - 23:28:35 | ||||
|
|
ืีnurse_sun | #4 05-04-2011 - 13:49:54 | ||||
|
|
- 1
ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้ |
ข้อมูลเมื่อ 21st November 2024 03:33
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล] |