โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ใครอ่านได้บุญ 9 ชาวพุทธที่ดี
tree38
#1
04-04-2011 - 23:39:04

#1 tree38  [ 04-04-2011 - 23:39:04 ]




ชาวพุทธที่ดีเป็นอย่างไร
ปัจจุบันพุทธศาสนาประสบปัญหาหลายอย่าง จนหลายๆคนถึงกับเอ่ยว่า พุทธศาสนาถึงยุคเสื่อมแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พุทธศาสนาในแง่ของคำสอนและหลักธรรมนั้นไม่ได้เสื่อมลงแต่อย่างใด ทว่าสิ่งที่เสื่อม คือ “คน” ผู้ที่ต้องนำคำสอนของศาสนามาปฏิบัติต่างหาก
ชาวพุทธหลายคนที่พูดว่าตนเองนับถือศาสนาพุทธนั้น แท้ที่จริงแล้ว หลายคนไม่รู้ว่าศีล 5 หมายถึงอะไร ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อะไรคือแก่นแท้ของพุทธศาสนา และที่สุดก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พวกเขาควรปฏิบัติตนอย่างไรในฐานะที่นับถือพุทธศาสนา จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
บางคนอาจมีข้อโต้แย้งว่า หลักธรรมของพุทธศาสนามีมากมาย ใครจะไปรู้ว่าต้องทำตามข้อไหน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี หรือหากจะให้ทำทั้งหมดก็คงไม่ไหว เพราะแค่จำยังจำไม่ได้เลย
จริงๆแล้ว การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย เพราะมีหลักเพียงแค่ 5 ข้อเท่านั้น หลักธรรมนี้เรียกว่า อุบาสกธรรม 5 ซึ่งมีหลักปฏิบัติที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก ขอเพียงแต่ปฏิบัติให้ถูกต้องและจริงจังเท่านั้น ไม่ใช่การท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองแต่ไม่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อตนเองและพุทธศาสนามากนัก ซ้ำร้ายการท่องจำยังอาจเป็นการไปเพิ่มทิฏฐิมานะว่า ฉันดี ฉันมีธรรมะ เพียงเพราะแค่ท่องจำหลักธรรมได้ กลายเป็นเพียงแค่ใบลานเปล่าในที่สุด
คำว่า “ใบลานเปล่า” นี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเรียนรู้ท่องจำธรรมะจนแตกฉาน แต่กลับละเลยการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าจึงเปรียบท่านเหมือนใบลานเปล่า เมื่อท่านได้ยินพระพุทธองค์เรียกท่านดังนี้ก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง แต่แทนที่ท่านจะมานึกน้อยใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงเรียกท่านเช่นนี้ หรือโกรธพระพุทธเจ้าก็หาไม่ ท่านกลับมองหาข้อบกพร่องของตนเอง เมื่อเจอก็แก้ไขและหันไปปฏิบัติ เจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
จะเห็นได้ว่าธรรมะทุกอย่างหากไม่นำมาปฏิบัติก็ไร้ผลทั้งสิ้น อุบาสกธรรม 5 ก็เช่นกัน แม้จะมีแค่ 5 ข้อ แต่หากพุทธศาสนิกชนไม่ปฏิบัติตาม พุทธศาสนาก็ยากที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ ดังนั้นหากท่านใดยังอยากเห็นพุทธศาสนามั่นคงอยู่ได้ ก็ไม่ควรละเลยอุบาสกธรรมทั้ง 5 ข้อนี้
อุบาสกธรรม 5 นี้ ข้อแรกก็คือ การมีศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพุทธก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรมก็คือคำสั่งสอนของพระองค์ ส่วนพระสงฆ์นั้นท่านหมายเอาถึงพระอริยสงฆ์ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป สำหรับพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้น เป็น สมมติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยสมมติ แม้อย่างนั้นก็ตาม สมมติสงฆ์ก็ยังมีบุญคุณในฐานะที่สืบทอดพุทธศาสนา ซึ่งเราควรเคารพบูชาเช่นกัน อย่างไรก็ดี ศรัทธาที่ถูกต้องนั้นจะต้องมีปัญญากำกับด้วยเสมอ เพื่อไม่ให้ศรัทธาไปปะปนกับคำว่า งมงาย
ข้อที่ 2 ก็คือ การมีศีล ศีลที่เหมาะสำหรับประชาชนทั่วไปก็คือ ศีล 5 และบางท่านหากมีโอกาสก็ปฏิบัติศีล 8 ด้วย ซึ่งศีลนี่เองที่จะเป็นเครื่องช่วยทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่เกิดการเบียดเบียน
หลักข้อที่ 3 ก็คือ การไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล หมายถึง การมุ่งหวังจากการกระทำและการงานของตนเอง ไม่ใช่หวังจากโชคลางและสิ่งที่ตื่นกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ยันต์ ต้นไม้ เสาตกน้ำมัน หรือพอเห็นผ้าเจ็ดสีไปผูกติดกับอะไรก็ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ไปหมด การเชื่อมงคลตื่นข่าวจะทำให้โดนหลอกได้ง่าย หรือแม้แต่พระพุทธรูปนั้น ก็คือ สิ่งที่สร้างมาเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า จะพระพุทธรูปที่ไหน องค์ใดก็คือสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ไม่มีองค์ไหนศักดิ์สิทธิ์กว่าองค์ไหน และพระพุทธรูปก็ไม่ได้บันดาลสิ่งที่ขอให้เป็นจริง สิ่งที่บันดาลคือกรรม ทำกรรมดีก็ได้ผลดี ทำกรรมชั่วก็ได้ผลชั่ว ไหว้พระก็คือไหว้พระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณท่านที่ทรงมีพระกรุณาต่อเรา อย่างไรก็ดีการยึดพระพุทธรูปเป็นที่พึ่งทางใจก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่อย่าให้มากจนมองพระพุทธรูปเป็นตัวแทนเทพเจ้าไป
หลักข้อที่ 4 ของอุบาสกธรรมก็คือ การไม่แสวงหาหลักเขตบุญนอกพุทธศาสนา การได้พบพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ประเสริฐสุด แต่บางคนกลับไม่เชื่อในหลักธรรมของศาสนา ไปเชื่อหมอดูหรือพวกทรงเจ้าแทน มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีพระราชาอยู่องค์หนึ่ง โหรได้ทำนายว่า พระราชาจะตายภายในหกเดือน พระราชาได้ฟังก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำการทำงาน อำมาตย์จะเตือนสติอย่างไรก็ไม่ได้ผล วันหนึ่งอำมาตย์จึงถามโหรต่อหน้าพระราชาว่า ตัวโหรเองจะมีอายุยืนยาวเท่าไหร่ ตัวโหรก็บอกว่าตามดวงข้าจะมีอายุยืนยาวนานอีกหลายปี อำมาตย์จึงชักดาบออกมาตัดศีรษะของโหรแล้วทูลถามพระราชาว่า จะยังทรงเชื่อคำทำนายอีกไหม พระราชาจึงเลิกกังวลตั้งแต่นั้นมา
ส่วนหลักข้อ 5 ข้อสุดท้ายก็คือ การขวนขวายอุปถัมภ์บำรุงพระศาสนา ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ทำอยู่แล้ว แต่มักจะไปเน้นทางด้านวัตถุมากกว่า ทั้งที่จริงแล้วการบำรุงพุทธศาสนาที่ดีที่สุดก็คือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งก่อนจะปฏิบัติได้ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ รู้จักแยกแยะ รู้จักใช้ปัญญา บางคนพอเห็นพระไม่ดีก็พาลไม่ใส่บาตรไม่ทำบุญไปเลย เพราะรังเกียจพระสงฆ์ โดยไม่แยกแยะว่าพระที่ดีก็มี พระที่ไม่ดีก็มีปะปนกันไปทุกสังคมเหมารวมไม่ได้ ดังนั้นการบำรุงพระศาสนาจึงต้องบำรุงอย่างมีปัญญา อย่าใช้ศรัทธานำหน้าอย่างเดียว เพราะจะตกเป็นเหยื่อของคนลวง หรือคนที่ไม่หวังดีต่อพระศาสนาได้
หลักอุบาสกธรรมทั้ง 5 ข้อนี้ หากนำมาปฏิบัติและมีอยู่ในใจของชาวพุทธทุกคนแล้ว เชื่อได้ว่า ประโยคที่ว่า “ศาสนาพุทธเสื่อมลงทุกวัน” คงจะกลายเป็นแค่อดีตเท่านั้น เนื่องจากชาวพุทธรู้แล้วว่าพุทธศาสนิกชนที่ดีเป็นอย่างไร และทำอย่างไรพุทธศาสนาจึงจะมั่นคงได้นานเท่านาน
คุณทำบุญแล้วหรือยัง


 612572


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-04 23:40:26

bupachart
#2
05-04-2011 - 11:03:04

#2 bupachart  [ 05-04-2011 - 11:03:04 ]




อืม ใช่เลยคนที่เสื่อมน่ะคือคน


bupachart
#3
05-04-2011 - 11:03:30

#3 bupachart  [ 05-04-2011 - 11:03:30 ]




ตรงๆ ใช่เลย


  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ