โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ใครอ่านได้บุญ 11 ยุคมารโพธิสัตว์และอสูรโพธิสัตว์ดูแลพุทธศาสนา
tree38
#1
05-04-2011 - 00:03:36

#1 tree38  [ 05-04-2011 - 00:03:36 ]




ยุคมารโพธิสัตว์และอสูรโพธิสัตว์ดูแลพุทธศาสนา
หลัง ปี ๒๕๐๐ ผ่านกึ่งพุทธกาลแล้ว พุทธบริษัทผู้เป็นสาวกแท้ของพระพุทธเจ้าหมดลง จะมียักษ์(และอสูร), มาร, เทพ(และโพธิสัตว์), พรหม สี่เหล่าลงมาดูแลพระพุทธศาสนาแทนพุทธบริษัทสี่ ดังนั้น พระพุทธศาสนาจะได้รับการจัดการที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก ด้วยเพราะทั้งสี่เหล่านี้ล้วนไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า จึงทำอะไรตามแบบตัวเองเป็นสำคัญ แตกต่างกันไปหลากหลายอย่างที่ควบคุมได้ยากมาก เพราะความไม่ใช่สาวกนั่นเอง พวกเขาล้วนปรารถนาความเป็นศาสดา ความเป็นผู้นำ ไม่ใช่ความเป็นสาวกและความเป็นผู้ตาม นอกจากนี้ บริวารสาวกของผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย บางส่วนยังบำเพ็ญบารมีช้าตามหลังศาสดาของตน สมมุติว่า พระอสุรินทราหูโพธิสัตว์บำเพ็ญพ้นความเป็นอสูรเข้าสู่ความเป็นโพธิสัตว์แล้ว แต่บริวารเก่าของท่านยังเป็นอสูรอยู่มาก เมื่อมาเกิดเป็นนายก ก็อาจมีบริวารที่มักโกงกิน ตนเองอาจมีวิสัยอสูรเก่าโกงกินบ้าง แต่ก็ทำความดีด้วยโพธิจิตมากกว่า ก็เข้าถึงโพธิสัตว์ได้ แต่ไม่อาจถอนตัวออกจากเหล่าบริวารและขบวนการโกงกินได้ เพราะบริวารของตนยังไม่หลุดพ้น ก็ยังต้องเข็ญกันต่อไป จึงกลายเป็นโพธิสัตว์ที่มีมารและอสูรเป็นบริวารได้ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจะไม่ได้รับการจัดการเหมือนเก่าอีกต่อไป เพราะพระโพธิสัตว์กลุ่มหนึ่งจะลาพุทธภูมิเข้าสาวกภูมิ เพราะมีกรรมไม่มากยังพอชำระกรรมเข้านิพพานได้ทันในยุคศาสนานี้ พวกเขาจะจุติลงมาทำบุญหนุนพุทธศาสนา แล้วอธิษฐานปรารถนาลาพุทธภูมิเข้าสาวกภูมิในศาสนานี้ แล้วปล่อยให้บารมีเก่าแก่ผู้อื่นสืบทอดต่อไป ด้วยการยอมให้มารและอสูรมารับใช้ มารและอสูรก็ได้บุญบารมีจากการรับใช้นั้น ส่วนโพธิสัตว์ก็เสียบุญบารมีไปเพราะมัวแต่เสวยผลบุญไม่บำเพ็ญบารมีโปรดสัตว์ สุดท้ายจิตถดถอยออกจากพุทธภูมิ เข้าสู่สาวกภูมิตามที่ตนปรารถนาได้ในที่สุด มารและอสูรเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจในพุทธศาสนาที่แท้จริง จึงทำบุญสร้างบารมีมากแต่ไม่ถูกทาง ในขณะที่โพธิสัตว์ผู้มีความเข้าใจพุทธศาสนาแท้จริง เห็นคนเลวมาเกิดมาก ก็กำลังใจตกก็จะปล่อยให้พุทธศาสนาเป็นไปตามยถากรรม






ช่วงปี ๒,๕๐๐ ถึง ๒,๖๐๐ คือ ช่วงปรับเปลี่ยนสำคัญ ๓ ประการ


ดวงจิตบางดวงบำเพ็ญบารมีมานานปรารถนาพุทธภูมิแต่รู้ตัวว่าไปไม่ถึง มีกรรมเบาบางลง และมีปัญญาพร้อมได้นิพพาน ก็จะลาพุทธภูมิ หันหลังกลับเข้าสู่สาวกภูมิ และลงมาจุติเป็นพระอรหันต์เพื่อนิพพานต่อไป ดวงจิตเหล่านี้ เมื่อลงมาเกิดชาติในช่วงนี้ จะเห็นความน่าเบื่อหน่ายของโลกอย่างมาก และปรารถนานิพพานถึงที่สุด แต่กรรมยังชำระชดใช้ไม่หมด ก็จะต้องมีขั้นตอนการชำระกรรมจนกว่าจะนิพพานได้ ดังต่อไปนี้






๑) การเปลี่ยนจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิเพื่อนิพพานในพุทธศาสนาให้ทันยุคนี้


ขั้นที่ ๑ อาศัยบุญบารมีเก่าบรรลุถึง “อรหันตโพธิสัตว์”


ดวงจิตพระโพธิสัตว์จำนวนมากที่ไม่แน่ใจตนเองว่าจะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ จะจุติลงมาบำเพ็ญบารมีในช่วงที่โลกมีแต่ความยากลำบาก และเกิดเบื่อหน่ายโลกอย่างที่สุด จนยอมลาพุทธภูมิ แล้วหันเข้าสู่สาวกภูมิ อนึ่ง ดวงจิตโพธิสัตว์เหล่านี้ บางดวงจิตเป็นจิตภาคแบ่งจากจำนวนหลายดวง ซึ่งจะมีเพียงดวงจิตเดียวที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อจุติลงมาเกิดแล้วก็จะชัดเจนในตนเองว่าตนเองเป็นจิตดวงที่จะได้ตรัสรู้หรือไม่ ถ้าไม่ ก็อาจลาพุทธภูมิไป แล้วหันหลังเข้าสู่สาวกภูมิแทน ดวงจิตเหล่านี้ เมื่อลงมาจากดุสิตแรกๆ จะมีบุญบารมีมากเพราะอาศัยบารมีเก่าของดวงจิตแม่ที่แบ่งมา เมื่อเหนื่อยล้าในการบำเพ็ญบารมี ไปต่อไม่ไหว ก็จะหยุดการบำเพ็ญบารมี ยกตัวอย่างเช่น พระสงฆ์ดังๆ หลายรูปที่บรรลุธรรมแล้วไม่บำเพ็ญบารมีต่อ ปรารถนานิพพาน แต่ท่านเหล่านี้ จะยังไม่ได้นิพพานในทันทีในชาติที่บรรลุอรหันต์ เพราะกรรมเก่าในช่วงที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ยังมีมากอยู่ ยังมีกรรมต่อมารและอสูรจำนวนมากอยู่ ก็จะถูกมารและอสูรครอบงำให้หลงไปทางผิด และไม่สามารถนิพพานได้ แม้จะบรรลุอรหันต์แล้วก็ตาม เช่น บรรลุอรหันต์แล้ว แต่ยังไปสร้างวัดวาใหญ่โต เกินพุทธบัญญัติ รับเงินและทองมากมาย ผ่อนปรนศีลตามที่สรรพสัตว์ต้องการ ทำให้แม้บรรลุธรรมแล้ว กรรมที่ทำนี้ ก็ส่งผลให้ยังไม่ได้นิพพาน จะจุติเกิดใหม่ด้วยจิตที่เข้าถึงธรรมและปรารถนาความเป็นอรหันตสาวก






ขั้นที่ ๒ เสวยผลบุญเก่าให้มากลดทอนลงจากดุสิตไปยามา


ดวงจิตพระโพธิสัตว์จำนวนมากที่จุติลงไปสานกิจพระศาสนา เมื่อได้บารมีเก่าหนุนให้ตนบรรลุ “อรหันตโพธิสัตว์” ทั้งที่ยังไม่ได้โปรดสัตว์อะไรมากมาย แต่ธุดงค์ปฏิบัติจิตก็ถึงได้ เพราะอาศัยบุญบารมีเก่า กลายเป็นพระสงฆ์ชื่อดังแล้ว ก็จะมีสานุศิษย์มากมาย มีบริวารมากมายเอาลาภสักการะมาให้, เอาเงินทองมากมายมาถวาย ฯลฯ เมื่อโพธิสัตว์เหล่านี้เสวยบุญบารมีจนไม่เหลือพอถึงชั้นดุสิตแล้ว ก็จะลดระดับต่ำลงไปจุติชั้นยามาแทน โดยมีกายทิพย์เป็นกษัตริย์แทนที่จะได้กายทิพย์เป็นโพธิสัตว์ตามเดิม เพราะผลบุญจากการสั่งใช้ให้บริวารสร้างวัดวาพัฒนาประเทศ ทำให้ได้กายทิพย์เป็นกษัตริย์ชั้นยามา และไม่สนใจการโปรดสรรพสัตว์ตามแนวโพธิสัตว์แบบเดิมนั่นเอง วิถีจิตของพระโพธิสัตว์องค์นี้จะถอยลงจากเดิม ออกจากโพธิญาณแล้วเข้าสู่สาวกญาณตามลำดับค่อยเป็นค่อยไป






ขั้นที่ ๓ มารและอสูรใช้เล่ห์เหลี่ยมเปลี่ยนถ่ายบุญบารมีไปแทน


เมื่อพระโพธิสัตว์ที่จุติลงไปสานกิจพุทธศาสนาเอาแต่เสวยผลบุญไม่ทำกิจโปรดสัตว์ ตามแบบที่พระโพธิสัตว์ควรทำ สวรรค์จะลงทัณฑ์ด้วยการเปิดโอกาสให้ “มารและอสูร” เข้าไปรับใช้พระโพธิสัตว์เหล่านี้ มารและอสูรตนใดที่มีเวรกรรมพัวพันกันมามากกับพระโพธิสัตว์เหล่านี้จะเข้าไปอาศัยเป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่งในกายสังขารของพระโพธิสัตว์ ซึ่งมาได้ด้วย “อาญาสิทธิ์อาญาธรรม” พระโพธิสัตว์จะปฏิเสธไปก็ไม่ได้ มารและอสูรเหล่านี้ ล้วนได้รับการโปรดจากเบื้องบนและมีสัญญามากับเบื้องบนแล้วในระดับหนึ่ง เช่น ถ้าอสูรเหล่านี้อยากจุติเป็นโพธิสัตว์ พ้นจากความเป็นอสูร ก็ต้องเข้าไปรับใช้พระโพธิสัตว์ หากพระโพธิสัตว์ไม่ทำอะไรเลยเอาแต่อยู่เฉยๆ รอให้ทุกอย่างมาเอง บารมีจะมาแต่ไหน ก็จะได้แต่เสวยบุญบารมีหมดไป หมดไป จนในที่สุด อสูรที่ทำงานอย่างหนักและปรารถนาจะพ้นจากความเป็นอสูรนั้น ก็จะได้บารมีถึงโพธิสัตว์แทนพระโพธิสัตว์องค์เดิม กลายเป็น “อสูรโพธิสัตว์” เช่น พระอสุรินทราหูโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเปลี่ยนภพภูมิมาจากภพอสูรนั่นเอง เมื่อหัวหน้าคืออสุรินทราหูโพธิสัตว์ใช้วิธีนี้เปลี่ยนภพภูมิเข้าถึงภูมิแห่งโพธิสัตว์ได้แล้ว บริวารก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้เปลี่ยนภพภูมิมาได้เช่นกัน






ส่วนมารก็มีวิธีแทรกเข้าไปโดยอาศัยอาญาสิทธิ์อาญาธรรมจากเบื้องบนว่า “เหล่ามารมีสิทธิที่จะทดสอบผู้บำเพ็ญบารมีได้” มารหลายตนทดสอบผู้บำเพ็ญบารมีด้วยการเข้ามาแทรกอยู่ในกายสังขารเดียวกันกับผู้บำเพ็ญ และทำกิจมากมายเพื่อให้ตนได้พ้นไปจากความเป็นมาร เมื่อพระโพธิสัตว์มีกำลังจิตถดถอยไม่บำเพ็ญบารมีต่อไปแล้ว ก็จะเสวยผลบุญที่มารเอามาให้ ดลจิตดลใจผู้คนให้เอามาทำบุญให้อย่างมากมายเกินบารมีตนเอง เพราะสองดวงจิตอาศัยในกายสังขารเดียวกัน บุญบารมีรวมกันจึงมากเกินกว่าดวงจิตโพธิสัตว์จะรับได้หมด สุดท้ายดวงจิตโพธิสัตว์ต้องติดหนี้บุญบารมีมารตนนั้น เมื่อละสังขารลง มารก็ได้บุญบารมีถึงกายโพธิสัตว์ เปลี่ยนภพภูมิจากมารเป็นโพธิสัตว์ ตามพญามารศาสดาของตน คือ พระยามาราธิราชโพธิสัตว์ ซึ่งเปลี่ยนภพภูมิไปสู่ความเป็นโพธิสัตว์รอตนอยู่ก่อนหน้าแล้ว บริวารของพระนิตยโพธิสัตว์ทั้งหลายจะค่อยๆ ทยอยปรับภพภูมิไปสู่โพธิสัตว์ภูมิตามพระนิตยโพธิสัตว์ที่ตนศรัทธาอย่างช้าๆ เป็นลำดับไป ในขณะที่พระนิตยโพธิสัตว์เมื่อถึงพุทธภูมิแล้ว จะค่อยๆ หันหลังให้พุทธภูมิแล้วย้อนกลับมาช่วยเหลือบริวารเก่าของตน พระนิตยโพธิสัตว์เหล่านี้ ก็มักได้รับพลังแฝงจากองค์กษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ซึ่งมีปณิธานชัดเจนว่า “หากนรกภูมิยังไม่สิ้น ไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ” ด้วยเหตุว่าบริวารเก่าของท่านยังตกค้างอยู่ในนรกจำนวนมากนั่นเอง หากพระโพธิสัตว์องค์ใดถึงพุทธภูมิแล้วไม่หันหลังกลับไปอย่างนี้ ก็ไม่อาจบำเพ็ญบารมีสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ส่วนพระโพธิสัตว์ที่อ่อนล้าและลาพุทธภูมิแล้ว ปรารถนาสาวกภูมิแล้ว ก็จะยอมให้มารและอสูรทำไปตามต้องการ และสุดท้ายต้องถดถอยออกจากพุทธภูมิ ลงไปสู่สาวกภูมิ โดยชำระกรรมในชั้นยามาจุติเป็นเทวดามีกายเป็นกษัตริย์ก่อน






อนึ่ง แม้แต่พระศรีอาริยเมตตรัยก็มีจิตมารแฝงอยู่ จิตทุกดวงที่แบ่งภาคจากดวงใหญ่ก็จะเป็นอย่างนี้ และกายทิพย์ทุกกายที่แบ่งออกจากท่านก็มีพลังมารแฝงอยู่ทั้งสิ้น ตามคำกล่าวของหลวงปู่ดู่ท่านได้กล่าวไว้ว่าพระศรีอาริยเมตตรัยยังมีจิตมารปนอยู่นิดหน่อย ท่านกล่าวไว้เพื่อเตือนให้ท่านทั้งหลายทราบเพื่อบำเพ็ญนั่นเอง จะเห็นได้ว่าแม้จะได้กายถึงพระโพธิสัตว์แล้วแต่จิตมารยังมีปนอยู่ได้เสมอ การได้จุติยังสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น หากเป็นดวงจิตที่บำเพ็ญได้ครั้งแรกๆ จะอาศัยการกระทำด้วยจิตที่ปรารถนาความเป็นโพธิสัตว์ แม้ไม่เกิดโพธิจิตขึ้น ๑๐๐% ก็สามารถได้โพธิสัตว์ได้ จนบางส่วนอาจมีความเป็นมารและอสูรปนมาได้เหมือนกัน นับเป็นการเข้าสู่สวรรค์ชั้นดุสิตครั้งแรกๆ ของดวงจิต ดังเช่น พระยามาราธิราชโพธิสัตว์, พระอสุรินทราหูโพธิสัตว์ พระนิตยโพธิสัตว์ทั้งสององค์นี้ ล้วนยังมีจิตมารและอสูรอยู่ทั้งสิ้น ไม่ต่างจากพระศรีอาริยเมตตรัย ดังนั้น มารและอสูรที่ตั้งจิตมาช่วยกิจพุทธศาสนาหากเข้ามาแทรกในกายสังขารของพระโพธิสัตว์ แล้วทำกิจอย่างยิ่งยวดด้วยความปรารถนาพุทธภูมิ แม้จิตยังมีความเป็นมารและอสูรอยู่บ้าง ก็สามารถปรับเปลี่ยนภพภูมิไปยังดุสิตได้ ส่วนพระโพธิสัตว์ที่มีกำลังจิตอ่อนล้าไม่บำเพ็ญแล้ว จิตก็จะถดถอยเข้าไปสู่สาวกภูมิแทน การเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่เที่ยงอย่างนี้เอง






ขั้นที่ ๔ จุติจากยามาเป็นกษัตริย์เสวยบุญเก่าแล้วเข้าสู่กายภิกษุ


เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงมาเป็นพระสงฆ์ดัง เสวยบุญโดยมาก บำเพ็ญบารมีน้อยจนไม่ได้ถึงดุสิต ได้แค่ยามาแล้ว จากชั้นยามาก็จะจุติลงมาดูแลพุทธศาสนาต่ออีก เพื่อชำระกรรมที่ตนยังค้างอยู่กับจิตวิญญาณอีกจำนวนมาก ได้เกิดเป็นใหญ่ เช่น เป็นกษัตริย์แล้ว บริวารต่างๆ ที่ติดค้างกรรมกันมาก็กลับมาชดใช้กัน จิตของกษัตริย์ที่เคยเป็นโพธิสัตว์แต่ถดถอยลงไปสู่ยามานี้ มีความบริสุทธิ์สูงมาก มีกิเลสเบาบางมาก เมื่อมาเกิดแล้วได้เป็นใหญ่เป็นโต จึงมีกิเลสมาเจือปนมากขึ้น แต่บารมีธรรมที่ทำไว้แต่หนหลังมีมาก ก็จะเริ่มเบื่อหน่ายในโลกียสุข และหาทางหนีออกจากโลกยสมบัติ เพื่ออกบวชหรือปลีกวิเวกสันโดษแทน อนึ่ง โลกในยุคนั้น น่าจะเข้าช่วงปี ๒,๕๐๐ ถึง ๒,๖๐๐ ทางโลกจะแย่งชิงกันเป็นใหญ่ และมีความน่าเบื่อหน่ายทางการเมืองมาก พระราชาหรือนักการเมืองที่เคยเกิดเป็นพระสงฆ์ที่จุติลงมาจากยามาเหล่านี้ ก็จะลาสิกขาออกบวช แล้วมุ่งปรารถนาแต่นิพพาน ไม่เอาทางโลกอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วด้วยบารมีธรรมเก่า สามารถบรรลุได้ถึงอรหันต์ แต่กรรมยังไม่หมดสิ้น ก็จะยังไม่ได้นิพพานในชาตินั้น จะมีจิตวิญญาณภิกษุจากชั้นยามามาช่วยในการปฏิบัติธรรม เพราะธรรมะบนโลกเลือนรางและถูกบิดเบือนไปมาก พวกเขาอาศัยบารมีของจิตวิญญาณของเทวดาชั้นยามาที่มีกายเป็นภิกษุเหล่านี้โปรดแล้ว ก็บรรลุอรหันต์ แต่ไม่ยอมบำเพ็ญบารมี เพราะปรารถนาสาวกภูมิ ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ จากนั้น ตายลง จิตวิญญาณก็เหลือบารมีเพียงเทวดาชั้นยามาและสามารถนิพพานได้ ส่วนเทวดาชั้นยามาที่มีกายเป็นภิกษุที่ปรารถนาการบำเพ็ญบารมีก็จะได้บารมีที่โปรดมนุษย์ผู้นี้ ก็จะจุติเลื่อนชั้นเป็นเทวดามีกายกษัตริย์แทน






ขั้นที่ ๕ จุติจากกายภิกษุปฏิบัติธรรมจนบรรลุ “อรหันตสาวก”


สำหรับดวงจิตใดที่ยังไม่อาจชำระกรรมได้หมด ยังไม่สามารถนิพพานได้ในชาติที่จุติลงมาจากชั้นยามาครั้งแรกในรูปกายกษัตริย์ ก็จะได้จุติในรูปกายภิกษุในสวรรค์ชั้นยามา หากชำระกรรมได้หมดก็จะนิพพานในสวรรค์ชั้นยามา หากชำระกรรมในภพสวรรค์ได้ไม่หมด แม้ได้บรรลุอรหันต์เป็นวิสุทธิเทพแล้ว ก็ยังต้องจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชำระกรรมที่เหลือในชาติภพสุดท้าย ในชาติสุดท้ายที่ลงมาเกิดจากสวรรค์ชั้นยามาในรูปกายภิกษุนี้ ก็จะเกิดเป็นภิกษุ และมีเวลามากพอที่จะปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุอรหันต์ในที่สุด ชาตินี้กรรมเหลือน้อยลงมาก ไม่ต้องไปเป็นกษัตริย์หรือยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อาจต้องทำงานเป็นคนธรรมดาชดใช้กรรมช่วงหนึ่งของชีวิต จากนั้นก็เข้าสู่ร่มกาวสาวพัตร และปฏิบัติธรรมได้นิพพานได้ในท้ายที่สุด (รวมเกิด ๓ ชาติ นับจากที่ได้อรหันตโพธิสัตว์) สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้าพระโพธิสัตว์ลาพุทธภูมิ จะยังไมได้นิพพานในชาตินั้นทันที เพราะกรรมที่ทำมามากชำระชาติเดียวไม่หมด หากกรรมไม่มากเกินไป จะนิพพานในสองชาติ คือ ในชาติต่อไปที่มาเกิดเป็นกษัตริย์แล้วสละราชออกบวช แต่สูงสุดจะไม่เกินสามชาติ






๒) การเปลี่ยนจากมารและอสูรเพื่อบำเพ็ญบารมีในพุทธศาสนายุคหน้า


ขั้นที่ ๑ การยอมสละตนเสี่ยงเป็นมารและอสูรด้วยศรัทธาในศาสดาของตน


บริวารที่มีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ของพระนิตยโพธิสัตว์จำนวนมาก ในบางชาติได้จุติลงไปช่วยพระโพธิสัตว์โปรดมวลมนุษย์ ในชาตินั้น แม้เป็นพระโพธิสัตว์จุติลงไปในยุคโลกมีแต่คนเลวและพระธรรมมีน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมารมาก แต่เหล่าผู้เสียสละทั้งหลายก็ยอมเสี่ยงที่จะเป็นมารและอสูร พวกเขาจุติลงไปช่วยพระนิตยโพธิสัตว์ที่ตนศรัทธาแล้วต้องพบกับโลกในยุคสงคราม จนทำให้ไม่อาจหลุดพ้นจากเวรกรรมต้องจุติเป็นมารและอสูรจำนวนมาก เขาเหล่านี้ยังไม่ได้มาเกิดก็จะเป็นมารและอสูรที่มีกายทิพย์อยู่ในโลกทิพย์ และรอเวลามาแทรกในกายมนุษย์ในยุคกลางกึ่งพุทธกาลเพื่อบำเพ็ญบารมี โดยเหล่ามารและอสูรได้ลงมาทูลขอดูแลพระพุทธศาสนาในครั้งที่พระพุทธองค์กำลังทรงดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ทูลขอไว้ให้พุทธบริษัทสี่ได้เพียงกึ่งหนึ่ง ที่เหลือเหล่ามารและอสูร พร้อมทั้งเทพและพรหมจะมาบำเพ็ญบารมี รักษาพุทธศาสนาแทน ดวงจิตจำนวนมากผู้เสียสละจนกลายเป็นมารและอสูรเหล่านี้ เป็นมารดีก็มี เป็นอสูรโดยความจำเป็นก็มี เขาจึงพร้อมใจกันมาขอดูแลพระพุทธศาสนาให้ เมื่อถึงวาระกึ่งพุทธกาล มารและอสูรเหล่านี้ ก็เข้ามาแทรกแฝงเป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่งในกายของผู้บำเพ็ญบารมี รอให้ผู้บำเพ็ญบารมีหมดกำลังใจ เบื่อหน่าย ปรารถนานิพพาน แล้วลาพุทธภูมิไป ตนก็จะบำเพ็ญบารมีในกายนั้น และอาศัยบารมีของกายนั้นปรับภพภูมิ ยกตัวอย่างเช่น บริวารที่มีบารมีน้อยแต่ศรัทธาต่อพระนเรศวรมากๆ เมื่อยอมจุติลงไปในยุคสงครามก็ทำสงครามแค้นพม่าแล้วตายไปเป็นอสูรบ้าง มารบ้าง เช่นเดียวกับพระนเรศวร ที่จุติเป็นมารฝ่ายดี เพราะจิตอาฆาตพม่า เมื่อจุติลงมาจากภพมารแล้วพระนเรศวรก็บำเพ็ญใหม่จนได้ถึงโพธิสัตว์ ในขณะที่บริวารจำนวนมาก ยังไม่พ้นความเป็นมาร เพราะตนมีบุญบารมีน้อยนั่นเอง เมื่อพระนเรศวรมาเกิด ก็จะมีมารเหล่านี้เข้ามารังควาญมากเพราะเป็นผลจากกรรมที่พ่วงกันมาแต่จำกันไม่ได้ จนกระทั่งพระนเรศวรจะฉุดช่วยมารและอสูรบริวารเก่าจนหมด คือ ชาติสุดท้ายได้นิพพานทั้งหมดนั่นเอง






ขั้นที่ ๒ อาศัยเล่ห์เหลี่ยมและการบำเพ็ญยิ่งยวดเพื่อเข้าถึง “โพธิสัตว์ภูมิ”


ดวงจิตที่เป็นมารและอสูรเหล่านี้ เมื่อเข้ามาแฝงในกายสังขารของมนุษย์แล้ว ก็จะใช้เล่ห์เหลี่ยมดลจิตดลใจให้เจ้าของร่างเบื่อหน่ายการบำเพ็ญบารมี แล้วนิพพานไปเสีย ตนเองก็จะได้ครองร่างและบำเพ็ญบารมีต่อไปเพื่อจะได้เข้าสู่โพธิสัตว์ภูมิ มารและอสูรที่มาแทรกในกายสังขารนั้น จะทำกิจมากมาย เช่น กลางคืน จะออกจากกายสังขารนั้นไปดลจิตดลใจบริวารเก่าๆ ของตนให้มาทำบุญ สร้างความดี สังเกตว่าวัดบางวัดมีคนมาทำบุญเต็มไปหมด ทั้งๆ เจ้าอาวาสไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ หลงผยองคะนองตนไปว่าตนเป็นผู้มีบุญญาธิการ โดยหารู้ไม่ว่ามารและอสูรกำลังครอบงำให้หลงอยู่ จนในที่สุด เจ้าของร่างก็ลาพุทธภูมิ เบื่อหน่ายโลก เหนื่อยล้าในการเวียนว่ายตายเกิด และเจ้าอสูรหรือมารที่แฝงอยู่ก็ทำกิจอย่างหนัก จนเจ้าของร่างได้สานุศิษย์มากมาย ได้ลาภสักการะมากมาย มารและอสูรเหล่านี้ทำงานอย่างหนัก จึงทำให้มีคนทำบุญพระสงฆ์ดังมากมาย เป็นเงินและทองจำนวนมาก พระสงฆ์ดังๆ เหล่านี้ ขี้เกียจบำเพ็ญบารมี เอาแต่สบายอยู่เฉยๆ เพราะลาพุทธภูมิแล้ว ส่วนมารและอสูรทำงานอย่างหนัก ในที่สุด พระสงฆ์ได้จิตถึงอรหันต์ แต่ได้บารมีลดลง ส่วนมารและอสูรที่มาครอบงำนั้น แม้จิตเป็นมารหรืออสูรแต่ก็ได้บารมีถึงโพธิสัตว์ในที่สุด เหล่ามารและอสูรทำแบบนี้ โดยจำไม่ได้ ระลึกไม่ได้ว่าทำไมต้องทำ และทำไปเพื่ออะไร ไม่รู้ว่าตนทำไปเพื่อปรารถนานิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป พวกเขารู้ในระดับจิตของมารและอสูรว่า ทำไปเพื่อขวางการนิพพานของพระสงฆ์รูปนั้นๆ ตามความอาฆาตแค้นที่มีกันมาบ้าง ในขณะที่พระสงฆ์เหล่านี้ บ้างเป็นกษัตริย์พม่ามาเกิดก็มี เมื่อถูกพระโพธิสัตว์ปราบแล้ว มีความเข็ดหลาบในกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธองค์ตามไปโปรดยังเทวโลก ต่อมาก็ตั้งจิตของนิพพานในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จึงมาเกิดเป็นพระสงฆ์ดัง มีความเก่งกล้าสามารถทางจิตสูง มีบริวารมาก และมีมารและอสูรเป็นคู่อาฆาตอย่างนี้






๓) การแบ่งภาคจิตดวงหนึ่งนิพพานไปเพื่อปรับบารมีลงให้เท่ากับบริวาร


ขั้นที่ ๑ โพธิสัตว์ยิ่งโปรดสัตว์บารมียิ่งล้นเกินไป


พระโพธิสัตว์แม้บารมีเต็มแล้ว จะรออยู่บนสวรรค์ไม่โปรดสัตว์เลยคงไม่ได้ อย่างนั้นไม่ใช่โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ต้องโปรดสัตว์ไม่ว่าจะเป็นในภพสวรรค์หรือต้องลงมาจุติยังโลกมนุษย์ก็ตาม อนึ่ง พระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์แม้บารมีเต็ม ๑๖ อสงไขยแล้ว ก็ยังต้องแบ่งภาคจิตจุติลงมาเพื่อโปรดสัตว์ เพราะบุพกรรมที่ทำร่วมกันไว้กับพระพุทธเจ้าสมณโคดม ทำให้บารมียิ่งมากล้นขึ้นไปทุกชาติๆ ไป ดังนั้น วิธีหนึ่งที่จะทำให้สามารถลดตนลงมาฉุดช่วยสรรพสัตว์ได้ก็คือ การแบ่งภาคจิตออกให้นิพพานไปดวงหนึ่ง เพื่อลดทอนบารมีของตนให้ลดลงใกล้เคียงกับสัตว์ในยุคสมัยต่างๆ หลังกึ่งพุทธกาลเป็นต้นไป สรรพสัตว์ที่ได้จุติเป็นมนุษย์จะเป็นสรรพสัตว์ที่มาจากเบื้องล่าง เบื้องต่ำ คือเป็นสัตว์ที่มีจิตใจเลวร้าย เป็นดวงจิตที่มาจากนรกภูมิ เหล่าดวงจิตที่มาจากนรกภูมิล้วนรอเวลาที่จะจุติเป็นมนุษย์มานานแสนนาน เพราะดวงจิตที่มีบุญมีความดีงามได้มาเกิดก่อนในยุคแรก เมื่อดวงจิตที่มีความเลวมาเกิดมากๆ ก็จะมีบาปกรรมมากและบุญน้อย เมื่อพระโพธิสัตว์จุติลงไปฉุดช่วยสรรพสัตว์เหล่านั้นก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสรรพสัตว์เหล่านั้นไม่มีบุญพอที่ได้จะพบเจอพระโพธิสัตว์ หรือได้รับการช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ เฉกเช่น สิ่งที่เกิดกับมารและอสูรในยุคที่พระถังซัมจั๋งพยายามฉุดช่วย ผลสุดท้าย มารและอสูรก็ถูกซุนหงอคงฆ่าตายหมดก่อนที่พระถังซัมจั๋งจะฉุดช่วยได้ทัน นี่เพราะบุญไม่พอกัน






ขั้นที่ ๒ โพธิสัตว์แบ่งภาคจิตนิพพานไปเพื่อลดจำนวนสัตว์ในสามภพ


จำนวนสัตว์ในสามภพจะไม่สมดุล หากสรรพสัตว์มีแต่เกิดมากมายแต่ไม่สามารถนิพพานได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้มีสรรพสัตว์จำนวนหนึ่งนิพพานไปบ้าง เพื่อปรับสมดุลของสามภพ หาไม่แล้วสามภพนี้จะอยู่ไม่ได้ โลกจะเกิดวิกฤติ และสวรรค์ก็ต้องเดือดร้อน เมื่อพระโพธิสัตว์แบ่งภาคจิตหนึ่งดวง เจ้ากรรมนายเวรของโพธิสัตว์ก็จะเพิ่มขึ้นตามกรรมของจิตดวงที่แบ่งเพิ่มขึ้นมา ทำให้มารและอสูรเพิ่มมากขึ้นไปอีก สรรพสัตว์จะก่อกรรมกระทบกระทั่งกันมาก เนื่องจากเป็นดวงจิตที่แบ่งใหม่ ยังชำระกรรมไม่หมด จึงต้องลงมาชำระกรรมจำนวนมาก กรรมจำนวนมากรวมกันแล้วส่งผลกระทบต่อโลกและสามภพมากเกินไป จึงต้องให้มีดวงจิตจำนวนหนึ่งนิพพานไปบ้าง ไม่เช่นนั้น สามภพนี้จะไม่เพียงพอต่อการเวียนว่ายตายเกิดและกระทบกระทั่งกันของดวงจิตทั้งหลาย ในกึ่งกลางพุทธกาล จึงต้องมีจิตบางดวงที่มีบารมีมาก นิพพานไป ดักรอผู้ที่ศรัทธาต่อดวงจิตดวงนั้น นิพพานตามๆ กันไปด้วย หากดวงจิตที่มีบารมีมาก มีบริวารมากนั้นไม่นิพพานไป ดวงจิตที่เป็นบริวารมีบุญกรรมสัมพันธ์พัวพันกันมา ก็จะนิพพานตามไปไม่ได้ ดังนั้น ดวงจิตที่เป็นผู้นำต้องนิพพานก่อน ดวงจิตที่เป็นผู้ตามจำนวนมหาศาลจึงจะนิพพานตามไปได้ อนึ่ง การนิพพานแบบเป็นอรหันตสาวกนั้น ต้องมีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้าสมณโคดม แต่ถ้ามีจิตตรงต่อพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น หรือพระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่น เช่น พระศรีอาริยเมตตรัยแล้ว จะต้องลาจากพุทธภูมิก่อน ต้องละความปรารถนาก่อน มาตั้งความปรารถนาใหม่เพื่อนิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จึงจะเข้านิพพานในยุคนี้ได้ทัน กรณีนี้ ทำให้ดวงจิตที่อ่อนล้า และเบื่อหน่ายต่อกรรม ยอมละความปรารถนาเข้านิพพานในศาสนานี้ได้ เช่น ดวงจิตของมารและอสูรตนเก่าๆ ที่ถูกพระโพธิสัตว์ปราบซ้ำซ้อนมาหลายชาติภพ ก็จะเบื่อหน่ายและเข็ดหลาบยอมสละความปรารถนาเพื่อนิพพานในพุทธศาสนายุคนี้ ได้แก่ จิตวิญญาณของศัตรูของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีมารและอสูรอีกกลุ่มที่ตกค้างจากการบำเพ็ญบารมี ในชาติที่พระโพธิสัตว์ไปจุติเป็นมารและอสูร ยังปรารถนาจะได้นิพพานในยุคของพระนิตยโพธิสัตว์องค์ต่อๆ ไป แต่อาจบำเพ็ญไม่ทันแล้ว จึงต้องละความปรารถนาเพื่อนิพพานในชาตินี้ ดังนั้น พระนิตยโพธิสัตว์บางองค์เมตตาอยากให้เขาเหล่านั้นได้หลุดพ้นอย่างรวดเร็ว จึงแบ่งภาคจิตดวงหนึ่งนิพพานไป เขาเหล่านั้น ก็จะอาศัยบุญสัมพันธ์กันนิพพานตามๆ กันไปได้เหมือนกัน ด้วยวิธีนี้เอง ปริมาณมารและอสูรในสามภพที่ตกค้างอยู่จะลดลง เพราะนิพพานตามจิตภาคแบ่งไป และเหล่าผู้ที่ปรารถนาความเป็นสาวกก็จะนิพพานเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน






สรรพสัตว์เหล่าใดที่ปรารถนานิพานแบบอรหันตสาวกตามไปเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ก็จะต้องละความปรารถนาอื่นๆ ความปรารถนาพุทธภูมิก็ดี ความปรารถนานิพพานในพุทธศาสนายุคต่อๆ ไปก็ดี พวกเขาเหล่านี้ จะมีเวลาเวียนว่ายตายเกิดไม่เกินช่วงปี พ.ศ. ๕,๐๐๐ ก็จะหมดสิ้นยุคของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม พวกเขาเหล่านี้จะนิพพานได้จริง ต้องละความเป็นพุทธภูมิ ความเป็นศาสดา ความเป็นเจ้าเป็นนายให้หมด เหลือแต่ความเป็นสาวกที่ยอมก้มจำนนอยู่ในพระธรรมวินัยเคร่งครัดมากขึ้นเพื่อระวังตัวในกรรมต่างๆ ส่วนผู้ที่เป็นมารและอสูรเหล่าที่ศรัทธาต่อพระนิตยโพธิสัตว์องค์ต่อๆ ไป หากบำเพ็ญบารมีตามไม่ทัน ก็จะนิพพานได้ในแบบ “ปัจเจก” คือ ปฏิบัติธรรมเอง แล้วละสังขารตายไปเองภายใน ๗ วัน โดยคนทั้งหลายไม่เข้าใจว่าเป็นอะไรตาย หากพวกเขามีจิตถึงโพธิสัตว์ จิตของเขาจะแบ่งภาคได้ เป็นจิตสองดวง เมื่อดวงหนึ่งได้ธรรมสูง มีความบริสุทธิ์มาก นิพพานไป ก็จะเหลือดวงจิตอีกดวงที่มีธรรมน้อย บริสุทธิ์น้อยกว่าครองร่างกายนั้นต่อไป ทำให้จิตนิพพานไปดวงหนึ่ง แต่ยังไม่ตายเพราะมีจิตดวงอื่นครองร่างไว้ แต่เขาจะเป็นคนที่สันโดษมากขึ้น เป็น “ปัจเจกชน” มากขึ้น หรือมีความเป็นมารเป็นอสูรมากขึ้น เพราะจิตส่วนดีได้แบ่งออกแล้วนิพพานไปเสียก่อน ดังนั้น สรรพสัตว์จะนิพพานได้สองวิธีในยุคนี้ คือ วิธีแบบอรหันตสาวก จะครองร่างอยู่ต่อไปได้ด้วยการครองธรรมวินัยเคร่งครัดก็จะได้นิพพานในที่สุด และแบบปัจเจกพุทธะ คือ เมื่อปฏิบัติธรรมถึงอรหันต์แล้วจะเบื่อโลกที่น่าเบื่อนี้มากจนละสังขารนิพพาน ตายไปภายในเจ็ดวันเองโดยธรรมชาติ แบบนี้จะตามดวงจิตของพระนิตยโพธิสัตว์บางองค์ที่ได้นิพพานไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง นี่คือ ข้อแตกต่างของการนิพพานทั้งสองแบบ






สรุปประเภทของดวงจิตที่จะได้นิพพานหลังกึ่งพุทธกาลเป็นต้นไป


ดวงจิตที่ปลดเปลื้องกรรมได้มากเหลือกรรมเบาบางและมีความเบื่อหน่ายในกรรมแล้วบางดวงยังสามารถนิพพานได้ทันในพระพุทธศาสนายุคของโคตมะนี้ ดวงจิตที่พร้อมพอที่จะนิพพานได้ทันเวลา ต้องเพาะบ่มตนเองพอสมควรและมีลักษณะต่างๆ ดังนี้






๑) ดวงจิตพุทธภูมิที่ลาพุทธภูมิ และจิตเข้าวิถีสาวกสมบูรณ์


เมื่อชำระกรรมได้เหลือเบาบางแล้ว มีความปรารถนานิพพานเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งอาจเริ่มปรารถนาประมาณสามชาติก่อนได้นิพพาน จากนั้นเสวยบุญที่ตนได้สร้างไว้ให้ลดลงจนเหลือน้อยไม่พอถึงโพธิสัตว์ภูมิ ทั้งยังรับกรรมชำระมากจนเหนื่อยหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อชำระกรรมไม่สร้างบุญกรรมบารมีต่อไป ประมาณสามชาติหลังจากชาติแรกบรรลุธรรมแล้ว ก็สามารถเข้านิพพานได้เป็นอรหันตสาวก






๒) ดวงจิตพุทธภูมิที่ลาพุทธภูมิ และจิตเข้าวิถีปัจเจกสมบูรณ์


เมื่อชำระกรรมได้เหลือเบาบางแล้ว มีความปรารถนานิพพานเป็นสาวกของพระนิตยโพธิสัตว์องค์ต่อๆ ไป ที่แบ่งภาคจิตนิพพานแบบ “ปัจเจกพุทธะ” เขาเหล่านี้อาจบำเพ็ญบุญบารมีตามความปรารถนาไม่ทันดวงจิตอื่นๆ ซึ่งได้บำเพ็ญก้าวหน้าไปแล้ว เมื่อชำระกรรมและเสวยผลบุญจนเหลือน้อย และเกิดความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ เบื่อหน่ายในสังคมโลกที่วุ่นวาย และปรารถนานิพพาน ก็สามารถเข้านิพพานได้เป็น “ปัจเจกพุทธะ”






๓) ดวงจิตมารอสูรที่ยอมจำนน และจิตเข้าวิถีสาวกสมบูรณ์


เมื่อก่อกรรมมามากพอควรแล้ว มีความปรารถนานิพพานเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป แต่ไม่สามารถบำเพ็ญบุญบารมีได้ทัน กล่าวคือ ดวงจิตดวงอื่นๆ บำเพ็ญบุญบารมีได้มากกว่าพร้อมมากกว่า เหล่าดวงจิตมารและอสูร ก็จะไม่อาจนิพพานในศาสนาพุทธในยุคพระศรีอาริยเมตตรัยได้ ต้องกายุคสมัยของตนเองที่จะนิพพานให้ได้ ซึ่งจะมีทางเลือกสองยุคคือ ยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมที่ยังเหลืออีก ๒,๕๐๐ ปี และยุคของพระปัจเจกที่อยู่หลังจากพระพุทธเจ้าสมณโคดม และก่อนยุคของพระศรีอาริยเมตตรัย ดังนั้น มารและอสูรที่ปรารถนานิพพานเร็วๆ จึงต้องจำนนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าสมณโคดม






๔) ดวงจิตมารอสูรที่ยอมจำนน และจิตเข้าวิถีปัจเจกสมบูรณ์


เมื่อก่อกรรมทำเข็ญมามากพอควรแล้ว ดวงจิตยังมีความหลงไม่อาจผ่านความเป็นมารและอสูรไปได้ ก็อาจไม่สามารถบำเพ็ญบารมีได้เกิดในยุคพระศรีอาริยเมตตรัยได้ทัน และกว่าจะได้นิพพานจะต้องรออีกยาวหากคิดจะบำเพ็ญบารมีต่อไป ทางที่ดีอีกทางหนึ่งคือ การยอมละทิ้งบุญบารมีและรับกรรมชำระชดใช้ให้หมด แล้วนิพพานในแบบ “ปัจเจก” ซึ่งหลังกึ่งพุทธกาลนี้ เป็นยุคที่ซ้อนทับกันระหว่างยุคของศาสนาพุทธ และยุคของพระปัจเจก เพราะพระพุทธศาสนายังหลงเหลืออยู่ในช่วงที่อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่าร้อยปีและมีความเลวร้ายมาก ซึ่งอายุขัยของมนุษย์ที่น้อยกว่าร้อยปีนี้เข้าสู่ยุคปัจเจกแล้ว อีกทั้งพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลกแต่อย่างใด การจะบังคับขืนใจให้ทุกคนเป็นพุทธศาสนาทั้งหมดคิดว่าไม่ถูกต้อง ดังนั้น ต้องมีคนจำพวกหนึ่งที่จะได้อยู่นอกพุทธศาสนา แต่ก็สามารถนิพพานได้เหมือนกันแบบ “พระปัจเจกพุทธเจ้า” นั่นเอง ดวงจิตที่จะนิพพานในลักษณะนี้ มักจะเป็นดวงจิตมารและอสูรที่ไม่ยอมจำนนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ยอมก้มหัวยอมใคร ปรารถนาความเป็นปัจเจกฯ และได้ชำระกรรมเบาบางแล้ว ไม่สร้างบุญบารมีสืบชาติภพต่อไป ก็มีบุญกรรมเบาบางพร้อมนิพพานได้


วันที่ ศุกร์ เมษายน 2552

พิมพ์หน้านี้ | ดูบล๊อกอื่นๆ ที่ OKnation


ยุคมารโพธิสัตว์และอสูรโพธิสัตว์ดูแลพุทธศาสนา



ยุคมารโพธิสัตว์และอสูรโพธิสัตว์ดูแลพุทธศาสนา



หลัง ปี ๒๕๐๐ ผ่านกึ่งพุทธกาลแล้ว พุทธบริษัทผู้เป็นสาวกแท้ของพระพุทธเจ้าหมดลง จะมียักษ์(และอสูร), มาร, เทพ(และโพธิสัตว์), พรหม สี่เหล่าลงมาดูแลพระพุทธศาสนาแทนพุทธบริษัทสี่
 612654


แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2011-04-05 00:06:05
ืีnurse_sun

ืีnurse_sun
#2
05-04-2011 - 14:02:40

#2 ืีnurse_sun  [ 05-04-2011 - 14:02:40 ]




ขอบคุณค่ะ


  • 1

ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



ข้อมูลเมื่อ 28th June 2024 15:35

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ