เริ่มจากคำสอน 10 บัญญัติ ครับ
1. จงนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
พระเจ้าผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตและรู้ว่าพระเจ้ารักเรา บัญญัติข้อ 1 ต้องการให้เราจดจำว่าพระองค์เอาใจใส่ดูแลเราเสมอ บางครั้งเราลืมพระสัญญาของพระเจ้าและไปยึดบุคคลอื่น หรือสิ่งของอื่น ๆ ว่ามีความสำคัญมากกว่าพระเจ้า 2. วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์
วันของพระเจ้า เพื่อชีวิตฝ่ายจิตของเรา วันนี้เราไปวัดพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว และเพื่อน ๆ ของเราในวันอาทิตย์ เราได้ฟังพระวาจา มีส่วนร่วมในการรับศีลมหาสนิท และภาวนาพร้อมกับพี่น้องของเรา ก็เป็นอาหารหล่อเลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณของเรา
3. อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ
จงรัก และให้เกียรติพระนามของพระเจ้า อย่าประมาทชื่อของใคร โดยเฉพาะอย่าประมาทนามของพระเจ้า สิ่งที่เราสามารถปฏิบัติ คือออกพระนามพระเจ้าด้วยความเคารพ ภาวนาวอนขอต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อ ความศรัทธา
4. อย่าทำอุลามก
ส่วนใหญ่สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว เมื่อชายหญิงแต่งงานกัน เขาทั้งสองสัญญาที่จะผูกพันชีวิตด้วยกันทั้งร่างกาย และวิญญาณ จะต้องถือคำมั่นสัญญานี้ สำหรับคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน เราต้องให้เกียรติ และยกย่องร่างกายของเราและผู้อื่นด้วย ทั้งการพูด การกระทำ สิ่งที่ฟังและทุกสิ่งที่คิด
5. จงนับถือบิดามารดา
พระเจ้าให้บิดามารดา มีส่วนร่วมในงานสร้างสรรค์พิเศษนี้กับพระองค์ และให้บิดามารดามอบความรักของพระองค์ ด้วยการเอาใจใส่ดูแลเรา จากความรักที่บิดามารดามีต่อกัน บิดามารดาเป็นคนแรกที่สอนเราว่า พระเจ้าเป็นใคร พระเจ้ารักเราอย่างไร ฉะนั้นบิดามารดาต้องได้รับเกียรติ และให้ความเคารพนับถือด้วย
6. อย่าฆ่าคน
ชีวิตเป็นของล้ำค่า เป็นสิ่งที่ต้องรักษาและให้เกียรติ เมื่อเรายกย่องให้เกียรติผู้อื่น เมื่อเราไม่ทำลายความสุขความยินดีของผู้อื่น เมื่อเราไม่ทำร้ายกัน เราต้องยอมรับว่าชีวิตผู้อื่นก็มีคุณค่าเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน
7. อย่าล่วงเกินสามี ภรรยาคนอื่น
จงให้เกียรติภรรยาของเพื่อนบ้าน พระเจ้าไม่ต้องการให้สามีหรือภรรยา นำความรักและความสุขไปมอบให้กับคนอื่น โดยผิดต่อความซื่อสัตย์ หรือให้ผู้อื่นไปยุ่งเกี่ยวข้องอย่างผิด ๆ ด้วย จงรักษาความคิด จิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ
8. อย่าลักทรัพย์
การขโมยของจากคนอื่น เป็นการทำร้าย เป็นความเห็นแก่ตัวและเป็นความผิด ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติของตน เราทุจริตที่ทำงาน คดโกงเวลา เราก็เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เราต้องไม่เอาของที่เป็นของคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต
9. อย่าใส่ความนินทา
ความจริงนำมาซึ่งความสุข การโกหกหลอกลวง นำผลร้ายและความเศร้าเสียใจ เมื่อเราโกหก เราทำลายความน่านับถือในตัวเรา เมื่อเราละเมิดความลับ หรือคำสัญญาที่ให้ไว้ แม้เป็นเรื่องจริง เราทำร้ายเขาและทำร้ายตัวเราเอง
10. อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา
จงเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น อย่าอิจฉา หรือมักได้ทรัพย์ของผู้อื่น เราอย่าอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี เราควรมีความสุขสำหรับสิ่งของที่คนอื่นมี และขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งของ และพรสวรรค์ที่เราได้รับจากพระองค์
สรุปบัญญัติที่สำคัญที่สุด
พระเยซูเจ้า ได้สรุปพระบัญญัติเอกที่สำคัญที่สุดคือ รักพระเจ้าสุดจิตใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
เครดิต http://jesus-god.exteen.com/20081130/entry-1
ต่อไป ความแตกต่าง ของนิกาย
ศาสนาคริสต์ (อังกฤษ: Christianity) หรือที่ราชบัณฑิตยสถานให้เรียกว่า คริสต์ศาสนา[1] เป็นศาสนาแห่งความรัก เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงรักประชากรของพระองค์ ทรงสร้างสัตว์ต่างๆขึ้นมาเพื่อรับใช้ เป็นอาหารแก่มนุษย์ และทรงให้มนุษย์ลงสู่นรกเมื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงมนุษย์โดยใช้เวลาเพียง 6วัน และหยุดพักในวันที่ เมื่อไม่ถึง 6000ปีก่อน พระเจ้าคือพระยาห์เวห์ (พระบิดา) มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา ศาสนาคริสต์เชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวซึ่งดำรงในสามพระบุคคล ในพระลักษณะ"ตรีเอกภาพ" หรือ "ตรีเอกานุภาพ" (Trinity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต (พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีคัมภีร์คือพระคริสตธรรมคัมภีร์หรือคัมภีร์ไบเบิล (The Bible) ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือทั้งหมด 2,100 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลก
ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาห์ (หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลฮิบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) โดยในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรกจากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่าเบญจบรรณ/ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นคัมภีร์ของศาสนายูดาห์และศาสนาอิสลามด้วยเช่นกัน โดยในพระธรรมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah) ที่ชาวคริสต์เชื่อว่าคือพระเยซู เช่น หนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น
คริสตชนนั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจรรย์ (สาวบริสุทธิ์) โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในสามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป และจะเข้าสู่การพิพากษาในวันสุดท้ายเหมือนทุกคน จะรอดพ้นจากการถูกพิพากษาให้ตกนรก แต่จะเป็นการพิพากษาเพื่อรับบำเหน็จรางวัลแทนในวันสิ้นโลก (Armageddon) และได้เข้าสู่พระราชัยสวรรค์ แต่ถ้าผู้ใดไม่เชื่อจะถูกปรับโทษหลังความตาย
มนุษย์ได้แบ่งศาสนาคริสต์ให้เป็นนิกายต่างๆ ซึ่งแปรไปตามพื้นที่, วัฒนธรรม และความคิดของตน นิกายที่สำคัญมี 3 นิกายคือ
นิกายโรมันคาทอลิกแปลว่าสากล เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์เคารพพระนางมารีย์และนักบุญต่างๆ ภายในโบสถ์ของนิกายนี้จะมีรูปเคารพพระเยซูคริสต์ พระแม่มารีย์ และนักบุญต่างๆ มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครรัฐวาติกัน มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอัครทูตกลุ่มแรก โดยถือว่านักบุญเปโตรหรือนักบุญปีเตอร์คือพระสันตะปาปาพระองค์แรก ซึ่งได้รับการยินยอมจากพระเจ้าให้ปกครองศาสนจักรทั้งมวลและสืบทอดมาถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 265 คาทอลิกจะมีนักบวช เรียกว่าบาทหลวง และผู้อุทิศตนทำงานให้ศาสนจักรถ้าเป็นชายเรียกว่าบราเดอร์ (brother) หญิงเรียกว่าซิสเตอร์ (sister) ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า "คริสตัง"ตามเสียงอ่านภาษาโปรตุเกสผู้เผยแพร่ยุคแรกๆมีผู้นับถือนิกายนี้ประมาณ 1000 ล้านคน นิกายนี้ถือว่าบาทหลวงเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ (ตัวแทนพระเจ้าในโลกนี้)
นิกายออร์โธด็อกซ์แปลว่าถูกต้อง นับถือในประเทศทางฝั่งยุโรปตะวันออก เช่น กรีซ รัสเซีย โดยแยกตัวออกไปจากศาสนจักรตะวันตก เพราะไม่อยากอยู่ภายใต้อำนาจของสันตะปาปาซึ่งมีอำนาจมากสูงกว่ากษัตริย์ (คือมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ได้) ในสมัยนั้น โดยที่มิได้เปลี่ยนแปลงข้อความเชื่อ ข้อความเชื่อของนิกายออทอดอกซ์เหมือนกับข้อความเชื่อของนิกายโรมันคาทอลิก มีอัครบิดรเป็นประมุข นิกายออทอดอกซ์ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คริสตจักร (หรือศาสนจักร) ตะวันออก มีศาสนิกชนรวมกันประมาณ 500 ล้านคน
นิกายโปรเตสแตนต์ แยกตัวมาจากนิกายโรมันคาทอลิกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นนิกายที่ถือว่าศรัทธาของแต่ละคนที่มีต่อพระเจ้าสำคัญกว่าพิธีกรรม ซึ่งยังแตกย่อยออกเป็นหลายร้อยคณะ เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และการปฏิบัติในพิธีกรรม นิกายนี้ไม่มีนักบวชเชื่อว่าทุกคนสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยมิต้องอาศัยบาทหลวงและถือว่าพระเยซูได้ทรงไถ่บาปแก่ศาสนิกทุกคนไปเมื่อถูกตรึงกางเขนแล้ว นิกายนี้มีเพียงไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาเท่านั้น มีผู้นับถือรวมกันทุกนิกายย่อยประมาณ 500 ล้านคน
ชาวไทยจะเรียกผู้นับถือนิกายนี้ว่า "คริสเตียน"ตามกลุ่มมิชชันนารีอเมริกัน ในประเทศไทยมีผู้นับถือนิกายนี้ 4 นิกายย่อย
สำหรับในประเทศไทยศาสนาคริสต์ได้เข้ามาก่อนเมื่อปี พ.ศ. 2052 คือเข้ามาพร้อมกับมิชชั่นนารีในสมัยอยุธยา โดยบาทหลวงคนแรกชื่อบาทหลวงพอล มิชชั่นนารีที่เป็นที่รู้จักคือหมอบรัดเลย์ผู้นำแท่นพิมพ์เข้ามาในประเทศไทยเป็นคนแรก, หมอแมคคอมิคผู้อุทิศตัวแก่ประชาชนในเมืองเชียงใหม่ และตั้งโรงพยาบาลแมคคอมิคในเมืองเชียงใหม่ ในปัจจุบัน คริสตจักรโปรเตสแตนท์ในไทยทั้งหมดมีจำนวนสมาชิกร่วมกันประมาณ หนึ่งแสนคนรวมกับคาทอลิกประมาณ 260,000 (ในปี พ.ศ. 2546) มีคริสตจักรต่างๆ เช่น คริสตจักรความหวัง,คริสตจักรใจสมาน, คริสตจักรสามัคคีธรรมกรุงเทพ, คริสตจักรร่มเย็น,คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์, คริสตจักรน้ำพระทัย, คริสตจักรสะพานเหลือง, คริสตจักรไมตรีจิต, คริสตจักรเทียนสั่ง, คริสตจักรอิมมานูเอล,คริสตจักรพระพร เป็นต้น ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยสามารถตั้งศูนย์ศาสนาคริสต์ต่างๆในเชียงใหม่ได้ถึง 2000 กว่าศูนย์
พิธีกรรมในศาสนานี้ มีสำคัญๆอยู่ 7 พิธี เรียกว่า พิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ มีดังนี้
ศีลล้างบาปหรือการรับบัพติสมา เป็นพิธีแรกที่คริสตชนต้องรับ โดยบาทหลวงจะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทลงบนศีรษะพร้อมเจิมน้ำมันคริสมาที่หน้าผาก
ศีลอภัยบาป เป็นการสารภาพบาปกับพระเจ้าโดยผ่านบาทหลวง บาทหลวงจะเป็นผู้ตักเตือนสั่งสอนไม่ให้ทำบาปนั้นอีก และทำการอภัยบาปให้ในนามพระเจ้า
ศีลมหาสนิท เป็นพิธีกรรมรับศีลโดยรับขนมปังและเหล้าองุ่นมารับประทาน โดยความเชื่อว่าพระกายและพระโลหิตของพระเยซู
ศีลกำลัง เป็นพิธีรับศีลโดยการเจิมหน้าผาก เพื่อยืนยันความเชื่อว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ตลอดไปและได้รับพระพรของพระจิตเจ้า ทำให้เข้มแข็งในความเชื่อมากขึ้น
ศีลสมรส เป็นพิธีประกอบการแต่งงาน โดยบาทหลวงเป็นพยาน เป็นการแสดงความสัมพันธ์ว่าจะรักกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ศีลบวช สงวนไว้เฉพาะผู้ที่จะบวชเป็นบาทหลวงและเป็นชายเท่านั้น
ศีลเจิมคนไข้ เป็นพิธีเจิมคนไข้โดยบาทหลวงจะเจิมน้ำมันลงบนหน้าผากและมือทั้งสองข้างของผู้ป่วย ให้ระลึกว่าพระเจ้าจะอยู่กับตนและให้พลังบรรเทาอาการเจ็บป่วย
สำหรับนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์ จะมีพิธีกรรมทั้ง 7 พิธี แต่สำหรับนิกายโปรเตสแตนต์ จะมีเพียง 3 พิธีคือพิธีบัพติสมา , พิธีมหาสนิท และ พิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์
ปล. ใครที่อยากเผยแพร่ ศาสนาอื่นก็มาเม้นในกระทู้นี้ได้นะครับ แล้วผมจะเอาขึ้น กระทู้ (เช่น ยูดาห์ อิศลาม พราม พุทธ .......)

เครดิต วิกิพีเดีย
พระบิดา พระบุตร พระจิต อาเมน แม้จะคนละนิกาย ก็ไสคัญ สำคัญที่ เรารักพระเจ้ารึป่าว