เพิ่มๆ 10สาเหตุที่โลกจะไม่แตก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงนี้ไม่ว่าจะเข้าไปที่ใดมักมีเรื่องเกี่ยวกับคำพยากรณ์วันโลกวินาศปี 2012 โดยมักอ้างที่มาหลายแหล่ง เช่น ปฏิทินมายัน, การถอดพระคัมภีร์ไบเบิล คำทำนายจากโหรชื่อดัง ลัทธิต่างๆ นาๆ ที่ไม่รู้นัดกันมาหรืออย่างไร ที่ต่างพร้อมใจกันออกเสียงว่า 21 ธันวาคม 2012 คือวันสิ้นโลก หรือแม้แต่วิทนยาศาสตร์ที่หลายคนมักอ้างประกาศนาซ่า(นาซ่าไม่บอกสักคำว่าปี 2012 คือวันสิ้นโลก) ว่าขั้วแม่เหล็กพลิกกลับจะเกิดขึ้นเร็วนี้ๆ บวกกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงโลกมากมายเช่น จุดบอดของดวงอามทิตย์ โลกร้อน ฯลฯ จนถึงปัจจุบันทำให้เราเชื่อว่าคำทำนายจะเป็นจริง
แต่กระนั้นแน่นอนว่าหลายฝ่ายไม่เชื่อ ไม่ได้หลงไปกับกระแสนี้แต่อย่างใด เพราะว่าคำทำนายโลกแตกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โลกเราผ่านกระแสเหล่านี้มานานแล้ว และนี้คือ 10 เหตุผลที่วันที่ 21 ธันวาคม ไม่ใช่วันสิ้นโลก
10. เพราะการการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก ในปี 2012จะไม่เป็นหายนะ
เมื่อเราทำการค้นหาบทความที่เกี่ยวกับวันสิ้นโลก 2012 ในอินเตอร์เน็ต เรามักพบบทความหนึ่งที่อ้างถึงรายงานของนาซ่า(ประจำแหละ เวลามีอะไรมักอ้างนาซ่าประจำ) โดยเขียนไว้ว่าจากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันของ นักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่ม นักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ได้พบว่าทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งปรากฏดังกล่าวมีส่วนทำให้สัตว์โลกล้านปีไดโนเสาร์สูญพันธุ์มาแล้ว
กระบวนพลิกกลับขั้วโลก(Magnetic Pole Reversal)นั้นหมายถึงอะไรนั้น อธิบายง่ายๆ คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์ สูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดผลกระทบตามมาคือโลกอาจประสบภัยพิบิตเพิ่มมากขึ้น, การแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น, พายุอนุภาค, กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่ถูกดึงดูดเข้ามาในโลกมากมาย, สัตว์ที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆ ฯลฯ และนอกจากนี้ยังอ้างว่าจากการวิเคราะห์พบว่าความแรงของสนามแม่เหล็กของเราได้ลดลงประมาณร้อยละ 5 ในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้ดูเหมือนเป็นสัญญาว่าโลกเราจะเกิดเรื่องร้ายในอนาคต อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ดังกล่าวนั้นเป็นปรากฏการณ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเพราะเกิดขึ้นในอัตราที่เชื่อมช้ามาก ถ้ากระบวนดังกล่าวจะทำให้เกิดวันสิ้นสุดโลกนั้นก็เกิดขึ้นในอนาคตแบบช้าๆ ไม่ใช่เกิดขึ้นทันทีทันใด ในปี 2012 อย่างที่หลายคนเข้าใจ อีกทั้งยังมีเวลาอีกมากที่จะสามารถหาทางแก้ไขผลกระทบความเสียหายที่ตามมาจากปรากฏการณ์นี้ได้โดยใช้เทคโนโลยีในการป้องกันชั้นบรรยากาศโลก ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องกังวลปรากฏการณ์นี้ว่าจะเกิดในปี 2012 แต่อย่างใด
เกี่ยวกับกระทู้นาซ่าดังกล่าว ต่างประเทศออกมาแก้เรียบร้อยแล้วครับ ว่าไม่มีรายงานวิจัยแต่อย่างใดว่า ปี 2012 จะเกิดกระบวนพลิกกลับขั้วโลกที่ส่งผลทำให้สิ้นโลก มีแต่ของไทยแหละที่ไม่มีกระทู้แก้ข่าวดังกล่าว
ไป
http://www.universetoday.com/18977/2012-no-geomagnetic-reversal/ 9. ในปี 2012 ไม่มีปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ที่ส่งผลต่อโลกทั้งสิ้น
ดวงอาทิตย์ถือว่าเป็นเรื่องที่หลายคนที่นำมาอ้างที่สุดในวันสิ้นสุดโลก ปี 2012 โดยทฤษฏีที่นิยมมากที่สุดคือ การเพิ่มขึ้นจุดบอดดวงอาทิตย์(sunspot) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ ปรากฏจุดด่างดำ เนื่องจากเป็นบริเวณบนผิวดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติที่ราว 3000-4500 องศา (ทั่วไปจะเป็น 6000) และบริเวณดังกล่าวจะมีสภาพแม่เหล็กรุนแรง ซึ่งทำให้หลายคนเชื่อว่าจุดบอดดังกล่าวทำให้เกิดเสียต่อโลก เป็นตัวกลางทำให้เกิดพายุสุริยะพุ่งเข้ามาโจมตีโลกเรา โดยมีหลายคนวิเคราะห์ว่า ในช่วงปี 2011-2014 จะเป็นช่วงเวลาที่เกิดจุดบอดจำนวนมากในดวงอาทิตย์ จึงคาดว่าน่าจะเกิดพายุสุริยะอย่างแน่นอน คงมีทุกวัน แต่จะรุนแรงมากน้อยเพียงใด ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่ไม่มีบ่งบอกได้ว่าจะต้องเกิดในปีใดเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามปกติพายุสุริยะจะไม่ ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็กคุ้มกัน มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับ อันตราย ทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์
8. การเปลี่ยนวงโคจรของโลกและการเรียงตัวของดาวเคราะห์ไม่มีผลใดๆ ต่อโลกทั้งสิ้น
ทฤษฏีที่นิยมมากล่าวอ้างว่าในปี 2012 โลกจะเปลี่ยนวงโคจรเนื่องจากแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์อื่นๆ หรือจากผลกระทบต่อกาแล็คซี่ ทำให้ภายในโลกมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ไม่เป็นจริงโลกไม่มีทางเปลี่ยนวงโคจรได้แน่นอนตามกฎนิวตันของกลศาสตร์ของดาวเคราะห์ หากโลกจะเปลี่ยนวงจรนั้นยากมาก(คิดว่าโอกาสเกิดอาจเป็นในอีกพันล้านสิบหรืออีกสามพันล้านปีข้างหน้า) และอีกทฤษฏีที่นิยมมากที่สุดคือการเรียงตัวของดาวเคราะห์เป็นแนวเดียวกันจะส่งผลร้ายต่อโลกนั่น ไม่มีผลต่อโลกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจะเรียงกันอย่างไร เป็นเส้นตรง สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม กากบาท ฯลฯ ก็จะไม่ส่งผลเสียใดต่อโลกเลยแม้แต่น้อย
7. เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปและเราสามารถปรับตัวได้
ทฤษฏีที่หลายคนมักนำมาอ้างที่สุดเวลาที่โลกเกิดปรากฏการณ์อะไรประหลาดขึ้นมาก็คือ มนุษย์โลกจะพินาศเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโดยฝีมือของมนุษย์เราเอง โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่พูดถึงบ่อยที่สุดก็คือโลกร้อนทำให้น้ำแข็งทั่วโลกละลาย ทำให้มีการเพิ่มระดับน้ำทะเลในมหาสมุทร ส่งผลทำให้น้ำท่วมโลก ซึ่งความจริงมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนั้นเป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปของโลกที่มีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีทันใด(มีการคาดว่าน้ำแข็งอาร์กติกละลายหมดภายในปี 2030) อีกทั้งบางคนยังบอกว่าหากน้ำแข็งขั้วโลกละลายอาจส่งผลดีด้วยซ้ำเพราะว่ามีพื้นที่ปลูกพืชมากขึ้นในไซบีเรียและอเมริกาเหนือ อีกทั้งมนุษย์เราสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี(เช่นการสร้างเทคโนโลยี) และในปี 2012 ไม่มีรายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลทำให้กระทบให้เกิดหายนะโลกใดๆ ทั้งสิ้น
6. เพราะนักทำนายมักเดาผิดเสมอ
น่าสงสาร ที่มนุษย์เรานั้นมักเอนเอียงเชื่อบุคคลที่อ้างตัวว่ามีพลังอำนาจในการทำนายอนาคต และคำทำนายดังกล่าวมักอ้างด้วยหัวข้อ “วันสิ้นโลก” เป็นส่วนใหญ่ และเมื่อมีการอ้างก็ส่งผลทำให้ประชาชนตื่นกลัว แห่เข้าลัทธิของคนที่ทำนายอนาคตมากขึ้น ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โลกของเรานั้นเผชิญกับบุคคลที่อ้างคำทำนายเหล่านี้อยู่มากมาย และเกือบทุกคนทำนายวันสิ้นโลกผิดพลาด เช่น ในปี 1997 เจ้าซานดิเอโกยูเอฟโอ(หรือลัทธิประตูสวรรค์) ได้ทำนายว่าประตูสวรรค์จะเปิดออกจากการเดินทางมาของดาวหางเฮล์-บอปป์ และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา ทำให้สมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997 หากแต่สุดท้ายปรากฏว่าไม่เป็นจริง หรือจะเป็นเหตุการณ์ Y2K ที่ชื่อว่าโลกจะกลับสู่ยุคหินในปี 2000 แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเมื่อเวลามาถึง
ปัจจุบันบุคคลที่อ้างว่าปี 2012 วันสิ้นโลกจะมาถึงก็ยังอีกมีหลายราย บางคนก็อ้างว่ามีพลังรู้อนาคต บางคนก็ใช้การตีความพระคัมภีร์โบราณ บางคนก็อ้างจินตนาการหลุดโลกไปเลยก็มี และหลายรายใช้วิธีดังกล่าวตั้งลัทธิเพื่อดูดเงินเข้ากระเป๋าพวกเขามากขึ้น แม้ว่าจะมีหลายกรณีที่นักทำนายบางคนประสบผลสำเร็จในการพยากรณ์บางเหตุการณ์ในอนาคตมาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ทำนายถูกส่วนใหญ่จะเป็นการเมืองหรือการทหารที่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอยู่แล้ว หรือเป็นเหตุการณ์ในระยะเวลาใกล้ๆ หรือตามกระแสมากกว่า
5. เพราะรหัสลับไบเบิลเป็นเพียงแค่เรื่องที่คิดในห้องนั่งเล่น
ไบเบิลถือว่าเป็นพระคัมภีร์ที่มีหลายคนชอบมาอ้างเกี่ยวกับวันโลกแตกมากที่สุด กรณีที่โด่งดังคือกรณีของไมเคิล ดรอสนินผู้เขียน "The Bible Code" ซึ่งเขาได้อ้างว่า เขาสามารถค้นพบ "คำ" หรือ "วลี" ที่ซ่อนตัวอยู่ในไบเบิลฉบับภาษาฮีบรู (พันธสัญญาเดิมและคัมภีร์เตารอต) ได้ คำหรือวลีเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงและทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยวิธีการค้นพบชองเขาคือการใส่ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิลดังกล่าว เข้าไปในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ ให้สามารถจัดเรียงคำให้เป็นแถวในแบบเดียวกับที่เราเห็นกันใน "ปริศนาอักษรไขว้" นั่นเอง และเมื่อต้องการอ่านคำใด ก็ให้โปรแกรมคัดเลือกอ่านตัวอักษรที่ "ห่างเท่าๆ กัน" ในแนวต่างๆ (แนวนอน, แนวตั้ง และแนวทแยง) ซึ่งก็สามารถอ่านได้ทั้งแบบไปข้างหน้าและย้อนกลับหลังอีกด้วย วิธีการดังกล่าว เขาสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณี 9-11, ฮิตเลอร์, ดาวหางชนดาวพฤหัสบดี, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, เหตุการณ์ 9/11, แผ่นดินไหวในจีน ฯลฯ แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เขาอ้างว่า เขาพบข้อความเกี่ยวกับการลอบสังหาร นายยิตซ์ฮัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1995 และยังได้พยายามแจ้งเตือนนายกฯ ราบิน อีกต่างหาก และที่เด็ดที่สุดก็เขาได้อ้างว่าในปี 2012 โลกจะพบจุดจบจากดาวหางพุ่งชนโลก
อย่างไรก็ตามเหล่านักคณิตศาสตร์ทั่วโลกต่างพร้อมใจประกาศว่าการแปลไบเบิลของไมเคิลนั่นเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากการคำนวณของไมเคิลนั่นขัดแย้งกับกฎมาตราฐานทางด้านความน่าจะเป็นและสถิติ อีกทั้งมีหลายคนพยายามทำตามที่ไมเคิลบอกปรากฏว่าไม่ปรากฏว่าเป็นจริงแต่อย่างใด อีกทั้งคำทำนายของไมเคิลเกี่ยวกับอนาคตที่มาจากการแปลพระคัมภีร์นั้นล้วนผิดหมด
4. เพราะโลกแข็งแกร่ง
โลก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สาม โดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และโลกนั้นแข็งแกร่งที่เราคิด มันสามารถยืนอยู่คงกระพันมานานจนมันมีอายุถึง 4,570 ล้าน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการชนของดาวเคราะห์น้อยและดาวหางขนาดใหญ่เล็ก ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ มากมาย มีหรือว่ามันจะพบจุดจบภายในวันเดียว ที่นี้เราคิดดูว่าน้ำแข็งละลาย และอาวุธนิวเคลียร์ หรือการพุ่งชนของดวงจันทร์จะทำอะไรโลกนี้หรือไม่ โปรดพิจารณา
3. เพราะคำพยากรณ์วันโลกกาวินาศได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิดอย่างสม่ำเสมอ
มีหลายคำพยากรณ์ที่ปรากฏตามพระคัมภีร์โบราณต่างๆ ที่ผู้นำศาสนาต่างมัก มักตีความว่า ปี 2012 เป็นวันสิ้นสุดโลก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคำพยากรณ์เหล่านั้นไม่มีคำใดเลยที่ปรากฏว่าปี 2012 โลกจะพบจุดจบ หากแต่เป็นการตีความที่คิดไปเองและการตีความผิดพลาดของคนเราเสียมากกว่า แม้ว่าในศาสนาสำคัญของโลกจะมีคำทำนายวันสิ้นสุดของโลกก็ตาม แต่จุดประสงค์ที่สื่อไม่ใช่ทำให้เราหวาดกลัว แต่เป็นการสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติและให้คุณค่า ทำประโยชน์ให้แก่สังคมต่างหาก
2. เพราะนอสตราดามุสไม่ได้บอกว่า 2012 เป็นวันสิ้นสุดโลก
เวลาโลกเราประสบเหตุการณ์ร้ายๆ ครั้งใหญ่เมื่อใด ก็มักมีกลุ่มบุคคลที่อ้างเรื่องของคำพยากรณ์ของนักทำนายชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 16 มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุสมาพูดถึงบ่อยครั้ง เช่น ไฟไหม้ครั้งใหญ่กรุงลอนดอน, ปัญหาโลกร้อน, เหตุการณ์ 9/11 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทั้งหลายแหลมักอ้างถึงนอสตราดามุสเป็นคนแรก ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่านอสตราดามุสเป็นนักทำนายที่มีญาติหยั่งรู้วิเศษที่น่าเชื่อถือ จนกระทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ มีคนอ้างว่านอสตราดามุสได้ชี้ว่าโลกจะพบจุดจบในปี 2012 โดยยกโครงบทหนึ่งมา แน่นอนว่าเรื่องการคำทำนายของนอสตราดามุสนั้นยังเป็นที่ถกเถียงจนถึงปัจจุบันว่าตกลงว่าแม่นยำหรือมั่วกันแน่ ทั้งนี้เพราะข้อความที่เขาเขียนขึ้นเป็นภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบ ทำให้ตีคงวามยาก และตีความได้หลากหลาย ในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ ซึ่งหนึ่งและหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ วันสิ้นสุดโลก คือมีการตีความว่า “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้นสุดของโลก แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริงโลกก็ยังปกติสุข พอในปีถัดไป คำทำนายนอสตราดามุสก็ตามมาอีกว่าปี 2000 จะเป็นวันสิ้นสุดของโลกแท้จริง แต่เอาเข้าจริงโลกก็ยังเหมือนเดิม พอปี 2012 คำทำนายก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งความจริงแล้วมีผู้ตีความทำนายของนอสตราดามุสไว้ว่า เขาไม่ได้ทำนายวัน 2012 เป็นวันสิ้นสุดของโลก หากแต่เป็นวันจุดเริ่มต้นของโลกที่ใกล้อวสาน เพราะเขาได้ขยายไปว่า โลกจะอยู่คงอยู่ยาวนานถึง 3797 ปี
1.เพราะมายาไม่ได้บอกว่าเป็นปี 2012 เป็นวันสิ้นโลก
ปฏิทินมายาถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของข่าวลือวันสิ้นโลกอย่างแท้จริง เพราะปฏิทินมายาถือได้ว่าแม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินใดๆ โดยที่มาของความเชื่อว่าปี 2012 เป็นวันสิ้นสุดโลกนั้น มาจากการสังเกตว่าปฏิทินมายานั้นมีเพียง 394 ปี(เริ่มนับตั้งแต่ในปี 3114 ก่อนคริสต์ศักราช)และจะสิ้นสุดลงในราววันที่ 21 ธันวาคม 2012 อีกทั้งยังมีการศิลาจารึกแผ่นหนึ่งของชาวมายาซึ่งพบในเม็กซิโกเมื่อทศวรรษ 1960 ระบุว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเทพโบลอนยกเต เทพแห่งสงครามและการสร้างสรรค์ ที่ระบุว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดอะไรบางอย่างต่อโลกขึ้น และด้วยชื่อของ “มายา” ซึ่งเป็นอารยธรรมลึกลับย่อมมีมนต์ขลังทำให้หลายคนเชื่อเรื่องดังกล่าว
ความจริงแล้วปฏิทินมายามีหลายแบบ ซึ่งแบบที่เกี่ยวข้องกับปี ค.ศ. 2012 เรียกว่า ปฏิทินรอบยาว (long count) ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่ วันที่ 11 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งการสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา ซึ่งวันสิ้นสุดดังกล่าวไม่ได้บอกเลยสักนิดว่าเป็นวันสิ้นโลก ที่สำคัญ ปฏิทินมายาก็ไม่ได้หมดลงแค่ปี ค.ศ.2012 เนื่องจากนักวิชาการได้พบหลักฐานเป็นศิลาแบบเต็ม จากเมืองโคบา ที่จารึกชื่อของปีที่วงรอบใหญ่กว่าสามารถเทียบเป็นเวลาถึง 13 เท่าของ 20 ยกกำลัง 21 ปี ส่วนสาเหตุที่มันหมดลงในปี 2012 ก็เพราะระบบบอกพิกัดจีพีเอส ก็มีระบบนับสัปดาห์เป็นของตัวเอง ทำนองเดียวกับ Y2K ของคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อสิ้นวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 โลกก็ไม่ได้แตกตามระบบเหมือนระบบนับวันของคอมพิวเตอร์ หากแต่ปฏิทินมายาก็จะเริ่มนับรอบใหม่
ส่วนศิลาจารึกที่ระบุว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากโลกนั้น หากเป็นวันสิ้นโลกจริงศิลาจารึกของมายาเกือบทุกอันต้องระบุไว้แต่ปรากฏว่าไม่มีศิลาจารึกใดกล่าวถึงเลย นอกเหนือจากอนุสาวรีย์หมายเลข 6 แห่งเมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero Monument 6 ที่ระบุว่า วันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012) มันจะเกิดความมืด?? และจะเป็นการลงมาประทับของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างที่...??" ซึ่งจาลึกดังกล่าวแตกหัก ไม่สมบูรณ์ ถอดความได้ยังไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าวันดังกล่าวเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งชาวประเทศเม็กซิโกและอเมริกากลาง เองก็ออกมาบอกว่าเป็นเรื่องของชาวตะวันตกคิดไปเองทั้งนั้น
อ้างอิงจากบทความ top 10 reasons the world won't end on december 21, 2012
http://www.toptenz.net/the-world-wont-end-on-december-21-2012.php เพิ่มเติมวิกิพีเดียไทย-อังกฤษ
http://www.gracezone.org/index.php/-2012/542-solar-wind http://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=4856 http://webboard.mthai.com/7/2007-01-26/298326.html http://www.oknation.net/blog/Joseph/2009/11/13/entry-1 Credits
//writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=343
มีแหล่งอ้างอิงทั้งภาษาอังกฤษ ทั้งเว็บที่เชื่อถือได้ค่ะ^^