พอดีผมพิมพ์ในGoogleว่า ศาสนาคริสต์ในเกาหลี ก็เลยเจอเว็ปนี้
ลองเข้าเว็บนี้ดู ใครี่เป็นพุทธช่วยแปลให้หน่อยว่า สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม ขออนุโมทนาสาธุ.... แปลว่าอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ
http://board.palungjit.com/f180/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-92868.html
ถ้าข้องใจก็ บอกได้นะครับ
พอดีไปเจออีกเว็ปนึง น่าสนใจเลยลองให้อ่าน ผมยังอ่านไม่จบ (ผมเป็นคริสต์)
สถานการณ์ พุทธ - คริสต์ ในเกาหลี
--------------------------------------------------------------------------------
# # สภาพทั่วไป
๑๐ ปีก่อน ประเทศเกาหลีมีชาวคริสเตียนประมาณ ๖๐% วันนี้ (คศ.๒๐๐๕) คาดว่าน่าจะถึง ๙๐% เป็นอย่างน้อย
แทบทุกหมู่บ้านมีโบสถ์ที่มีสัญลักษณ์ไม้กางเขนตั้งตระหง่าน สงบ ส่วนในเมืองใหญ่จะมีตึก คริสตจักรใหญ่โต ที่มีกิจกรรม เพื่อสังคมหลากหลาย
เกาหลีใต้นับเป็นศูนย์กลางคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเซีย ทั้งๆ ที่สมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
หลักฐานที่บ่งบอก ก็คือสถูปเจดีย์ พระพุทธรูป วัด และพระ
ในบางเมือง มีหลักฐานแสดงความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุ
ชาวคริสเตียนมากมายในอดีตก็เป็นชาวพุทธมาก่อน
วันนี้หากไปกราบไหว้พระพุทธรูป ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยเก็บเงินเป็น "ค่าไหว้พระ?"
กิจกรรมชาวคริสต์มีมากมายที่มารับใช้สังคม ดูแลเพื่อนมนุษย์
คริสตจักรบางแห่งมีมหาวิทยาลัยชายหญิงวัยชรามาศึกษา มาเข้าร่วมกิจกรรม แต่ละครั้งนับเป็นพันๆ คน
มีห้องดูแลเด็กเล็ก มีที่พักผ่อนให้คุณแม่ มีห้องให้แม่ลูกอยู่ด้วยกัน
เงินเดือนบางส่วนอุทิศจะให้กับศาสนา
เด็กหนุ่มสาวที่สนใจพระธรรม สมัครใจเป็นมิชชันนารี่ โดยมีคริสตจักรให้เงินเลี้ยงชีพ ไม่ต้องกังวลเรื่องทำมา หากิน มีชีวิตบำเพ็ญ ประโยชน์ ช่วยงานด้านศาสนา
บางคนก็ขอลาออก กลับไปทำงานหาประสบการณ์ทางโลกอีกพักใหญ่ แต่ง-งานสร้างครอบครัว แล้วย้อนกลับมาสมัคร เป็นมิชชันนารี่ อีกครั้ง
บุคลากรทางศาสนาเป็นผู้มีความรู้ เป็นมือเป็นไม้ หมุนเวียนเปลี่ยนไปมาได้
มิชชันนารี่ระดับผู้ใหญ่ จะถูกส่งไปช่วยเพื่อนมนุษย์ในประเทศต่างๆ ถือว่าไปให้พระธรรม ไปประกาศพระวจนะ ไปให้เขา ศรัทธาในพระเจ้า
บางทีก็ไปทั้งครอบครัว อยู่ชุมชนไหน ก็พยายามสร้างกิจกรรม ทั้งทางด้านเผยแพร่ คำสอนและกิจกรรมสังคมสงเคราะห์
มิชชันนารี่หนุ่มสาวก็จะเวียนกันมาช่วยเหลือ
และทั้งหมดนี้ก็จะมีการเรียนภาษาเตรียมความพร้อมไว้ก่อน
ในบางประเทศ ก็อาจจะต้องมาเรียนภาษาและทำงานศาสนาพร้อมกันไปเลย เนื่องจากในเกาหลีไม่มีสอน
ทุกวันอาทิตย์ คือวันที่ชาวคริสต์ทุกคนย้ำว่า "ทุกคน" จะพากันมาเข้าโบสถ์
บางแห่งต้องจัด "รอบ" ให้ เนื่องจาก มีเป็นหมื่นๆ คน
บทบาทชาวคริสต์จากชนกลุ่มน้อย ค่อยๆ กลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
นานๆ จึงจะเจอชาวพุทธสักคน นักธุรกิจระดับผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็จะเข้ามากระซิบโดยไม่กล้าพูดเสียงดัง "ผมเป็นชาวพุทธ"
สังคมคริสเตียน นับวันจะเกาะกลุ่ม กันแน่นแฟ้น จนอดที่จะคิดถึงพวกโรตารี่ หรือไลอ้อนส์ในเมืองไทย ที่มีการนัดพบ ทำกิจกรรม สม่ำเสมอไม่ได้
จากชนกลุ่มน้อย บัดนี้คือชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
ผู้นำของประเทศเป็นคริสเตียนแทบทั้งหมด
จนมีชาวคริสเตียนที่รู้จักกันส่วนตัว วิจารณ์ว่า เป็นเพราะหลักธรรมของคริสต์จึงทำให้ก้าวหน้าพัฒนามาได้ถึงขนาดนี้
หากเป็นศาสนาสพุทธเหรอ ก็คงจะยากจน ลำบากยากแค้นเหมือนในอดีต
# # คิดถึงเมืองไทย
เพื่อนชาวพุทธบางคนทำใจ ไม่ได้ แต่เราก็คงต้องใจกว้างในการฟังเขาวิพากษ์วิจารณ์
หากเป็นการรบ นี่ก็คือยุทธศาสตร์ "เชิงรุก" แต่ถ้าย้อนดูสังคมไทย ศาสนาพุทธของเราอยู่ในลักษณะ "เชิงรับ"
นับวันมีแต่จะเสียคะแนน
ที่บอกว่า "ใจกว้าง" ก็เพราะว่า คนที่มาเข้ารีต เขาไม่ได้ถูกบังคับกดขี่ข่มแหง เป็นความสมัครใจของเขา
เมื่อเลี้ยงดูให้เขามีความสุขไม่ได้ เราก็อย่าเป็นคน "หวงก้าง" ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเขาเลย แต่กลับจะบังคับให้อยู่กับเรา
จะไม่ใจดำไปหน่อยหรือ?
ถามหนุ่มสาวคนไทยรุ่นใหม่ดูก็ได้ว่านับถือศาสนาอะไร เขาเป็นพุทธแต่ในทะเบียนเท่านั้น แต่จิตใจกลับเฉยเมย และ ออกจะ "ติดลบ" เสียด้วยซ้ำ
สถานการณ์ประเทศไทย หากชาวพุทธ ทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อย ยังดูดาย ยังละเลยในการปฏิบัติตน
เราก็จะมีสภาพไม่ต่างไปจากเกาหลี
# # มองในแง่ดี
การมีหลายศาสนาเข้ามามีบทบาทในสังคมไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ในเชิงธุรกิจ หากมีร้านค้าหลายแห่ง เราจะเห็นการแข่งขันเชิงคุณภาพ
เมืองไทยของเรามีรากแก้วเป็นศาสนาพุทธ แต่ถ้ายังประมาท ยังไม่เคร่งครัดในหลักธรรม ก็อย่าคิดว่าจะพ้นจากสภาพนี้ ไปได้
ไม่อยากให้เราหลงยึดติดแค่รูปแบบ แค่กรอกลงในเอกสารว่านับถือ "ศาสนาพุทธ"
เราควรจะมี "เนื้อหา" มากกว่านั้น
การแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น "ทางโลก" หรือ "ทางธรรม" ผลประโยชน์ย่อมตกอยู่กับประชาชนตลอดเวลา
ธุรกิจใดหรือกิจการใดไม่เน้นลูกค้า เป็นหลัก ธุรกิจนั้น กิจการนั้นก็จะค่อยๆ ตกต่ำ เสื่อมศรัทธา และจบลงที่ "ความพินาศ"
ท่านผู้อ่านเห็นด้วยหรือไม่?"
# # คุยกันแบบคนรู้น้อย
มิชชันนารี่หลายท่านที่มีน้ำใจ พยายามจะให้ชาวพุทธอย่างเราเปิดใจยอมรับในความมี "พระเจ้า" มีหลายๆ ประเด็นที่หยิบยก มาวิจัย วิจารณ์ ถกเถียงกันพอหอมปากหอมคอ
ความจริงผู้ใหญ่โบราณท่านทักท้วงเสมอว่า การสนทนานั้น ห้ามคุย ๒ เรื่อง คือ การเมืองกับศาสนา คุยทีไร มีโอกาสทะเลาะ กันง่ายมาก
เรามาดูกระจกเงาสะท้อนภาพชาวพุทธว่าเขาคิดอย่างไร
๑. พึ่งตนแสนลำบาก พุทธธรรมเน้น อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นับเป็นความยากลำบากเหลือเกิน อะไรๆ ก็ต้องทำเอง
แต่หากมีพระเจ้า พระองค์จะจัดการทุกอย่างให้เราแทน
๒. มีชีวิตเพื่อสวรรค์ในวันข้างหน้า ทำอะไรก็ตาม เพราะมัวแต่หวังสวรรค์หลังความตาย เราจึงแก้ปัญหาในโลกปัจจุบันไม่ได้ บ้านเมือง จึงไม่พัฒนา
๓. จงเชื่อในพระเจ้า หากยังไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาในความมีอยู่ของพระองค์ จะทำความดีอย่างไรก็เหมือนอาหารดิบ ยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ผ่าน การรับรอง
# # พุทธชีวี
มีหลายๆ เรื่องที่ได้ถก อธิบาย บางทีความศรัทธาในศาสนาของตัวเอง ก็ยากที่จะไปด้วยกัน
แต่ที่แน่ๆ โลกนั้นต้องการให้มนุษย์ทุกคนทำความดี
๑. ความเชื่อ (ทิฏฐิ) ความเชื่อนั้นเปรียบประดุจหางเสือ แม้จะไปทิศทางเดียวกัน แต่ก็อาจแตกต่างในเป้าหมาย
ชาวพุทธเชื่อในกฎแห่งกรรม และรับผลกรรมไม่ช้าก็เร็ว "กรรม" จะเป็นตัวตัดสิน ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้ขาด
"สรรค์" เป็นชีวิตหลังความตาย การทำบุญหวังสวรรค์ ก็ยังถือเป็นกิเลสตัณหา
ความจริงแล้ว เราต้อง การฝึกเสียสละ สวรรค์นั้นเป็น เพียงผลพลอยได้
สวรรค์ของชาวพุทธ จะแตกต่างกับสวรรค์ของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
เป็นไปได้ไหม ที่อย่าเพิ่งพูดถึงความ มีอยู่ของพระเจ้า แต่ขอให้ถามว่า มนุษย์นั้นควรจะมีหน้าที่อย่างไร
หากไม่เชื่อในพระเจ้า แต่มีชีวิตอยู่กับการเสียสละ การทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น ชีวิตเช่นนี้จะใช้ได้ไหม?
เพื่อนมิชชันนารี่ยืนยันจะให้มีจุดยืนบนความเชื่อในพระเจ้าก่อน
แต่เรายืนยันในการรับใช้เพื่อนมนุษย์!
การทำความดีเพื่อพระเจ้า กับการทำความดีเพื่อมนุษย์ด้วยกัน จะแตกต่างกันอย่างไร?
การนับถือพระเจ้า แต่ไม่มีพฤติกรรม เสียสละเพื่อโลก เขาจะเป็นคนเช่นไร?
ประสานจุดร่วม สงวนจุดต่าง ความจริงถ้าเราต่างเดินทางด้วยการรับใช้ผู้อื่น ก็น่าจะชื่นชมซึ่งกันและกันได้
ภาษิตจีนกล่าวว่า เคารพมิสู้ปฏิบัติตามคำสั่ง
อย่างที่ชาวพุทธหลายๆ คนเคารพ กราบไหว้พระพุทธรูป แต่กลับละเมิดศีล ๕ อยู่เนืองนิตย์
จะเป็นได้ก็แค่ชาวพุทธในกระดาษเท่านั้นเอง
# # คุณค่าแท้ของชีวิต
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้มีวิสัยทัศน์ในเรื่องของพระเจ้า จึงไม่มีความคิดในการ "ถูกยอมรับ" โดยพระองค์ท่าน
แต่ความคิดที่จะช่วยสังคม ช่วยคนอ่อนแอกลับมีอยู่
อุดมการณ์โพธิสัตว์ คือการช่วยผู้อื่น การเสียสละเพื่อคนอื่น เป็นอุดมการณ์ ของพุทธมหายานก็จริง แต่เถรวาทมิได้พูดถึง จึงอาจ จะเป็นข้อโจมตีของฝ่ายอื่นๆ ก็เป็นได้
ความจริงแล้ว แม้เป็นเถรวาท หลักไตรสิกขา ทาน-ศีล-ภาวนา ก็ยังเน้นเรื่องของทาน คือการให้
พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนๆ ท่านก็ต่างก็ล้วนบำเพ็ญตนเพื่อสังคมตลอดมา
มิใช่ไปแจกข้าวของ แต่ท่านผลักดันให้ลูกศิษย์ไปทำ ขณะเดียวกันก็มีวิถีชีวิต เรียบง่าย เป็นตัวอย่างของสังคม (Social Value)
มีการกิน - การอยู่ มักน้อยสันโดษ
เข้าทำนอง High Thinking - Low Living
พุทธธรรมมีฆราวาสธรรม มี พรหมวิหาร มีทิศ ๖ ฯลฯ หลักธรรมเน้นการบำเพ็ญประโยชน์ก็มีในแทบทุกหมวด
ความมีน้ำใจ-เอื้ออาทรต่อกันในแผ่นดินไทย ก็ยังเป็นเสน่ห์ของคนไทยอยู่
ทหารญี่ปุ่นที่เมืองกาญจน์ก็คงจะซาบซึ้ง
คนไทยมีน้ำใจ มีอภัย มีเมตตากรุณา
# # กิเลสคืออะไร
หากจะพิจารณาลงรายละเอียดในคำสอน เราจะพบแนวทางปฏิบัติทิศทางเดียวกัน แต่มีหลายหมวดหมู่
ปรากฏการณ์ทางจิต มีมากทฤษฎี แล้วแต่จะดูมุมไหน ศัพท์เทคนิคเพื่ออธิบายสภาวะโลภะ โทสะ โมหะ มีเต็มแน่น ในพระไตรปิฎก
พุทธธรรมกำมือเดียว แต่มีรายละเอียดมากมาย หลักคำสอนจึงมีหลายร้อยหลายพันเล่มที่พระพุทธองค์ตรัส โดยผ่าน การบอกกล่าว ท่องจำจากสาวก
ยิ่งในมหายานยิ่งมีมากกว่าหลายเท่านัก
หากเราไม่มีความคิดที่จะรับใช้พระเจ้า แต่มีความคิดรับใช้เพื่อนร่วมทุกข์
ไม่ทราบเพื่อนมิชชันนารีจะรู้สึก อย่างไร
การได้อยู่กับพระเจ้าเพื่ออะไร ถ้า มิใช่ความสุขนิรันดร์
แต่ชาวพุทธบอกเพื่อหมดตัวหมดตน
สองแนวทางนี้เป็นหนึ่งเดียว หรือ เดินเป็นเส้นขนาน?
# # แรงจูงใจ
ในเมืองไทย ชาวพุทธที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นั้น จะมี ๒ กรณีคือ
๑) ได้รับการสังคมสงเคราะห์
๒) เห็นความเสื่อมต่ำในวงการศาสนา
บุลคลประเภทที่ ๒ ต้องถือว่าเป็นผู้มีปัญญา
เมื่อเขาเห็นองค์กรใดทำงานเพื่อสังคม เขาย่อมมีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก
ในความเป็นชาวพุทธ ในเรื่องช่วยเหลือ อาจจะดูเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หากจะทำในเชิงประชาสัมพันธ์ อาจจะต้อง ติดป้าย ติดยี่ห้อ อีกครั้ง เพื่อให้กุลบุตร กุลธิดารุ่นใหม่ได้ชัดเจนว่า ชาวพุทธเขาก็ทำกันอยู่เป็นปกติ
นี่แหละเรียก "ประชาสัมพันธ์เชิงรุก!"
# # บทสรุป
อย่างไรก็ตาม เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หลายปีก่อนท่านมหาระแบบเคยปลุกระดมชาวพุทธให้ตื่นตัว
แต่ต้องระวังผลข้างเคียง ที่จะกลายเป็นสงครามศาสนาขึ้นมา
คนไทยคงจะต้องใจกว้างกว่านี้ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด
เขามาทำประโยชน์ให้สังคม ก็ต้องยอมรับ แล้ว "แข่งขัน"
มิใช่กระทำแบบกรณีสันติอโศก คือ นอกจากจะไม่เคลื่อนไหว ยังคอยคิดทำลายสกัดกั้นชาวพุทธรุ่นใหม่ ที่อยากจะให้ ศาสนาพุทธ มีบทบาทรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
ความผิดเช่นนี้ ผิดได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ควรมีครั้งที่ ๒ ไม่ว่ากรณีใดๆ
สงครามแย่งชิงมวลชน ฟังดูอาจจะน่ากลัว แต่วันนี้ เราต่างก็ใช้วิธีนี้
เชิงธุรกิจ เชิงการเมือง เขาทำอยู่แล้ว เชิงศาสนาก็ควรปรับประยุกต์ใช้บ้าง
เพื่อตื่นตัวกว่านี้
หากรอกินบุญเก่า สักวันก็จะหมด บุญ
การแสดงความจงรักภักดี ความศรัทธาต่อศาสนา จึงมิใช่การโจมตี
แต่คือการทำประโยชน์ต่อสังคมให้ประจักษ์
พหุชนะ หิตายะ พหุชนะ สุขายะ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเพื่อประโยชน์ แก่ชนเป็นอันมาก
มิใช่เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ
โปรดสำแดงให้ปรากฏ ณ บัดนี้ !
คุณคิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นอย่างไร + เพิ่มข้อมูลน่าสนจ คริสต์ อิศาลา พุทธ ฮินดู ยิว ควรอ่าน
นาe Lชิ่มLบอะ | #1 22-06-2011 - 21:18:01 | ||||
|
|
นาe Lชิ่มLบอะ | #2 22-06-2011 - 21:26:16 | ||||
|
|
cherryjung | #3 23-06-2011 - 17:01:51 | ||||
|
Fa_i | #4 26-07-2011 - 00:14:42 | ||
|
lovemiku | #5 26-07-2011 - 22:56:55 | ||
|
- 1
ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้ |
ข้อมูลเมื่อ 18th November 2024 04:59
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล] |