..........นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ “แอตแลนติส” เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่
..........โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตศักราช ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ “แอตแลนติส” (Atlantis) จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตรใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)
..........”พวกเราพบมันแล้ว” ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก
..........”พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น” ซาร์แมสต์ เผยอย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง “เนิน” ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ
..........ตามคำกล่าวอ้างของ “เพลโต” (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนตีสมีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้
..........ซาร์แมสต์ เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) หรือ “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” (Straits of Gibraltar) นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส
..........”ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian)” ซาร์แมสต์เผย และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา “คริสเตียน ฮูบเชอร์” (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว
..........ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล
โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ดี หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่าง