โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ
ปริศนต่างๆ
jerrysoft
#1
01-01-2010 - 16:17:27

#1 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:17:27 ]




อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)
ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุก

ฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลาง

ความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวน

ตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน


jerrysoft
#2
01-01-2010 - 16:18:07

#2 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:18:07 ]




อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU) ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ

ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้าง

เชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของ

ปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น
 71685


jerrysoft
#3
01-01-2010 - 16:18:26

#3 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:18:26 ]




อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)
ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยู

กลางมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะ

ถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือ

ข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน

 71686


jerrysoft
#4
01-01-2010 - 16:18:46

#4 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:18:46 ]




อันดับ 7 : บพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ (ARK OF THE COVENANT : ETHIOPIA) คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือ

ติดต่อถึงองค์พระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะ

สมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
 71687


jerrysoft
#5
01-01-2010 - 16:19:07

#5 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:19:07 ]




อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)
พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณ

เข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุน

รอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไป

หมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่า

นี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้
 71688


jerrysoft
#6
01-01-2010 - 16:19:23

#6 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:19:23 ]




อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน (THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA) คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่

ฆาตกรตัวจริงหรือ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง

คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของ

หญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น

เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???
 71689


jerrysoft
#7
01-01-2010 - 16:19:40

#7 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:19:40 ]




อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่อง

เล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจ

ติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่

สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้าย

ไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
 71690


jerrysoft
#8
01-01-2010 - 16:20:02

#8 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:20:02 ]




อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล (CROP CIRCLES : AVEBURY, ENGLAND)
วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาด

ใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นา

บริเวณ นั้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถาม ของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่

ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แค่นั้นเองก็ได้ คงไม่มีวันรู้
 71691


jerrysoft
#9
01-01-2010 - 16:20:27

#9 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:20:27 ]




อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์ (EASTER ISLAND GIANTS : EASTER ISLAND, CHILE) เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่ว

เกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ

ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ ความรู้ของคนใน

สมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็

ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป
 71692


jerrysoft
#10
01-01-2010 - 16:20:45

#10 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:20:45 ]




อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND) มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของ

ลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยัง

ไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้น

มากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิต

อยู่ให้จับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร?
 71693


jerrysoft
#11
01-01-2010 - 16:21:18

#11 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:21:18 ]




สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของ

เบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทาง ตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง

ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณา บริเวณแห่งนี้ กลาย

เป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่ง กำเนิด ปรากฏการณ์อันลี้ลับมหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศ

ของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจน

ถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือเดินสมุทรจำนวนอีกมากหายได้หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสาม

เหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอยชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับพาหนะโดย

ไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ ของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่อง

บิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติ

ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้

อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกสาเหตุและหาทางป้องกันจากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์หรือสถานีปลายทางเป็นไป

อย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหาย

เครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทางวิทยุให้หน่วยควบคุมการบิน

ทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติ

การได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะ

หมุนปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศ

แจ่มใสและแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบกลับปั่นป่วนขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

อุบัติการณ์ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และเครื่องบินเป็นจำนวนมากในดินแดนแห่ง

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด

ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไป

สู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำ

วิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชนที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยม

เบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิดเรื่องราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคายต่างๆ และ

เชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับอย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และ

ยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มีนักบินและนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญในดินแดน

ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้

คำอธิบายแจ่มชัดเกี่ยวแก่ความลึกลับและความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่และการสาบสูญก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป

โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นถึงจะเป็นดินแดนที่ลึกลับ แต่ก็มีคนที่รอดกลับมาได้ 3คน เขาเล่าว่าตอนที่เขาบินอยู่เขาได้หลงทางเข็ม

ทิศไม่ทำงาน ทำให้เขาไม่รู้ทิศเขาไดเลี้ยวกลับไปจนผ่านมาได้ จนมียานลึกลับไล่ตามมาโดยมีแสงสีเหลืองจ้า แต่เขาไหวตัว

ทัน จึงได้ดึงร่มชูชีพไหวตัวทันเฉพาะ กัปตัน และ ลูกทีมอีก2คนยังค้างอยู่ในนั้น จึงได้จบชีวิตลงอย่างอนาถซึ่งทำให้ มี

ประสบการณ์ และ ไม่กล้า บินผ่านเบอร์มิวดาอีกเลย

และในวันหนึ่งในเวลา 13.00น. ในวันที่13 ก.พ.1923 ได้มีเหตุการณ์ ยานลึกลับตกลงมาสู่พื้นดิน ผู้พบเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ในเ

วลา12.57ได้มียานลำหนึ่งดิ่งลงมาผู้พบเห็นเหตุการณ์เลยพูดว่าคงมือใหม่ขับและในเวลา12.59ยานลำนั้นได้ตกสู่พื้นดินเข้าอย่าง

จัง แต่ที่น่าสงสัยก็คือยานนั้ไม่ระเบิดหรอการกระทบกระเทือนแม้แต่น้อย และคนได้มุงดูอย่างสงสัย ตำรวจและทหารได้บุกเข้า

ไปในยานลำนั้นแต่ไม่พบผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด 6เดือนผ่านไปมีช่างสร้างเหล็ก ได้บอกว่ายานลำนี้ทำด้วยเหล็กกล้าหนา12นิ้วซึ่ง

อาวุธอะไรก็ไม่สะทบสะท้านแต่โชคดีที่ยานลึกลับตก ประตูได้เปิดออก แต่ที่ยังเป็นปัญหาคาใจคือ ยานลึกลับมาจากไหน

ทำไมไม่มีสิ่งมีชีวิตและยังมีความลึกลับแฝงอีกเยอะโปรดติดตามดู

ขณะนี้ยานลึกลับ ก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นเยอะจนขณะนี้ยาน ต่างต่างได้ถูกกลืนไปยังสายลมที่โดดเดี่ยว พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า

เขากำลังถูกฆ่าโดยแสงที่ปะปนมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้กลมกลืนจนมองไม่เห็นจึงไม่รู้ตัว และได้ถูกกลืนไปหลาย ร้อยลำ

แล้ว และในตอนกลางคืนผู้พบเห็น พูดว่าได้มียานขึ้นจากสนามบินขณะที่เขากำลังส่องดู ดาวอยู่ และได้มีแสงสีเหลืองเร่งความ

เร็วเปล่งแสงสีเหลืองจ้าแต่ยาน boing455 สามารถเร่งได้เร็วเพราะ ถูกพัฒนาแล้วและยานลึกลับได้เร่งความเร็วขึ้นถึง1000 ซึ่ง

boing455 ได้เร่ง3000 แต่ยานลึกลับได้เร่งตามอีก จนเขาถูกดูดไปนหายแวบภายในพริบตา

เมื่อปี1984 ได้มียานลึกลับพุ่งตรงมาจากท้องฟ้า5ลำ ได้มาทำความพินาศให้เมืองลอนดอนซึ่งทำให้เมือง ลอนดอนทั้งเมือง ได้

พินาศลงอย่างสยดสยองโดยมีลำแสงพุ้งตรงมาที่อาคารแต่มันไม่ทำความพินาศมันเป็นลำแสงที่ทำลายเฉพาะคนแต่ ไม่ทำลาย

อาคารนักวิทยาศาสตร์จึงได้นำตัวอย่างมาทดสอบต่อไป

ในวันที่15 เดือนสิงหาคมได้มีเครื่องบินรบ2ลำบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อไปตามยานลึกลับ1ลำ จนเขาได้หลงไปในแดนลี้ลับ เราได้

ติดต่อกับเขาว่า เข็มไม่ทำงาน มีเกาะ2เกาะอยู่ข้างทางเขาจึงเร่งเพื่อให้พ้นเกาะนั้นแต่ที่แปลกประหลาดคือมีพระอาทิตย์2ดวง

ดวงหนึ่ง สีฟ้า ดวงที่สองสีแดง ซึ่งทำให้เขา2คนตื่นตระหนกมาก และในที่สุดเราได้ขาดการติดต่อจากเขา ตลอดการ

นั่นเป็นประสบการณ์ให้นักบินทั้งหลายไม่กล้าบินผ่านเบอร์มิวดาร์อีกเลย --__--
วันหนึ่งจอร์นได้ไปฉลองงาน วันเกิดของเขา และได้ฉลองกันจน บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป ท้องฟ้าสีแดง เหมือนว่าเรือลอยอยู่บนอากาศ และได้มียานรูปทรงกลมโผล่มาเหนือเมฆ และมีคนออกมา 2คน รูปร่างคล้ายกบตัวลายจุด และได้ออกมาคล้ายกับว่าซ่อม ยานและ5นาทีผ่านมายานนั้นได้หายไป บรรยากาศกลับเป็นเหมือนเดิม และเมฆหมอกได้หายไปกลายเป็นน้ำ จนเขาได้ตกใจอย่างยิ่ง


jerrysoft
#12
01-01-2010 - 16:21:37

#12 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:21:37 ]




ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้

1. ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่ จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจาก สมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่ สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ


2. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย


3. ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้ สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก


4. ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน


5. ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล


6. ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด


7. ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ


jerrysoft
#13
01-01-2010 - 16:21:51

#13 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:21:51 ]




ในปี ค.ศ. 1966 มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่พอจะเรียกได้ว่าเป็น


สงครามชักเย่อ ซึ่งเป็นการประลองกำลังระหว่างเรือลากจูงขนาด 2000 แรงม้า

กับพลังมหาศาลอันลึกลับจากใต้ท้องทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่อาจรู้ได้แน่ว่าเป็นอะไร

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับบอกเล่ามาจากกัปตันเฮนรี่

เจ้าของบริษัทป้องกันภัยทางทะเลซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ไมอามี่


เขาเล่าว่า ในเดือนสิงหาคมของปี ค.ศ. 1966 เขาได้นำเรือชื่อ กู๊ดนิวส์


ซึ่งมีความยาว 160 ฟุต กำลังเครื่องยนต์ 2000 แรงม้า

ลากจูงเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่กลับจากเปอร์โตริโก


และหลังจากที่ได้ขนถ่ายน้ำมันที่นั่นจนหมดแล้ว จึงได้ลากโยงเรือเปล่ากลับ

แม้แต่เรือบรรทุกน้ำมันลำนี้จะเป็นเรือเปล่า น้ำหนักของมันก็ยังมากกว่า 2500 ตัน

เรือของเขาทิ้งระยะห่ างในการลากจูงประมาณ 1000 ฟุต โดยแล่นผ่านบรเวณที่เรียกกันว่า


สะดือทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา



ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย ลมฟ้าอากาศอยู่ในสภาพปกติในทันทีทันใด


กัปตัน เฮนรี่สังเกตเห็นว่าเข็มทิศเริ่มหมุนเปะปะ น้ำได้ทะลักเข้ามาหาเรือทั้งสอง

จากทุกทิศทุกทาง และแรงโหมของน้ำรอบๆลำเรือได้บดบังขอบฟ้าหมดทั่วทุกด้าน


ไฟฟ้าภายในเรือดับหมด ส่วนเครื่องปั่นไฟยังคงหมุนอยู่ตามปกติ

แต่ไม่ปรากฏว่ามีพลังกระแสไผผ้าออกมาเลย ช่างเครื่องพยายามเร่งเครื่องสตาร์ท

เครื่องปั่นไฟฟ้าสำรอง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อกัปตันเฮนี่มองเข้าไปที่เรือน้ำมัน

เขาเห็นมีอะไรคล้ายๆเมฆหมอกบดบังมืดมนไปหมด และกระแสคลื่น

บริเวณรู้สึกรุนแรงมากกว่าที่อื่นเขาพยายามเดินเครื่องเดินเรืออย่างเต็มท

ี่ที่จะมุ่งออกไปข้างหน้า รู้สึกว่าสายสลิงเหล็กที่ต่อกับเรือน้ำมันตึงแน่น

และมีพลังมหาศาลกระชากเรือน้ำมันกลับ แต่เครื่องยนต์ขนาด 2000 แรงม้าของเขาไม่ยอมถอย

สามารถดึงเรือน้ำมันกลับมาได้ จนในที่สุดสามารถหลุดพ้นจากห้วงน้ำมหาภัยแห่งนั้นได้

และเมื่อเขามองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นว่ามีเมฆหมอกแต่อย่างไร

ทัศนวิสัยกลับปลอดโปร่งมองเห็นได้ไกลกว่าสิบไมล์



ต่อไปคือคำถามคำตอบระหว่างักข่าวกับกัปตันเฮนรี่


หลังจากที่ได้ผ่านเหตุกาณ์สยองขวัญมาไม่นาน

นักข่าว : ในขณะที่เกิดเหตุท่านนึกถึงแรงอาถรรพ์ของ

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาบ้างไหม

เฮนรี่ : แน่นอนที่สุดสิ่งเดียวที่ผมคิดคือชื่อของผมจะไปปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อ

ของผู้ที่หายสาบสูญในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

นักข่าว : ท่านมีประสบการณ์ทำนองนี้ในท้องที่บริเวณแห่งไหนมาก่อนไหม

เฮนรี่ : ไม่เคย แต่ก็เคยทราบว่ามีบางรายที่คล้างคลึงกันซึ่งในนามีวิกฤต

เรือลากจูงได้ตัดสายลากโยงปล่อยให้เรือพ่วงถูกดูดจมหายลงสู่ก้นมหาสมุทร

ที่ลึกหลายพันฟุต สำหรับผม เหตุการณ์ครั้งนี้ครั้งเดียวก็พอแล้ว



นี่เป็นอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามเหลี่ยมเบอร์วิดา ส่วนสาเหตุนั้น


ก็มีไม่ผู้ใดทราบ ว่าเพราะอะไร ????


jerrysoft
#14
01-01-2010 - 16:23:16

#14 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:23:16 ]




เดี๋ยวจะบอกให้แจ็คเดอะริปเปอร์ไง มันโหดอย่างงี๊
ใครกันแน่คือแจ็คเดอะริปเปอร์? คนไข้โรคจิต ศัลยแพทย์มือฉมัง คนขายเนื้อ ชายซึ่งวางยาพิษฆ่าเมียตัวเอง หรือแม้แต่หลานชายของควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษ ก็ล้วนแล้วแต่พัวพันกับสมญานามของฆาตกรสุดโหดแห่งไวต์แชปเพิลผู้นี้


แจ็คเดอะริปเปอร์ เป็นสมญานามของฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อคดีสะเทือนขวัญในกรุงลอนดอน ช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปี 1888 เหยื่อของแจ็คเดอะริปเปอร์ล้วนเป็นหญิงโสเภณีในย่านไวต์แชปเพิล แหล่งสลัมเสื่อมโทรมในเขตอีสต์เอนด์ สมญานามนี้ได้มาจากชื่อในท้ายจดหมายซึ่งโผล่ออกมาระหว่างที่เกิดการฆาตกรรมขึ้น

เหยื่อของแจ็คจะเป็นผู้หญิงหากิน ซึ่งล้วนถูกของมีคมเชือดคอและโดนคว้านเอาอวัยวะออกไป ปัจจุบันผู้ที่หลงใหลในการศึกษาเกี่ยวกับคดีฆาตกรสุดโหดนี้จำนวนมาก จนมีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักริปเปอร์วิทยาเลยทีเดียว(ripperologist)


ตำนานสยองขวัญเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม เมื่อมีคนพบร่างของ แมรีแอน นิโคลส์ (พอลลี)วัย 43 ปี การฆาตกรรมโสเภณีคนหนึ่งดูจะไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าใดนัก แม้ว่าตำรวจลอนดอนต่างช็อกกับสภาพศพที่เห็นก็ตาม หลังจากเกิดเหตุตำรวจได้ตัวผู้ต้องสงสัยหลายคนแต่ก็จับใครไม่ได้ ชื่อพอลลีดูเหมือนจะเลือนหายไปแล้วกระทั่งผู้หญิงหากินอีกรายถูกพบกลายเป็นศพเมื่อวันที่ 8 กันยายนในปีเดียวกัน แอนนี แชปแมนถูกฆ่าปาดคอ และอวัยวะบางส่วนรวมทั้งมดลูกถูกคว้านออกและหายไปจากที่เกิดเหตุ เหตุการณ์นี้สร้างความสะพรึงกลัวไปทั่วลอนดอน และสื่อมวลชนก็เริ่มเข้ามามีบทบาท

ขณะที่ตำรวจก็ไม่มีเบาะแส เพราะคนร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้ตามจับได้ ข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับการฆาตกรรมก็สะพัดไปทั่วเมือง ตอนนี้ฆาตกรได้ฉายาจากสื่อว่า "ผ้ากันเปื้อนหนัง" มีการตั้งข้อสงสัยว่ามือสังหารคือแพทย์ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับชิ้นส่วนต่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


สามสัปดาห์หลังจากนั้นสิ่งที่น่าสยดสยองมากกว่านี้เกิดขึ้นอีกในค่ำคืนของวันที่ 30 กันยายน อลิซาเบธ สไตรด์ หรือ ลอง ลิซ วัย 45 ปี ออกจากผับแห่งหนึ่งและเดินกลับบ้าน แต่เธอกลับไม่ถึงบ้าน ศพของเธอถูกพบในวันถัดมา บริเวณลำคอมีบาดแผลเป็นทางยาว แต่ยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดี คาดว่าฆาตกรคงถูกขัดจังหวะในขณะกำลังจะจัดการชำแหละเหยื่ออย่างเคย

แคทเทอรีน เอดโดวส์ หรือเคท วัย 46 ปี เป็นเหยื่อของแจ็คอีกรายที่สภาพศพน่ากลัวที่สุด โดนควักลูกตา เฉือนจมูก ลำคอถูกเชือด ช่องท้องถูกกรีดเป็นบาดแผลเหวอะ ไตถูกควักออกไป โดยมีข้อความเขียนไว้บนกำแพงในละแวกที่พบศพว่า "The Juwes are the men that Will not be Blamed for nothing." แปลความได้ว่า "ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่จะไม่ถูกกล่าวโทษ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม"


ข้อความบนกำแพงนี้อาจจะมีอยู่ก่อนแล้วและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม กระนั้นข้อความนี้ทำให้การสืบสวนพุ่งเป้าไปยังชาวยิว มีการวิพากษ์วิจารย์กันไปต่างๆ นานา จนเซอร์ชาร์ลส์ วอร์เรน ผู้บัญชาการตำรวจนครลอนดอนสมัยนั้นสั่งให้ลบข้อความดังกล่าวเพื่อลดกระแสต่อต้านยิว และก็มีการจับตัวชาวยิวหลายคน รวมทั้งจอห์น ไพเซอร์ ซึ่งต่อมาก็พบว่าเขาไม่ได้มีเอี่ยวใดๆ

ตำรวจรู้สึกกดดันอย่างหนักเมื่อยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ ผู้ชายโชคร้ายหลายคนโดนควบคุมตัวแต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์อะไรบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคือฆาตกรที่แท้จริง ชาวอีสต์เอนด์ก็คิดว่าเคทคงเป็นเหยื่อรายสุดท้ายแล้ว แต่ขณะที่เจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งไปเก็บค่าเช่าบ้านกับแมรี จีน เคลลี สาวไอริชหน้าตาดีคนหนึ่ง หลังจากเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบเขาจึงไปดูทางหน้าต่าง และก็ต้องตกตะลึงกับภาพหญิงวัย 25 ปีอยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่าตอนนั้นเคลลีกำลังตั้งครรภ์




เคลลีอาจจะใช่หรือไม่ใช่เหยื่อรายสุดท้ายของแจ็ค ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงข้างถนนอีกหลายคนถูกฆาตกรรม บางรายอาจจะเป็นฝีมือของแจ็คก็ได้เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงกับเหยื่อรายก่อนๆ อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับในหมู่สาวกของแจ็คว่าเหยื่อของแจ็คนั้นมี 5 รายดังกล่าว ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ฆาตกรโหดรายนี้ต้องมีความรู้ในการในการผ่าตัดหรือทางการแพทย์อยู่พอสมควร


ใครกันแน่

เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์ หนังสือหลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่าสัตว์ และทรงติดเชื้อซิฟิลิส ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากเพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ "แต่ง" ขึ้นมาก็ได้


มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า "ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้" ตำรวจพบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยงกัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา


อย่างไรก็ตาม มีผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ็คอีกนับไม่ถ้วน ทั้งผู้ต้องหาที่มีประวัติวางยาพิษภรรยา แพทย์ ข้ารับใช้ราชสำนัก รวมถึงศิลปินที่ผลงานของเขาแสดงถึงความเกลียดชังผู้หญิง

ล่าสุด เทรเวอร์ แมริออต อดีตนักสืบหัวเห็ดสังกัดเบดฟอร์ดเชียร์ซึ่งหันมาศึกษาเรื่องแจ็คด้วยเทคนิคสืบสวนสมัยใหม่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ็คเดอะริปเปอร์นั้นอาจจะไม่ใช่ชาวลอนดอน แต่เป็นกะลาสีชาวนิการากัวหรือเยอรมันซึ่งเดินทางมาค้าขายในอังกฤษและติดโรคร้ายจากการเที่ยวผู้หญิงและต้องการแก้แค้น

หนังสือของเทรเวอร์ "Jack the Ripper: The 21st Century Investigation" บอกว่าตำรวจสันนิษฐานอย่างผิดๆ ว่าฆาตกรนั้นอาศัยและทำงานในอีสต์เอนด์ และตำรวจยังไม่รู้วันเวลาของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยถูกทำให้เขวและเลือกที่จะไม่มองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือนั้นอาจจะเป็นกะลาสีเรือ


เทรเวอร์เชื่อว่าช่วงที่เกิดเหตุสยองขวัญนั้นฆาตกรเดินทางมากับเรือจำนวนไม่มากที่มาทอดสมอในท่าเรือของอีสต์เอนด์หรือใกล้เคียง อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าชื่อของลูกเรือก็ถูกทำลายหรือไม่ก็สูญหายทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะชี้ชัดลงไปว่าเป็นลูกเรือคนใด

เทรเวอร์อ้างข้อมูลที่พบว่ามีผู้หญิงขายตัว 6 คนถูกชำแหละในสไตล์ของแจ็คในนิการากัว ในช่วง 10 วันของเดือนมกราคม ปี 1989 หรือเพียงสองเดือนที่เชื่อว่าการฆาตรรมได้สิ้นสุดลง แต่การฆ่าชำแหละศพในนิการากัวตามมาด้วยการฆาตกรรมแบบเดียวกันอีกครั้งในลอนดอนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และอีกหนึ่งคดีที่ท่าเรือเฟลนเบิร์กในเยอรมนีในตุลาคม และอีกหนึ่งคดีในลอนดอนเมื่อเดือนกรกกฎาคม ปี 1891


นอกจากนี้ เทรเวอร์ยังเชื่อว่าแจ็คไม่ได้มีความรู้ด้านการแพทย์ ซึ่งตรงข้ามกับที่หลายฝ่ายเชื่อ โดยเขาบอกว่าหากแจ็คเคยฝึกผ่าตัดอยู่บ้างเขาก็คงจะลำบากที่จะจัดการเฉือนอวัยวะออกจากร่างเหยื่อตามตรอกซอยที่มืดสลัว ส่วนอวัยวะที่ถูกคว้านออกมานั้นก็เพื่อเอาไปขายในตลาดค้าอวัยวะมนุษย์ซึ่งผิดกฎหมายแต่เฟื่องฟูในยุคนั้น

ทฤษฎีของอดีตนักสืบรายนี้ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการบอกว่าเทรเวอร์เอาเรื่องเก่านำมาเล่าใหม่เท่านั้น ขณะที่อีกกลุ่มยังสำทับว่าประด็นกะลาสีเรือนี้ถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่มีการฆาตกรรมแล้ว

ดูเหมือนว่าแจ็คเดอะริปเปอร์ยังคงเป็นปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้อีกต่อไป


jerrysoft
#15
01-01-2010 - 16:23:47

#15 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:23:47 ]




อยากให้รู้ว่า

ปริศนาอัศจรรย์ครอปเซอร์เคิล (Crop circles)
สัญลักษณ์จากห้วงจักรวาล ?


ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆประเทศทางแถบยุโรป และที่ต่างๆทั่วโลก ปัจจุบันนี้มีการรายงานการเกิด Crop circles

ใน 29 ประเทศ เป็นปรากฏการณ์ที่ถือว่าไม่ธรรมดามากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปแบบ วิธีการ ขนาด ระยะเวลาการเกิด และผู้สร้าง

ล้วนเป็นความลับ ให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ และนักคาดเดาต่างต้องทำงานกันอย่างหนัก แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใกล้ความเป็นจริง

ที่จะเฉลยปริศนานี้ได้

Crop circles (ครอปเซอร์เคิล) เกิดเป็นรูปร่างโดยธัญพืชที่มีแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่นั้น ได้ล้มลงเป็นจำนวนมาก เกิดลวดลาย

ขึ้น ตัดกับส่วนที่ยังตั้งอยู่ จึงเห็นเป็นลวดลายชัดเจน โดยมีรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่มีวงกลม

เป็นหลัก และประกอบด้วยรูปทรงเรขาคณิตอีกหลากหลาย และมีขนาดใหญ่มาก ไม่สามารถมองดูได้จากพื้นดินธรรมดา แต่เมื่อ

มองจากมุมสูงจึงจะเห็นเป็นลวดลายชัดเจน เป็นลักษณะของสัญลักษณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดย

เฉพาะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น การสร้างจึงต้องใช้เทคนิคและเทคโนโลยี่ขั้นสูงมากๆ จึงจะสามารถ

ทำได้ ดังนั้นจึงมีคำถามว่า คือ ใครเป็นคนทำ ทำได้อย่างไร ใช้อะไรในการทำ และทำเพื่ออะไร
 71700


jerrysoft
#16
01-01-2010 - 16:24:06

#16 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:24:06 ]




 71701


jerrysoft
#17
01-01-2010 - 16:24:40

#17 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:24:40 ]




ขยายความ

มนุษย์หมาป่า (Werewolf) เป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์และมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร เป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง อาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวเลยก็ได้ หรือครึ่งคนครึ่งหมาป่า หรือแม้กระทั่งแปลงเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น โดยที่วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่าจะคล้าย ๆ กับแวมไพร์ โดยตอกด้วยลิ่ม หรือเผา ที่เห็นบ่อยโดยเฉพาะในภาพยนตร์ก็คือ การยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนผ่านการปลุกเสก มนุษย์หมาป่าก็แพ้แสงแดด[ต้องการอ้างอิง] และถูกตามล่าเหมือนกับแวมไพร์

เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์หมาป่านั้น มีที่มาจากความกลัวหมาป่า โดยเฉพาะหมาป่าที่พบในยุโรป ที่มีลำตัวขนาดใหญ่ และมักออกล่าเป็นฝูง โดยอาจดักซุ่มโจมตีมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงในเวลากลางคืน ผนวกกับความเชื่อและความหวาดกลัวบุคคลนอกสังคม ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ อย่างแม่มดหรือแวมไพร์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เรื่องมนุษย์หมาป่านั้น แท้จริงแล้วคือ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ รากศัพท์ที่มาของคำว่า มนุษย์หมาป่า นั้น Were เป็นภาษาอังกฤษโบราณที่หมายถึง "มนุษย์" นั่นเอง และความเชื่อเรื่องของมนุษย์ที่กลางร่างเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ที่มีทั่วทุกมุมโลก เช่น ในอเมริกาใต้มีมนุษย์งูเหลือม หรือมนุษย์จระเข้ ที่แอฟริกามีมนุษย์เสือดาว หรือเสือดำ หรือปีศาจช้าง ที่อินเดียมีมนุษย์สิงโต หรือ "นรสิงห์" นั่นเอง หรือในเทพปกรณัมกรีก ก็มีเรื่องของชายผู้หนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ชื่อ "Lycaon" มนุษย์บางเผ่าเช่น ไวกิ้ง เชื่อว่า ตนสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิดได้เวลาสู้รบ เป็นต้น และตามสถิติที่เก็บได้ บ่งว่า คืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรมมากกว่าคืนทั่วไป ทั้งนี้เชื่อว่า อาจเป็นเพราะอิทธิพลของดวงจันทร์

มนุษย์หมาป่า ถ่ายทอดได้จากการดื่มน้ำจากแก้วเดียวกับแก้วที่มนุษย์หมาป่าดื่ม

การเป็นมนุษย์หมาป่า นั้นเชื่อว่า ถ่ายทอดได้หลายทาง ทางหนึ่ง คือ การดื่มน้ำจากแก้วเดียวกับแก้วที่มนุษย์หมาป่าดื่ม บางครั้งคนธรรมดาก็โดนคำสาปให้เป็น มนุษย์หมาป่า เชื่อกันว่า มนุษย์หมาป่า ถ่ายทอดถึงลูกหลานได้ นักปราชญ์ชาว สวิส ชื่อ พาราเซลซุส ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 คิดว่ามนุษย์หมาป่า เป็นการกลับมาของดวงวิญญาณของคนที่มีบาป และเคยทำความชั่วไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ ลักษณะของคนที่เป็น มนุษย์หมาป่า สังเกตได้ คือ มีขนตามร่างกายมากผิดปกติ หรือมีลักษณะการเดินแปลก ๆ บางคนอยากเป็น มนุษย์หมาป่าและใช้เวทมนตร์คาถาที่มีเฉพาะให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่าต้องประกอบพิธีกรรมเริ่มด้วยการเปลื้องผ้าร่ายมนต์ สวมใส่เข็มขัดและหน้ากากขนหมาป่า ไม่ว่าการกลายร่างเป็น มนุษย์หมาป่าจะเป็นไปโดยตั้งใจหรือไม่ มันก็จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืนในคืนพระจันทร์เต็มดวง


jerrysoft
#18
01-01-2010 - 16:25:01

#18 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:25:01 ]




สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2550 หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ของออสเตรเลียรายงานว่า กอร์ดอน โฮล์มส์ พนักงานห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ วัย 55 ปี จากเมืองชิปลีย์ แคว้นยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ สามารถถ่ายวิดีโอสัตว์ประหลาดลึกลับแห่งทะเลสาบล็อคเนสในสกอตแลนด์ หรือที่เรียกกันว่า "เนสซี" (Nessie) ได้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมปีเดียวกัน โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเฝ้าดู "เนสซี" ระบุว่า เป็นวิดีโอที่ดีและเห็นชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยถ่ายได้

ทั้งนี้ โฮล์มส์กล่าวว่า เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีดำ ความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วราว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในผืนน้ำ ขณะที่ทะเลสาบล็อคเนสนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับและตำนานที่เล่าขานกันมา เนื่องจากเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ และมีความลึกถึง 230 เมตร

อย่างไรก็ตาม ตำนานของเนสซีถูกบันทึกไว้เมื่อปี พ.ศ.1108 (ค.ศ.565) โดยนักบุญโคลัมบา หนึ่งในผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์นิกายเชิร์ช ออฟ สกอตแลนด์ แต่หลังจากที่ศัลยแพทย์รายหนึ่งสามารถถ่ายภาพของมันได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2477 ก็มีผู้อ้างว่าได้เคยเห็นเนสซีกว่า 4,000 ครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เริ่มมีผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องของเนสซีอย่างจริงจังมากขึ้น

ถึงกระนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับ เนสซี ก็มีทั้งผู้ที่เชื่อ และผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อ เชื่อว่าเนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อคเนสในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัย จนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไปกลายเป็นพื้นที่ปิด และปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่ และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้น แหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบล็อคเนสที่อื่นๆ และบริเวณใกล้เคียงกัน ก็มีรายงานการพบสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย

ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อ เชื่อว่ารูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่มีผู้บันทึกได้นั้น อาจไม่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำ หรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่างๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้มีผู้ที่อ้างว่าถ่ายรูปเนสซีได้รายหนึ่ง เปิดเผยว่า แท้ที่จริงแล้วรูปถ่ายเนสซีนั้น เป็นเพียงเรื่องแหกตาที่ตนกับพ่อเลี้ยงสร้างขึ้นนั่นเอง

ทุกวันนี้... เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียง เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก

ในขณะเดียวกัน ก็กำลังมีภาพยนตร์แนวผจญภัย แฟนตาซี สุดตระการตาเรื่อง The Water Horse: Legend of the Deep "อภินิหารตำนานเจ้าสมุทร" ฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ขณะนี้ และดูเหมือนว่าจะเป็นการนำเอาเรื่องราวของเจ้า "เนสซี" (Nessie) มานำเสนอในรูปแบบการผจญภัยเหนือจินตนาการ โดยเริ่มเรื่องที่เด็กน้อยชาวสกอตแลนด์ ค้นพบ "ไข่พิศวง" แล้วตัดสินใจนำมันกลับบ้าน โดยไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับ "วอเตอร์ฮอสส์" สัตว์ลี้ลับในตำนานทะเลสาบสกอตแลนด์ การตัดสินใจครั้งนั้นนำพาเขาไปสู่เส้นทางการค้นพบสุดอัศจรรย์ และการผจญภัยที่เต็มไปด้วยอันตรายรออยู่เบื้องหน้า เด็กน้อยต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อรักษาความลี้ลับใต้ท้องทะเลสาบนี้ก่อนที่ "วอเตอร์ฮอส" จะกลายเป็นแค่ตำนานไปจริงๆ


jerrysoft
#19
01-01-2010 - 16:25:20

#19 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:25:20 ]




เนสซี (Nessie) คือสิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายเพลสสิโอซอรัส (Plesiosaurus) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

ใน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่า ขณะเขาขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัวทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซนาร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีปสแกน" (Deepscan Operation) ปรากฏว่า โซนาร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดา ๆ


รูปจากจอโซนาร์เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อนั้นเชื่อว่า เนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนสส์ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิดและปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนสส์ที่อื่น ๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อนั้นเชื่อว่า รูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำหรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่

ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก


ภาพนิ่งที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเนสซี ซึ่งเป็นภาพนิ่งที่ชัดเจนที่สุด ถ่ายในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977)ปัจจุบันทางบริษัทวิลเลียมฮิลล์ บริษัทพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้ประกาศออกมาว่าจะให้เงินรางวัลจำนวน 1 ล้านปอนด์หรือประมาณ 70 ล้านบาทแก่ผู้ที่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเนสซีมีอยู่จริง ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) นายกอร์ดอน โฮล์มส เจ้าหน้าที่เทคนิคห้องแล็บได้อ้างว่า สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเนสซีได้ด้วยความยาวถึง 2 นาทีครึ่งขณะนั่งชมทิวทัศน์อยู่ริมทะเลสาบล็อกเนสส์ ซึ่งภาพของนายโฮล์มสครั้งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นของเนสซีที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นายเอเดียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ได้ตรวจสอบภาพของนายโฮล์มสแล้วมีความเห็นว่า เป็นการยากที่จะเป็นการตกแต่งหรือทำปลอมขึ้น เพราะภาพไม่ได้จับเฉพาะแต่สัตว์ประหลาด แต่ยังถ่ายไปถึงภูเขารอบทะเลสาบด้วย จึงสามารถเปรียบเทียบความเร็วและขนาดของสิ่งที่เคลื่อนไหวในน้ำได้ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยการว่ายน้ำด้วยความเร็วถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และภาพบางส่วนยังจับให้เห็นสิ่งที่คล้ายครีบด้วย ซึ่งวีดีโอภาพชุดนี้เป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานอย่างมากในสหราชอาณาจักร เมื่อได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะโดยสำนักข่าวบีบีซีในอีก 3 วันถัดมา มีผู้คนมากมายที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ และต่อมาไม่นานได้มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยข้อมูลลับว่า ทางรัฐบาลเชื่อว่า เนสซีมีอยู่จริง ตั้งแต่สมัยนางมาร์กาเรต แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์สัตว์ป่าของอังกฤษที่ครอบคลุมทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จักหลายชนิด


jerrysoft
#20
01-01-2010 - 16:25:45

#20 jerrysoft  [ 01-01-2010 - 16:25:45 ]




ม็อทแมน

เป็นสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่พบกันที่ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียมีลักษณะคล้ายๆค้างคาวปนตัวมอธ ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนค้างคาวบวกผีเสื้อกลางคืน พบเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 พ.ย. ค.ศ. 1966 และก็พบเห็นกันเรื่อยมา

อาจกล่าวได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น ม็อทแมน ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียนแบบ แบล็คแมน ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ เพราะ ม็อทแมน ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์แปลกๆ น่ากลัวหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง แบบว่าไปที่ไหนซวยถึงนั้น



โดยลักษณะคร่าวๆ เกี่ยวกับเจ้าม็อทแมนนี้ก็จากคำบอกเล่า สรุปได้ดังต่อไปนี้

1. สูงประมาณเจ็ดฟิท ไม่มีหัว ตาอยู่แถวๆ อก

2. ปีกกว้างประมาณ 10 ฟิท สีปีกสีเทา

3. ผิวมีเกล็ดมาก

4. ตาสีแดง เปร่งแสงได้ และมีอำนาจสะกดจิต

5. บินได้

6. สามารถบินไกล ความเร็วประมาณ 100 ไมล์ชั่วโมง

7. มีเสียงกรี๊ดร้องเหมือนสุนัข

8. บางครั้งเสียงร้องแหลมเหมือนเกี่ยวกับสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ หรือเครื่องยนต์ไฟฟ้า

9. สามารถก่อกวนเคลื่อนวิทยุ โทรทัศน์ได้

10. มีพลังจิตรู้อนาคต



ไม่มีใครรู้ว่า ม็อทแมนแท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ ม็อทแมนปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ หรือ น้ำตาลป้วนเ...ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ
 71705



ลงข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ต้องสมัครเป็นสมาชิกและ login เข้าสู่ระบบก่อนถึงจะสามารถลงความเห็นได้
เข้าสู่ระบบสมัครสมาชิก



โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายส่วนบุคคนก่อนเริ่มใช้งาน [นโยบายส่วนบุคคล]
ยอมรับ