มนุษย์เราในยามที่รู้ตัวเองว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ใคร ๆ ก็ย่อมปรารถนาให้ความหวังที่ตนเองเคยตั้งใจไว้เป็นจริง ดังเช่นเรื่องราวของคุณแม่ชาวจีนคนนี้ ที่รู้ว่าตัวเองมีชีวิตเหลือเพียง 180 วันเท่านั้น และเดินหน้าสานฝันของตัวเองจนสำเร็จ
โดยคุณแม่รายนี้มีนามว่า "เฉิน ชุ่ยหลาน" เธอป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายทั้ง ๆ ที่มีอายุเพียงแค่ 24 ปี และแพทย์ในโรงพยาบาลในเมืองฉงชิ่งที่เธอรักษาตัวอยู่บอกกับเธอว่า แม้เธอจะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เธอจะมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุดอีกเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น แต่หากไม่ปฏิบัติตาม เธอก็อาจจะเสียชีวิตได้ในวันไหนวันหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เฉิน ชุ่ยหลาน จึงได้บอกกับ "เจิง ไซ่" สามีวัย 27 ปี ว่า เธอปรารถนาจะทำความหวังสุดท้ายให้เป็นจริง ซึ่งนั่นก็คือการถ่ายภาพวิวาห์คู่กันเป็นที่ระลึก หลังจากที่พวกเขาไม่เคยถ่ายภาพดังกล่าวมาก่อนเลย แม้จะแต่งงานอยู่กินกันมานานกว่า 3 ปี
ขณะที่ "เจิง ไซ่" สามีของ "เฉิน ชุ่ยหลาน" เล่าว่า พวกเขาทั้งคู่เป็นแค่คนงานที่อพยพเข้ามาทำงานเท่านั้น และไม่มีเงินมากพอที่จะใช้ถ่ายภาพวิวาห์เป็นที่ระลึกในวันแต่งงานเมื่อปี 2008 แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็มีกันและกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะหลังจากภรรยาคลอดลูกสาว "เจิงซิงเยี่ย" เมื่อ 2 ปีก่อน
นายเจิง เล่าต่อว่า แต่แล้ววันหนึ่งภรรยาของเขาก็เกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างแรง แต่พวกเขาไม่มีเงินมากพอที่จะไปหาหมอ จึงปล่อยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ภรรยาเกิดปวดท้องจนทนไม่ไหว จึงได้ไปหาหมอ ก่อนที่หมอจะวินิจฉัยว่า ภรรยาของเขาป่วยเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย ซึ่งหมดทางเยียวยาแล้ว ซึ่งหลังจากได้ยินคำพูดของหมอ ก็ทำให้เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากราวกับว่า โลกนี้มืดมนไปแล้ว
"หลังจากได้ยินข่าวร้าย ชุ่ยหลานก็พูดกับผมว่า เธอมีความหวังที่จะถ่ายรูปชุดแต่งงาน พอผมได้ยินแบบนั้นผมก็รู้เลยว่า ต้องทำความหวังสุดท้ายของเธอให้เป็นจริงให้ได้" เจิง กล่าว
ทั้งนี้ การถ่ายรูปชุดแต่งงานจะต้องใช้เงินเกือบ 200 ยูโร (ประมาณ 8,800 บาท) ซึ่งเท่ากับค่าใช้จ่ายเดือน ๆ หนึ่งที่คุณพ่อต้องใช้เลี้ยงลูกสาวเลยทีเดียว แต่นายเจิงก็ยืนยันว่า ต้องทำความหวังสุดท้ายของภรรยาให้เป็นจริงให้จงได้ จึงได้ไปขอหยิบยืมเงินจากเพื่อน ๆ มา จากนั้น เขาก็เช่าชุดเจ้าสาวไปให้ภรรยาได้สวมถึงโรงพยาบาล ซึ่งทำให้เธอดีใจมาก
"วันนั้น ผมเข็นรถเข็นพาภรรยาไปที่สตูดิโอถ่ายรูป แต่แล้วพอช่างภาพเห็นพวกเราร้องไห้กัน จึงเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราจึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง และหลังจากช่างภาพได้ฟังเรื่องน่าสลดใจของเราแล้ว เขาก็คืนเงินให้ทันที และถ่ายรูปให้พวกเราโดยไม่คิดเงินเลย" นายเจิง กล่าว และว่า
"หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น ช่างภาพคนเดิมก็มาหาผมที่โรงพยาบาล เพื่อมาถ่ายรูปผม ภรรยา และลูกสาวให้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา 3 คน โดยไม่คิดเงินแม้แต่สตางค์เดียวเช่นกัน ทำให้วันนี้กลายเป็นแห่งความทรงจำที่สวยงามของพวกเรา"
ขณะที่นางเฉิน ชุ่ยหลาน ซึ่งอยู่ในชุดเจ้าสาว กล่าวว่า ตัวเธอเองต้องแอบไปร้องไห้หลังกระจก เพื่อไม่ให้ลูกสาวเห็น ขณะที่ลูกสาวได้เข้ามากอดเธอและขอให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า ลูกสาวคงเริ่มรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเธอเป็นเด็กที่เข้มแข็ง
"ที่ผ่านมา ฉันและสามีเราไม่มีเงินมากพอที่จะมาถ่ายภาพแต่งงานอย่างนี้ ทำให้ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มาตลอด แต่ตอนนี้ฉันดีใจมากแล้วที่สามีและลูกสาวช่วยทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง และฉันก็หวังว่า พวกเขาจะคิดถึงฉันมากเมื่อเห็นรูปถ่ายพวกนี้ ในยามที่ฉันจากไปแล้ว" นางเฉิน กล่าว
ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวได้สร้างความประทับใจให้กับคนทั่วไปที่ได้ยินข่าวนี้ รวมทั้งสมาคมวิชาชีพสื่อไร้พรมแดน (Journalism Without Borders) ที่ขณะนี้กำลังรวบรวมเงินบริจาค เพื่อมาช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับครอบครัวของนางเฉินชุ่ยเหลียน
credit : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2212407