ของกินต้องห้าม!!ของเจ้าตูบ !! 1.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
บางคนหยิบยื่นแอลกอฮอล์ให้สุนัขกินเพื่ออยากรู้ปฏิกิริยาว่าเวลาเมา น้องหมาจะเดินโต๋เต๋เหมือนอย่างคนหรือไม่ แน่นอนค่ะ หากคุณลองให้สุนัขกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เพียงเขาจะเดินไม่ตรงทางเท่านั้น หากได้รับในปริมาณมาก ฤทธิ์ของเอทานอลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะส่งผลให้สุนัขตื่นเต้น หายใจช้าลง หัวใจเต้นช้าลง หรืออาจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้เลยล่ะ...อย่าลืมว่า น้องหมาตัวเล็กกว่าคน ปริมาณแอลกอฮอล์เพียงน้อยนิด ก็เป็นพิษต่อเขาได้มากแล้ว
2.ผลไม้ฝรั่ง
อันได้แก่แอปเปิ้ล แอปริคอท เชอร์รี่ พีช และพลับ ผลไม้ในกลุ่มนี้จะมีสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นพิษต่อสุนัข หากกินเข้าไปมาก ๆ จะทำให้อาหารเป็นพิษ สุนัขจะมีอาการม่านตาเบิกโพรง หายใจลำบาก น้ำลายไหลย้อย และถึงขั้นช็อก
3.อโวคาโด้
สารเปอร์ซินในอโวคาโด้ เป็นพิษต่อสุนัข ทำให้หายใจลำบาก ท้องบวมป่อง มีน้ำขังในช่องอก ช่องท้อง และถุงรอบหัวใจ ดังนั้น ห้ามกินเด็ดขาด
4.ผงฟู หรือโซดาทำขนมปัง
สารชนิดนี้มีก๊าซที่จะส่งผลต่อความผิดปกติของระดับอิเลคโตรไลท์ในร่างกายสุนัข อาจเกิดภาวะเลือดคั่งในหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจเกร็งตัว และถึงตายได้
5.ช็อกโกแลต
เป็นที่รู้กันดีว่า ช็อกโกแลต ไม่เป็นมิตรกับชีวิตสุนัขเลย แม้ว่าเขาจะส่งสายตาอ้อนวอนสักแค่ไหน ก็ไม่ควรใจอ่อนเด็ดขาด เพราะปริมาณทรีโอโบรมีนและคาเฟอีนในช็อกโกแลตต่าง ๆ มีความเสี่ยงต่อความเป็นพิษสูง มักทำให้สุนัขตื่นเต้น กลัว ชัก หมดสติ ฯลฯ
เอ้า...บ้านไหนที่เลี้ยงน้องหมา ก็อย่าลืมย้ำเตือนทุกคนในบ้านกันด้วยนะคะ เพราะบางทีเรารู้ แต่สมาชิกในบ้านอาจไม่รู้และเผลอหยิบยื่นอันตรายให้กับน้องหมาแสนรักได้
น้องหมาตาบอดสี จริงรึเปล่านะ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่าเจ้าตูบนั้นตาบอดสี แต่จริง ๆ แล้วไม่เป็นความจริง น้องหมาไม่ได้ตาบอดสี น้องหมามองเห็นมากกว่าสีดำ สีขาว สีเทาแน่ ๆ แต่เพียงแค่ระดับความถี่ของสีในการมองเห็นนั้นอยู่ในระดับจำกัด เมื่อเทียบกับการมองเห็นของคนเรา สีพื้นฐานที่น้องหมาจะมองเห็นนั้นส่วนมากจะเป็นสีที่ประกอบด้วยสีเหลือง น้ำเงิน และสีม่วง ส่วนสีแดง สีเขียวและสีส้ม ที่คนเรามองเห็นนั้น น้องหมาจะไม่สามารถแยกแยะออกได้ แต่น้องหมาจะเห็นเป็นสีอะไรสักสีระหว่างสีเหลืองกับสีน้ำเงิน
ของกินต้องห้าม!!ของเจ้าเมี๊ยว !! 1.หัวหอม กระเทียม ข่า ตะไคร้
สารเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อ N-propyl disulphide ที่พบในพืชเหล่านี้มีผลร้ายต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของแมว โดยจะทำให้เกิดลักษณะอาการที่ชื่อว่า Heinz body anemia สารตัวนี้จะไปทำลายเม็ดเลือดแดง
2.มะเขือเทศ มันดิบ
สารพิษตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Glycoalkaloid Solanine มีอันตรายอย่างยิ่งต่อแมว จะทำให้แมวที่รับประทานเข้าเสียชีวิตได้ แค่ชีื่อสารพิษก็ไม่น่าจะรับประทานแล้ว
3.ช็อกโกแลต
Theobromine เป็นสารที่พบในโกโก้ วัตถุดิบในการผลิตชอกโกแลต น้ำชา และเครื่องดื่มโคคา โคล่าอาการที่แพ้ช็อกโกแลต คือ จะคลื่นเ...ยน อาเจียน เจ้าสารตัวนี้จะคงอยู่กระแสเลือดโดยที่ไม่ขับออกมา และสะสมไปเรื่อยๆ
4.นมวัว
ทำไมนมวัวถึงไม่ควรให้ลูกแมวกินนะรึ เพราะลูกแมวระดับความสามารถในการย่อยน้ำตาลแลคโตสนั้นยังไม่ดีพอ เมื่อลูกแมวย่อยแลคโตสในนมวัวไม่ได้ก็จะทำให้แมวท้องเสีย ถ้าจะซื้อนมให้แมวให้เลือกนมแพะแทนจะดีกว่า หรือโยเกิร์ตก็ได้(สัตวแพทย์แนะนำ)
5.องุ่น และลูกเกด
เจ้าสองตัวนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งไม่ใช่เฉพาะในแมวเท่านั้นในหมาเขาก้ห้ามมิให้รับประทานด้วย มันจะทำให้แมวคลื่นเ...ยน อาเจียนออกมา และมีอันตรายต่อตับ
เรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่รู้ 1.แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก
สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง
2.บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย
ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่
3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์
เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง
4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้
แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน
5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?
จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ
เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง
7.แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว
ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง
8.แมวไม่ชอบสบตาใคร
พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ
9.แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!
บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ
10.เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน
คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ
11.แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?
ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง
เครดิต:http://pet.kapook.com/news?p=6