เนื่องด้วย จขกท. ติดน้ำท่วมแหง่กมาเป็นเดือนแล้ว เลยเล่นซิมส์ไม่ได้ ละครก็ดองเป็นชาติ
แต่ตัวเองมีงานอดิเรกคือการแต่งนิยาย วันนี้เลยอยากจะแต่งนิยายให้เพื่อนๆ อ่านเล่นกันไปก่อน
กะว่าถ้าได้กลับบ้านเมื่อไหร่จะนำนิยายเรื่องนี้ไปทำเป็นละครซิมส์แหละ ^_^ (แต่คงอีกนาน)
เลยเอาแบบนิยายมาให้อ่านเล่นกันก่อน ฮี่ๆ
แต่ตัวเองมีงานอดิเรกคือการแต่งนิยาย วันนี้เลยอยากจะแต่งนิยายให้เพื่อนๆ อ่านเล่นกันไปก่อน
กะว่าถ้าได้กลับบ้านเมื่อไหร่จะนำนิยายเรื่องนี้ไปทำเป็นละครซิมส์แหละ ^_^ (แต่คงอีกนาน)
เลยเอาแบบนิยายมาให้อ่านเล่นกันก่อน ฮี่ๆ
NO COPY นะคะ ^_^
My beloved Mistletoe มิสเซิลโทอันเป็นที่รักของฉัน :)
เกล็ดหิมะสีขาวร่วงหล่นโปรยปรายมาจากท้องฟ้าลงไปทั่วท้องถนน รอยเท้าของคู่รักที่ประทับลงบนพื้นที่ถูกฉาบด้วยสีขาวโพลนของหิมะเป็นคู่ๆ กระดิ่งกระพรวนน้อยที่ติดอยู่ระหว่างประตูร้านค้าคอยจะดังกังวานต้อนรับลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของเพื่อใช้ในงานเทศกาล แสงไฟจากต้นคริสต์มาสสว่างไสวสวยงาม สิ่งของต่างๆ ประดับประดาไปทั่วทั้งพื้นที่ในเมืองเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่นานวันคริสต์มาสก็ใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว
กระจกบานใหญ่ของร้านค้าสะท้อนภาพมือทั้งสองข้างของเด็กสาวที่สวมถุงมือไหมพรมสีเทาประกบเข้าหากันก่อนที่จะยกมันขึ้นมาป้องปาก ลมหายใจอุ่นๆ รินรดเข้าที่ใบหน้า ตาทั้งสองของหล่อนหลับพริ้ม จมูกที่เริ่มแดงเพราะความหนาวเหมือนเจ้ากวางเรนเดียร์รูดอล์ฟนี่ก็เช่นกัน
อีกไม่กี่วัน…วันที่สำคัญอีกวันก็จะเข้ามาถึงแล้ว…วันคริสต์มาสที่ใครๆ ต่างก็ปรารถนา…เธอคิด…พลางมองเข้าไปในร้านค้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกก่อนจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อกลับบ้าน
“วันนี้หนาวจริงๆ…” สาวน้อยพูดกับตัวเองเบาๆ พลางลากเท้าไปกับพื้นที่ถูกฉาบด้วยหิมะอย่างเหนื่อยหน่าย ใช่แล้วล่ะ…วันนี้เธอกะว่าจะมาซื้อของไปประดับตกแต่งที่บ้าน รวมถึงของฝากที่เธอตั้งใจจะซื้อไปให้เพื่อนสนิทของเธอด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจทำให้เธอลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่บ้าน เพิ่งจะมารู้ตัวก็ตอนที่กำลังจะซื้อของแล้วควักเงินออกมาจ่ายนี่สิ
“เฮ้อ…” เด็กสาวถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนที่จะสาวเท้ายาวๆ อย่างรวดเร็วเพื่อให้ถึงที่หมายปลายทางได้ไวที่สุด
แกร๊ง…
กระดิ่งอันเล็กทั้งสองอันกระทบเข้าหากันส่งเสียงกังวานไปทั่วห้องรับแขกที่เงียบเหงา เด็กสาวหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง…
“กลับมาแล้วค่ะ”
เสียงของเธอดังก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะมีเสียงตอบกลับมา นั่นสินะ…ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว…
เมื่อหลายปีก่อน…บ้านหลังนี้ยังคงมีเสียงครึกครื้นของครอบครัวอันเป็นที่รักของเธอ แต่ในตอนนี้มันกลับเงียบเชียบราวกับป่าช้าก็ไม่ปาน สาวน้อยคิดก่อนที่จะตัดสินใจทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
ดวงตาทั้งสองข้างของเธอกำลังจะปิดสนิท แต่กลับถูกเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
“พี่ริยะ!”
เสียงแหลมเล็กดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงวิ่งที่แสดงถึงความกระวีกระวาดของเจ้าของฝีเท้านั้น
เมื่อสาวน้อยตัดสินใจลืมตาและหันไปมองตามต้นเสียงก็ต้องพบว่าเจ้าของเสียงแหลมเล็กนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากน้องสาวอันเป็นที่รักของเธอนั่นเอง
“พี่ริยะ รินะหิวแล้ว”
น้องสาวอายุสิบสี่ของเธอวิ่งเข้ามาสวมกอดพี่ด้วยความดีใจ มีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผู้พี่ต้องการจะเก็บรักษาไว้ไม่ให้หายไปไหนเพราะริยะรู้ว่าเธอรักน้องสาวของเธอมากและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้น้องสาวของเธอมีความสุขไม่ต่างอะไรไปจากเด็กคนอื่นๆ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีอย่างเธอจะทำได้และคอยสวดมนต์ขอพรพระเจ้าแบบนั้นมาตลอดหลังจากที่เธอและน้องได้สูญเสียพ่อแม่ไปเมื่อสามปีที่แล้ว
“โอเคจ้ะ แต่วันนี้คงไม่มีอะไรพิเศษหรอกนะ” ริยะพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
“เอ๋…ทำไมล่ะคะ?” น้องสาวของเธอมีท่าทีสงสัยเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องมองเธอด้วยสายตาเศร้าๆ
“วันนี้พี่ลืมเอากระเป๋าสตางค์ออกไปด้วยน่ะ ไว้วันอื่นพี่จะทำให้นะคนดีของพี่” เมื่อพูดจบเธอก็เอื้อมมือไปลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดูไม่ต่างอะไรจากพ่อแม่ที่เอ็นดูลูกของตัวเอง
“ค่ะ” สาวน้อยคลี่ยิ้มออกมา “งั้นรินะช่วยทำนะคะ”
“จ้ะ” สิ่งเดียวที่ทำให้ริยะยิ้มได้ก็คือรอยยิ้มของน้องสาวเวลามีความสุข นอกนั้นเธอคิดว่ามันคงไม่มีอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกดีได้แบบนี้
“พี่ริยะ” เสียงแหลมเล็กของรินะดังขึ้นทำลายความเงียบ มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเท่านั้นที่ได้ยินเป็นระยะๆ
“ว่าไง”
สาวน้อยบิดตัวไปมา สีหน้าแสดงอาการรู้สึกผิด “หนูเห็นว่าเพื่อนของพี่ก็มีแฟนไปกันหมดแล้ว…มีแต่พี่ที่ต้องคอยดูแลหนู…” เธอพูดขึ้นก่อนจะก้มหน้าลง
สิ่งที่น้องสาวของเธอกล่าวออกมาทำให้ริยะแทบจะสำลักกับข้าวที่กำลังกินอยู่ เธอไม่ได้สนใจอะไรพรรค์นั้นและคิดว่าความรักที่แท้จริงคงไม่มีอยู่ในโลกนี้หรอก
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่ไม่ได้สนใจใครสักหน่อย” เธอพยายามเบี่ยงประเด็น
“เหรอคะ…”
“อื้ม” พี่สาวคลี่ยิ้มให้น้องสาวด้วยความเอ็นดู ทั้งสองนั่งร่วมวงกินข้าวด้วยกันภายในห้องเงียบสีขาวที่ไร้การประดับประดาจากของตกแต่ง
แต่พอคิดไปคิดมา ริยะก็เริ่มจะคิดได้ว่าเพื่อนสาวของเธอนั้นก็มีแฟนไปแล้ว และในวันคริสต์มาสหล่อนก็บอกว่าไม่สามารถไปเดินเที่ยวกับเธอได้เหมือนปีก่อนๆ อีกแล้วเพราะต้องไปกับแฟนหนุ่มที่เพิ่งคบกันได้ไม่นาน
“เฮ้อ…” ริยะถอนหายใจก่อนที่จะล้มตัวลงบนที่นอนอย่างเหนื่อยอ่อน
พรุ่งนี้เธอก็ต้องไปทำงานพิเศษที่ซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้าน เป็นอีกวันที่เธอจะต้องทิ้งให้น้องสาวของเธออยู่คนเดียวอีกแล้ว แต่ในเมื่อชีวิตมันไม่มีทางเลือกมากเธอก็จำเป็นจะต้องทำแบบนี้เพื่อเอาชีวิตรอดจากสังคมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ
ความจริงแล้วตัวเธอนั้นมีชื่อเต็มว่า มาเรีย แต่ใครๆ ต่างก็เรียกเธอว่าริยะเพราะมันสั้นและกระชับได้ใจความ ริยะเป็นสาวน้อยที่มีผมสีน้ำตาลเข้มประบ่า ดวงตากลมโต จมูกนิดปากหน่อยพอได้ส่วนรับกับใบหน้า ความจริงแล้วเธอออกจะเป็นคนที่สวยและน่ารักพอสมควร มีผู้ชายผ่านเข้ามาในชีวิตหลายคนนัก แต่เธอกลับปฏิเสธที่จะรับความรักจากชายหนุ่มพวกนั้นที่เห็นเธอเป็นเพียงของเล่นฆ่าเวลา
ติ๊ก…ติ๊ก…
เสียงของเข็มนาฬิกายังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ริยะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเหลือบไปมองยังสิ่งนั้นแต่ก็ต้องตกใจจนสุดตัวเมื่อพบว่านี่เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เธอสมควรจะเข้านอนได้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาคิดเรื่องบ้าๆ พรรค์นั้นหรอก
สาวน้อยค่อยๆ เลื่อนตัวไปหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ก่อนที่จะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
แกร๊ง…แกร๊ง…
เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ระหว่างประตูดังขึ้น ทำให้ริยะสะดุ้งเล็กน้อย เธอละมือจากการจัดชั้นวางของด้านหลังแคชเชียร์ทันทีเพราะคาดว่าคงจะมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เธอจะพลาดไปแม้แต่วินาทีเดียวไม่ได้เพราะงานนี้ถือว่าเป็นเงินเดือน ความรับผิดชอบและเป็นดั่งชีวิตของเธอเลยด้วยซ้ำ
“ยะ…ยินดีต้อนรับค่ะ” สาวน้อยตะโกนดังขึ้นพร้อมกับหันมาทางเครื่องคิดเงินไฟฟ้าด้านหน้า
แกร๊ก…
เสียงเหนี่ยวไกปืนดังขึ้นตรงหน้าก่อนที่เธอจะเห็นชายหนุ่มฉกรรจ์ใส่เสื้อโค้ทและหมวกไหมพรม ใบหน้าถูกปกปิดไว้ด้วยที่ปิดปากทำให้เธอไม่สามารถเห็นใบหน้าของโจรเลยสักนิดเดียว สติของเธอแทบจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถทราบเลยว่าไอ้โจรคนนี้ต้องการจะทำอะไรกับเธอ
“อย่า...นะ…” ริยะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เธอรู้สึกว่าเส้นเสียงของเธอสั่นคลอนด้วยความกลัว แขนทั้งสองยกขึ้นมาขนาบข้างกายด้วยความไม่รู้ตัว