อาถรรพ์บ้านผีสิง
Cradit ภาคินัย
กลิ่นอับชื้นลอยมากระทบจมูกของส้ม เธอกำลังจะอ้าปากถามว่ากลิ่นอะไรแต่ถูกหมวยเอามือปิดปากซะก่อน
“ชั้นรู้ว่าแกจะพูดอะไร แต่โบราณเค้าถือ ได้ยินเสียงหรือกลิ่นอะไรตอนกลางคืนห้ามทัก เข้าใจไหม?” ส้มพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจ หมวยจึงปล่อยมือออกจากปากของส้ม
“มืดเป็นบ้า หมวย แกลองส่องไปที่ประตูดูสิ มันคล้องกุญแจอยู่หรือเปล่า?” นาหันมาสั่งเพื่อน แสงไฟจากกระบอกไฟฉายกระบอกโตสาดส่องไปที่ประตูไม้เก่าๆ เหนือประตูบ้านมีกระดาษสีแดงลงอักขระขอมโบราณไว้ บริเวณฝาผนังถูกพวกมือบอนพ่นสีจนเละ บวกกับความรกครึ้มของต้นไทรต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งใบไปทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศที่ชวนขนลุกอยู่แล้วยิ่งทวีคูณความน่ากลัวให้บ้านร้างหลังนี้มากขึ้น
“เอ้ย...ไม่มีกุญแจล็อค ไป งั้นเราเข้าไปพิสูจน์กัน” นาจะเดินนำเข้าไปแต่ส้มดึงแขนนาไว้ นาหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์นักที่ถูกเพื่อนขัดจังหวะความคึกคะนอง
“ไหนแกบอกจะเดินดูรอบบ้านเฉยๆไง แล้วทำไมแกต้องเข้าไปข้างในด้วย” เสียงของส้มบ่งบอกว่าเธอกำลังหวาดกลัวอย่างรุนแรง ส้มมองรอบๆบ้านอยางสะพรั่นพรึง ก่อนจะพยายามลากนาออกมาจากบริเวณบ้าน
“ชั้นจะเข้าไปกับหมวย ถ้าแกไม่อยากไปก็รออยู่ข้างนอก”นายังดึงดันที่จะเข้าไป หมวย มองหน้าส้มเป็นเชิงว่าให้เข้าไปด้วยกันดีกว่า ส้มจึงจำใจต้องเดินตามเข้าไปในบ้านทั้งๆที่ตัวเองกลัวผีใจจะขาด
ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไป อากาศที่ร้อนอบอ้าวเมื่อสักครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกแทน ส้มขนลุกเกาะแขนหมวยแน่นอย่างหวาดกลัว แสงไฟจากกระบอกไฟฉายส่องไปที่มุมหนึ่งของห้องซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องรับแขก
“โห...มันใช้บ้านหลังนี้เป็นที่เสพยานี่หว่าแก ดูดิ เข็ม บุหรี่ อุ้ย...มีถุงยางด้วยแก” นาเดินตรงไปที่มุมห้อง มองสิ่งโสโครกอย่างสะอิดสะเอียน
“นา แกเดินดีดีนะ เผื่อมีแก้วแตกแล้วมันทิ่มขาเอาจะแย่” นาพยักหน้ารับรู้แต่ยังคงเดินสำรวจไปทั่วบริเวณห้องอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กที่ได้เข้าสวนสนุกครั้งแรก ผิดกับส้มที่กลัวจนตัวสั่นงกๆ คงมีแต่หมวยคนเดียวเท่านั้นที่สงบนิ่ง สีหน้าราบเรียบของเธอถูกแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวไม่น้อยไปกว่าส้มสักเท่าไหร่นัก
“บ้านหลังโคตรใหญ่ สงสัยคงรวยชะมัดเลยเนอะ” นาเริ่มพูดด้วยความตื่นเต้นในขณะที่ สายตายังจับจ้องที่รูปโมนาลิซ่าในกรอบหลุยส์สีทองที่แขวนอยู่บนฝาผนัง กลางภาพมีสีพ่นว่า “บ้านนี้ผีดุ”
“ไอ้พวกมือบอน อย่าให้เจอตัวนะแม่จะ...” ยังไม่ทันที่นาจะพูดต่อก็มีเสียงดังปัง! มาจากข้างบน
“กรี๊ด...ด...ด” ส้มร้องเสียงหลงหันหลังเตรีบมจะวิ่งออกจากบ้านแต่หมวยดึงไว้ซะก่อน
“คงลมพัดหน้าต่างน่ะแก นี่ยัยส้มอย่าปอดแหกไปหน่อยเลย”นาที่เห็นว่าส้มร้องจนโอเวอร์เกินเหตุก็เอ็ดส้มเสียงเขียว
ส้มกำลังเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดหลัว ผิดกับนาเธอกลับหัวเราะชอบใจราวกับว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน
เรื่องผีน่ะเหรอ คนอย่างนาไม่เคยกลัว บ้านไหนที่ว่าผีดุเธอไปมาหมดแล้ว...แต่ไม่เคยเจอสักครั้ง
มีไม่กลัว...กลัวไม่มี!
“ไป เราขึ้นไปดูข้างบนกันดีกว่า ชั้นได้ข่าวว่าตรงห้องนอนห้องที่สามทางขวาน่ะ มีประวัตินะแก อะไรน๊า เอ๋อ ลูกสาวน้อยใจพ่อไม่ให้ไปเที่ยวกับแฟนเลยผูกคอตายซะอย่างงั้น โง่ชะมัดเลยเนอะแก เป็นชั้น มีบ้านอย่างกะวังอย่างนี้ ชั้นไม่ฆ่าตัวตายหรอก เออ...นี่แกรู้ไหม มีคนมาลองของนะเจอผู้หญิงคนนั้นผูกคอหลอกอยู่ในห้องนอนด้วย ชั้นล่ะอยากเห็นจริงๆเชียว”
สิ้นเสียงคำว่า “อยากเห็นจริงๆ”ทำให้หมวยกับส้มถึงกับผงะ
“เฮ้ย...แกอย่าพูดแบบนี้นะนา”แต่เหมือนคำพูดของหมวยไร้ความหมายเพราะนาเดินสะบัดก้นขึ้นไปตามบันไดหินอ่อนที่ถูกบบรรจงสร้างให้เป็นเกลียวขึ้นไปบนชั้นสอง แสงจากดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่ทอแสงเข้ามาทางกระจกโมเสสหลากสีสัน ถ้าเดาไม่ผิดมันเป็นรูปของวีนัส ผู้หญิงที่มีคนเคยบอกว่าสวยที่สุดในโลก มีผู้ชายมาแย่งชิงเธอจนทำให้แขนเธอขาดทั้งสองข้าง วูบหนึ่งของสายตาส้มเหลือบเห็นคล้ายกับว่าสายตาของวีนัสมองมาที่พวกเธอสามคนอย่างอาฆาตแค้น ส้มรีบหลับตาเดินติดกับหมวยให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ราวบันไดทองเหลืองสีหม่นบัดนี้เย็นเชียบราวกับถูกแช่แข็งไว้ ทำให้หมวยกับส้มถึงกับสะดุ้งเมื่อมือสัมผัส
“พวกแกสองคนไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ ชั้นจะได้ซึ้งว่าเพื่อนมันไม่รักกันจริง”นาประชดประชันในที หมวยหันมองหน้าส้มที่ซีดเผือดก่อนจะจูงมือส้มเดินตามนาขึ้นไป...ลองของ
บรรยากาศบนชั้นสองค่อนข้างวังเวงเพราะเป็นพื้นเปิดโล่ง โถงกลางมีชุดรับแขกสีแดงเลือดหมูตั้งตระหง่าน สภาพไม่ดีนักเนื่องจากผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าสิบปี เมื่อมองขึ้นบนเพดานจะเห็นหลังคาโค้งเป็นครึ่งวงกลมเปิดโล่ง มีกระจกใสติดอยู่ไม่กี่แผ่น นอกนั้นเห็นแต่โครงไม้เก่าๆ เมื่อก่อนคงเป็นที่นั่งชมดาวของเจ้าของบ้าน
ตัวบ้านถูกแบ่งเป็นสองซีก ซีกละสี่ห้อง ประตูทุกบานถูกเปิดอ้ายกเว้น ประตูบานที่สามทางฝั่งขวาที่ปิดสนิท...ไม่ต้องตัดสินใจให้เสียเวลา นาเดินตรงไปที่ประตูบานนั้น!!
ทุกสิ่งรอบข้างเงียบสงัด เสียงก้าวเท้าของทั้งสามคนดังก้องไปทั่วบริเวณบ้าน แต่เมื่อทั้งสามคนหยุดเดินกลับมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังของพวกเธอสามคน ส้มเกาะแขนหมวยแน่น หมวยหลับตาสวดมนต์ทุกบทเท่าที่เธอจำได้ เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นาเริ่มเหงื่อตกแต่ทำใจดีสู้เสือหันไปส่องไฟฉายตามแหล่งกำเนิดเสียง ไม่นะ!
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือภาพหญิงสาวผมยาวในชุดแซกสีฟ้า เธอเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กรี๊ด...ด...
“น้องคะน้อง” สาวคนนั้นเดินมาเขย่าตัวของสามสาวที่กอดกันแน่น นาเงยหน้าขึ้นมองเป็นคนแรก ก่อนจะหายใจโล่งอก
“คนนี่นา พี่ พวกหนูตกใจแทบช็อค” ส้มกับหมวยค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองตามนาแล้วส่ายหน้าอย่างโล่งใจ นึกว่าเจอดีเข้าให้แล้ว
“น้องๆมาทำอะไรกันที่นี่คะ”เธอถามอย่างสุภาพ นารีบตอบอย่างรวดเร็ว “มาลองของค่ะพี่ ได้ข่าวว่าที่นี่ผีดุ พี่คะ แล้วพี่มาทำไมล่ะ อ้อ จะเป็นไรมั้ยคะถ้าจะถามชื่อพี่จะได้เรียกถูก”คำถามถูกรัวออกมาจากปากของนา หญิงสาวยิ้มน้อยๆ
“พี่ชื่อฟ้าจ้ะ พี่ก็มาลองของเหมือนพวกน้องนั่นแหละ แต่ไอ้พวกเพื่อนๆมันหาว่าพี่ไม่แน่จริงเลยท้าให้เข้ามาคนเดียว นี่พี่ก็กำลังจะเข้าไปไอ้ห้องผีสิงที่เค้าว่ากัน”
“อ้าว..แล้วพี่จะทำให้พวกเพื่อนๆพี่เชื่อได้ยังไงคะว่าพี่เข้าไปห้องนั้นจริงๆ” หมวยเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ฟ้ายกมือถือขึ้นมาชูขึ้นเพื่อไขปริศนา
“พี่ก็จะถ่ายรูปไว้ในมือถือนี่ไง อ้าว เฮ้ย ไอ้บ้า แบตมาหมดอะไรตอนนี้” ฟ้าเขย่ามือถือด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก่อนจะหันมาทางสามสาว “ใครมีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้มาบ้างคะ พี่ขอยืมหน่อยได้ไหม?” นาแทบจะส่งมือถือของเธอให้ทันทีเพราะนาเป็นพวกบ้าดีเดือดเหมือนกัน
“เอาของหนูไปเลยค่ะพี่ หนูให้ยืม”
“ขอบใจจ้ะ...งั้นเราไปกันดีกว่า” ฟ้าพูดพร้อมเดินนำหน้าไปโดยมีนาเดินตามไปติดๆส่วนหมวยกับส้มยังลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามสองสาวเข้าไป
เสียงแอ๊ดของบานประตูที่เกิดจากการเสียดสีของวงกบไม้ดังบาดใจของส้ม เธอครางเหมือนจะขาดใจ ส้มหลับตาพริ้มหมวยจึงลูบหัวเธอเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ
ภายในห้องใหญ่พอสมควร มีห้องน้ำขนาดใหญ่ทางด้านซ้ายของห้อง ด้านหนึ่งของผนังเป็นกระจกใสบานใหญ่ที่บัดนี้แตกละเอียด มีรากต้นไทรแผ่กิ่งก้านเข้ามาในห้อง ผ้าม่านสีฟ้าชายหลุดลุ่ยห้อยระเกะระกะ ไม่ทิ้งเค้าความงดงามในอดีตไว้เลย ทางด้านขวาของห้องเป็นประตูที่เปิดออกไปสู่ระเบียงที่ทอดตัวยาวออก มองเห็นสระน้ำที่แห้งผาก มีเศษใบไม้ร่วงเต็มไปหมด เมื่อมองออกไปอีกทางเห็นทุ่งหญ้าที่รกสูงท่วมหัว ไม่มีบ้านคนอยู่ในระยะสองกิโลเมตร
กลางห้องมีเตียงขนาดใหญ่ ข้างเตียงมีตู้เล็กๆวางของอยู่สองโต๊ะ โคมไฟที่ห้อยอยู่บนเพดานไม่มีหลอดไฟ แจกันใบใหญ่หล่นแตกกระจาย มีร่องรอยของคนที่โดนเศษแก้วบาด รอยเลือดที่แห้งกรังยังประทับตราอยู่บนพื้นปาร์เก้
“ไม่เห็นมีเชือกที่เค้าใช้ผูกคอเลยพี่ฟ้า” นาพยายามส่องไฟฉายไปทั่วบริเวณห้องแต่ไม่เจอ ฟ้าจึงเดินตรงไปที่ห้องน้ำพร้อมทั้งหันหน้ามากวักมือเรียกทั้งสามสาว
“มันอยู่ในนี้” ส้มสะดุ้งโหยงส่ายหน้าจะไม่เข้าไป แต่นาไม่ได้สนใจรีบก้าวเท้าเดินตรงไปในห้องน้ำอย่าท้าทาย
“ไปเถอะส้ม ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกแก”หมวยตีแขนส้มเบาๆก่อนจะเดินตามเข้าไปอีกคน ส้มที่ไม่เต็มใจนักก็จำใจต้องเดินตามเพราะกลัวกับการอยู่คนเดียว
ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจากไฟฉายที่คอยนำทางไม่ให้ชนกับข้าวของ ห้องน้ำห้องนี้ใหญ่เกือบๆเท่าห้องนอนเลยทีเดียว เจ้าของคงชอบอยู่ในห้องน้ำ นี่คือคำสันนิษฐานของนา
ข้างหนึ่งของห้องน้ำมีอ่างจากุดชี่ หันมาอีกข้างมีช่องอาบน้ำฝักบัว ชักโครกและอ่างล้างหน้าสีทอง แต่กาลเวลาทำให้สภาพของมันทรุดโทรมลงไปมาก
แล้วนาก็ต้องเหงื่อแตกเมื่อฉายไฟส่องไปที่เชือกเส้นหนึ่งถูกผูกไว้กับขื่อไม้สัก มันสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนมีคนไปสัมผัสมัน
“นั่นไง เชือกเส้นนี้แหละที่เค้าผูกคอตาย” หมวยกับส้มหลับตาปี๋ ส่วนนาที่ปรับตัวได้รีบเดินตรงไปที่เชือกมองมันอย่างตื่นตาตื่นใจ
“น้องๆรู้ไหม ว่าทำไมเค้าถึงฆ่าตัวตาย” ฟ้าหันมาถามสามสาว นาพยักหน้าว่ารู้พร้อมทั้งบอกว่า “ก็เค้าน้อยใจที่พ่อไม่ให้ไปเที่ยวกับแฟนไม่ใช่เหรอคะ”
ฟ้าได้ยินดังนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแหลมสูง ก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องอาถรรพ์บ้านผีสิง
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ที่เค้าผูกคอตายน่ะเพราะท้องต่างหาก แต่แฟนของเค้าไม่ยอมรับจึงตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองลง ส่วนที่มีข่าวออกไปว่าน้อยใจพ่อน่ะ เค้าปิดข่าวจ้ะ กลัวจะเสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล มีเรื่องเล่าด้วยนะว่าเวลาคนมาลองของมักเจอผู้หญิงผมยาวยืนร้องให้ตรงอ่างจากุดชี่ด้วย”
นารีบหันไฟฉายไปที่อ่างจากุดชี่แต่มันว่างเปล่า “ทำไมพี่ถึงรู้ดีจังคะ” นาหันมาถามฟ้าที่ยืนหัวเราะเสียงแหลมสูง หมวยกับส้มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทันทีที่ไฟฉายส่องไปที่ฟ้า เธอแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว มีเลือดไหลอกมาทางจมูกกับปาก
“ก็ผู้หญิงคนนั้นก็คือพี่นี่แหละ”
หมวย ส้ม นา ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากันเลิ่กลักก่อนจะ ร้องกรี๊ดลั่นบ้าน ทั้งสามวิ่งกระเจิงไปคนละทิศละทาง
พระเจ้า ! มีฟ้าอีกคนยืนยิ้มให้อย่างน่าสยดสยองตรงมุมหนึ่งของห้องนอน นาหันมองไปที่ห้องน้ำ ยังมีฟ้าอีกคนยืนแสยะยิ้มให้เหมือนเดิม ใช่จริงๆ เธอเป็นผีสาวเจ้าของบ้าน ไม่อย่างนั้นเธอจะแยกร่างได้อย่างไรล่ะ!
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด....ผีหลอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
......................................................
เสียงรถเก๋งพุ่งทะยานออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง ฟ้าเดินตรงมาที่กลางห้องหัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจ ผุ้หญิงอีกคนรีบเดินมาสมทบ
หน้าเธอสองคนเหมือนกันเป๊ะ!
“พี่ฟ้าได้เรื่องไหม” ฝนน้องสาวฝาแฝดเอ่ยถามอย่างร้อนรน ฟ้าปาดน้ำหวานสีแดงออกจากมุมปากพร้อมทั้งชูมือถือขึ้น
“บีบีรุ่นนี้ได้เกือบสองหมื่นยัยฝน เราอยู่ได้อีกหลายวัน” สองพี่น้องกอดกันแล้วหัวเราะชอบใจ
...เธอคืออาถรรพ์ของบ้านผีสิงแห่งนี้นั่นเอง!
.........................................................