เมื่อ วันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ไชน่าเดลี่ของจีน รายงานว่า ทางการเมืองมู่เฉิง มณฑลเสฉวนของจีน สั่งฆ่าสุนัขกว่า 700 ตัว ทั่วหมู่บ้าน หลังหญิงสูงวัยรายหนึ่งถูกสุนัขกัด และติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจนเสียชีวิต
รายงานระบุว่า การ สั่งฆ่าสุนัขทุกตัวแบบไม่มีการตรวจเชื้อนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่นางจาง ติ้งซิ่ว หญิงวัย 63 ปี จากหมู่บ้านไท่ผิง เมืองมู่เฉิง มณฑลเสฉวน ได้ถูกสุนัขของเพื่อนบ้านกัด 2 แผล แต่เธอก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อฉีดยากันโรคพิษสุนัขบ้า กลับใช้แค่แอลกอฮอล์ล้างแผลเท่านั้น เพราะเธอเห็นว่าตัวเองไม่มีอาการเจ็บป่วยใดร่วมด้วย จนกระทั่ง 5 วัน ต่อมาเธอก็มีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว สามีเธอจึงนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันเธอก็เสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อพิษสุนับ้า
ต่อมา เมื่อ ทางการเมืองมู่เฉิงได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของนางจาง ก็ได้สั่งฆ่าสุนัขทุกตัวในเขตรัศมี 3 กิโลเมตร จากบ้านนางจาง ซึ่งกินพื้นที่สองหมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านไท่ผิง และหมู่บ้านไป่เหมียน โดยทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมากกว่า 100 คนออกไปฆ่าสุนัขให้หมด ทั้งที่เป็นสุนัขจรจัดและสุนัขของชาวบ้าน รวมแล้วกว่า 700 ตัว โดยไม่มีการตรวจสอบเชื้อพิษสุนัขบ้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเจ้าของสุนัขก็ต้องจำใจส่งสุนัขในอาณัติของตัวเองไปให้ทางการฆ่า ก่อนที่ทางการจะขุดหลุมขนาดใหญ่ลึกกว่า 6 เมตร ถึง 2 หลุม เพื่อใช้ฝังศพสุนัขกว่า 700 ตัวนี้
ทั้งนี้ ทางการเมืองไท่ผิงอ้างว่า จำเป็นต้องฆ่าสุนัขทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อไปทั่ว ทั้งในสุนัขและคน ขณะที่นางจางนั้น ถือเป็นผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้ารายแรกของเมืองไท่ผิงในรอบ 5 ปี